เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รักผลัดใบ...When Love goes on...April's girl
รักผลัดใบ When Love goes on 2
  •               คุณเชื่อเรื่องของโชคชะตาไหมครับ หรือที่บางคนก็เรียกว่าพรหมลิขิตหรืออะไรทำนองนั้น...


    ที่ถามแบบนี้เพราะตัวผมเองไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย ถึงจะเคยอ่านเจอมาเยอะ (ผมอ่านหนังสือหลายประเภทมากครับ นิยายผมก็อ่าน และก็เพราะหนังสือนี่แหละที่ทำให้ผมได้เจอกับคนที่เป็นสาเหตุให้ต้องมาตั้งคำถามนี้) แต่ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องแต่งเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ผมว่ามันเป็นเรื่องของโอกาสและจังหวะเวลามากกว่า ไม่ใช่เพราะพระพรหมมาลิขิตให้อย่างที่ใครๆ ว่ากัน


    แต่เมื่อได้เห็นชื่อเธอโดยบังเอิญหลังจากไม่ได้เจอกันเกือบเก้าปี ก็ทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า...บางที สิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาอาจจะมีอยู่จริงก็ได้

     



                    ‘ศรีอาภา’ เป็นชื่อที่สะดุดตาผมตั้งแต่เห็นครั้งแรกตอนที่เรานั่งเรียนพิเศษใกล้กัน (ผมคิดว่าชื่อเธอแปลกดีนะครับ หรือคุณไม่คิดอย่างนั้น) จากนั้นผมก็ได้รู้ชื่อเล่นของเธอ แต่ก็ไม่เคยได้เรียกสักที เพราะเธอไม่ค่อยจะหันมาทางที่ผมนั่งอยู่ อาจจะเห็นว่าผมดูเงียบๆ ตั้งใจฟังอาจารย์อย่างเดียว เธอเลยชอบหันไปคุยกับเพื่อนอีกด้านหนึ่งมากกว่า แต่เสียงใสๆ ของแพรก็ไม่วายสะดุดหูผมเข้าจนได้...ไม่ใช่เพราะความรำคาญหรอกนะครับ ถึงเธอจะคุยนอกเรื่องอยู่หลายครั้ง แต่เวลาเบื่อๆ (นานๆ ทีผมก็มี) ได้ยินเธอคุยไปหัวเราะไป ฟังแล้วก็อารมณ์ดีเหมือนกัน


    ถึงเราจะไม่สนิทกัน แต่ผมก็ได้เห็นความมีน้ำใจของเธอเมื่อวันหนึ่งผมทำปากกาหลุดมือ ตอนแรกยังไม่รู้ว่าหล่นไปทางไหน แต่แพรดูเหมือนจะได้ยินเสียงเลยก้มลงมองหา จนกระทั่งผมแน่ใจว่าตกไปทางเธอเลยพูดขึ้นว่า


    ‘ช่วยเก็บปากกาให้หน่อยได้ไหม’


    แพรก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับยื่นปากกาของผมคืนให้ทันที ‘ใช่อันนี้รึเปล่า’


    ‘ใช่ ขอบใจนะ’


    ‘ไม่เป็นไร’ เธอยิ้มนิดๆ แล้วหันกลับไปนั่งเรียนต่อ...นั่นเป็นครั้งเดียวที่เราได้คุยกัน เพราะพอขึ้นเทอมใหม่เราก็ไม่ได้นั่งใกล้กันเหมือนเดิม แต่ผมก็ยังได้เห็นและได้ยินเสียงเธออยู่เรื่อยๆ เวลาเดินผ่านกัน ทั้งที่เรียนพิเศษแล้วก็ที่โรงเรียน



     

    ช่วงปิดเทอมของคนอื่นอาจจะเป็นช่วงเวลาสำหรับการเรียนพิเศษเหมือนกับเพื่อนในห้องส่วนใหญ่ของผม แต่เพราะผมชอบอ่านหนังสือเองมากกว่า เลยเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่คิดว่าจำเป็น ส่วนเวลาที่เหลือถ้าไม่ซ้อมดนตรีหรือเล่นกีฬา ผมก็จะไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องสมุด ที่ไปประจำก็คงเป็นห้องสมุดของหน่วยงานราชการที่อยู่ใกล้ๆ โรงเรียนนั่นแหละครับ


    เวลาเข้ามาใช้งานห้องสมุดที่นี่ต้องมีการเซ็นชื่อและลงเวลาเข้าออกทุกครั้ง และชื่อของคนที่เพิ่งลงเวลาออกไปก่อนหน้าผมจะมาถึงไม่นานก็คือ ‘ศรีอาภา’ ตอนนั้นผมค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเธอแน่ๆ เพราะชื่อแบบนี้ไม่น่าจะมีซ้ำ แต่ก็ลองเปิดสมุดดูย้อนหลัง พบว่าช่วงเวลาที่เริ่มมีการเข้ามาใช้งานบ่อยๆ เป็นช่วงปิดเทอมนี้เอง ดูเหมือนแพรจะมาที่นี่บ่อยพอๆ กับผมเลย แต่เราก็ไม่ยักเคยเจอกันมาก่อน    


    ครั้งต่อมาผมเปลี่ยนเวลามาห้องสมุดตอนเช้า แต่แทนที่จะเดินไปมุมที่นั่งประจำ ผมเลือกไปเดินแถวชั้นหนังสือนิยายก่อน คุ้นๆ ว่าเห็นนิยายที่เคยอ่านอยู่ตรงที่รับคืนตอนครั้งก่อนที่มา พอเปิดดูใบยืมหนังสือที่ปกหลังก็พบว่ามีลายมือของแพรลงวันที่คืนเป็นวันนั้นจริงอย่างที่คิด ความจริงเรื่องนี้เป็นนิยายไตรภาคที่ผมชอบมาก พอได้รู้ว่ามีคนอ่านเรื่องเดียวกันแล้วก็รู้สึกดีเหมือนกันนะครับ


    แต่ไม่รู้ว่าแพรอ่านถึงเล่มไหนแล้วนี่สิ ผมเลยหยิบภาคสองออกมาเปิดดู...ไม่มีลายมือของเธอ แล้วก็ได้ยินเสียงร้อง ‘อ้าว’ เบาๆ จากด้านหลังพอดี ตอนแรกเธอตาโตขึ้นนิดหน่อยเหมือนแปลกใจที่เจอผม ก่อนจะหน้าจ๋อยลงเมื่อเห็นหนังสือที่ผมถืออยู่ คงเข้าใจว่าผมกำลังจะยืมไปแน่ๆ แต่เห็นสีหน้าแบบนั้นแล้วใครจะไปแย่งลงล่ะครับ


    พอผมส่งหนังสือให้หน้าตาแพรก็เปลี่ยนเป็นสดชื่นทันที ช่างเป็นคนที่เปลี่ยนอารมณ์ได้ไวจริงๆ แล้วเธอก็ถามผมว่าภาคไหนสนุกที่สุด ทำให้ผมได้โอกาสชวนเธอคุยครั้งต่อไป เพราะผมต้องไปต่างจังหวัดกับที่บ้านสองสามวัน กว่าจะได้มาอีกทีก็วันศุกร์ เธอก็น่าจะอ่านจบทั้งสามภาคพอดี ตอนนั้นก็ไม่ทันคิดหรอกนะครับว่าถ้าแพรมาไม่ได้หรือเปลี่ยนใจไม่มาแล้วผมจะทำยังไง...ก็คงจะผิดหวังนิดหน่อย เพราะนานๆ จะได้เจอคนที่ชอบอะไรเหมือนกันสักที (ที่จริงก็เธอนี่แหละคนแรก)     


    แต่เธอก็มา นั่งอยู่ตรงโต๊ะที่ผมมารู้ทีหลังว่าเป็นมุมโปรดของเธอ ท่าทางเรื่องที่อ่านอยู่คงจะสนุกไม่เบาเพราะผมเห็นเธอนั่งอมยิ้มกับหนังสือมาแต่ไกล ถึงต่อมาผมจะได้รู้ว่าเราไม่ได้ชอบอ่านหนังสือเหมือนกันทุกอย่าง ขนาดนิยายไตรภาคเรื่องนั้นเรายังมีเล่มที่ชอบไม่เหมือนกันเลย (แพรบอกว่าชอบภาคแรกที่สุด เธอว่าภาคสามที่ผมชอบมันซับซ้อนเกินไปเลยให้เป็นที่สอง ส่วนภาคสองเราคิดตรงกันว่าสนุกน้อยที่สุด) แต่เพราะเราอ่านหนังสือได้หลายแนวทั้งคู่ก็เลยคุยกันได้หลายเรื่อง


    ตอนที่นั่งอยู่กับเธอถึงจะมีช่วงเงียบบ้าง แต่ผมกลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด คงเพราะเธอก็ดูตั้งใจอ่านนิยายของตัวเองไปไม่ได้สนใจอะไรผม อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมแอบมอง แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ  ผมแค่รู้สึกว่าเธอดูอินกับเรื่องที่อ่านอยู่เอามากๆ เดี๋ยวก็ยิ้มเดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว จนผมเริ่มสนุกกับการเดาเนื้อเรื่องจากสีหน้าเธอทั้งที่ไม่ใช่หนังสือแนวที่ชอบเลย

     



                    หลังจากนั้นเราก็ได้เจอกันอีกหลายครั้ง แล้วก็สนิทกันมากขึ้นจนทักทายและยิ้มให้กันได้เวลาเจอกันที่โรงเรียนตอนเปิดเทอม แรกๆ คงยังไม่มีใครสังเกตเพราะผมชอบเดินไปไหนมาไหนคนเดียว จนกระทั่งมีเพื่อนในกลุ่มเห็นผมคุยกับแพรตอนพักกลางวันก่อนเข้าห้องเรียน (ห้องเราอยู่ติดกัน) ก็เลยมาถามผมว่า


    ‘แกสนิทกับยายแพรด้วยเหรอวะ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นเคยรู้เลย’


    ‘ก็สนิท เคยเจอกันที่ห้องสมุดตอนปิดเทอม’ ผมตอบตามตรง ‘ทำไมเหรอ’    


    ‘เปล่าหรอก แต่ท่าทางยัยนั่นดูจืดๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ ก็เลยสงสัยว่ามีเรื่องอะไรคุยกันด้วยเหรอวะ’


    เพื่อนผมทำท่าสงสัย แต่ผมไม่ตอบอะไร คิดในใจว่าถ้าหมอนี่ได้คุยกับแพรอย่างที่ผมคุยก็คงไม่พูดแบบนี้แน่ แต่เรื่องอะไรผมจะบอกล่ะครับ


    ตอนนั้นผมแค่คิดว่าสบายใจที่ได้คุยกับเธอ มีความสุขที่ได้แกล้งเธออยู่เรื่อยๆ (อาจจะฟังดูโรคจิตนิดๆ นะครับ แต่ผมว่าเวลาโมโหหรืองอนเธอจะชอบโวยวาย แต่สักพักก็หายได้เอง เห็นแล้วตลกดี) ไม่ได้คิดว่าความรู้สึกแบบนี้จะพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหนเลยด้วยซ้ำ


    แต่มันก็ไปไกลกว่าที่ผมเคยคิด...ผมเริ่มรู้ตัวตอนที่แพรมาขอยืมซีดีเพลงจากผม ฟังดูไม่น่ามีอะไรใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าเธอเป็นคนรักษาของ (ดูจากเวลาเก็บหนังสือ) เลยตั้งใจจะให้ยืมอยู่แล้ว แต่ก็ทำเป็นคิดนิดหน่อยเพราะอยากจะแกล้งแหย่เธอเล่น (ตอนเธอทำหน้ากับเสียงอ้อนๆ มันดูน่ารักปนขำๆ ดี) ประเด็นอยู่ที่ว่าเธอทำท่าปลื้มนักร้องคนนี้มาก ถึงขนาดเปลี่ยนเป็นรูปดิสเพลย์ในโปรแกรมแชท ชมว่าหล่อน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ (ผมก็นึกว่าชอบเพราะเพลงซะอีก) วันที่ผมเอาซีดีไปให้ก็ตาเป็นประกาย แถมยังยิ้มไม่ยอมหุบอีกต่างหาก


    ...จะดีใจอะไรขนาดนั้น ผมคิดอย่างขวางๆ หมั่นไส้จนเผลอหลุดปากไปว่า


    ‘ไม่ให้แล้วดีกว่า...เราหวง’ 


    แพรทำหน้าตกใจ คงนึกว่าผมเปลี่ยนใจไม่ให้ยืมแล้ว (ซึ่งตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นจริงๆ) เลยเริ่มงอแงใส่ผม ดูท่าทางจะไม่เข้าใจความหมายแฝงที่ผมพูดไปเลยสักนิด สุดท้ายผมก็ยอมแพ้ความอ้อนของเธอ ยอมให้แผ่นซีดีเจ้าปัญหานั่นไป ส่วนเรื่องที่เธอไม่ยอมเข้าใจ ผมก็ตัดสินใจหยุดไว้แค่นั้นก่อน คิดว่าระหว่างเรายังมีเวลาอีกมาก และผมเองก็เพิ่งเริ่มเข้าใจความรู้สึกตัวเองวันนี้เอง ผมก็ควรจะให้เวลากับเธอเหมือนกัน

     



                    ผมไม่ค่อยตื่นเต้นกับเทศกาลสงกรานต์เหมือนคนอื่นเขาเท่าไหร่นักมานานแล้ว แต่ปีนี้เพื่อนผมชวนกันไปเล่นทั้งกลุ่ม บอกว่าเพราะปีหน้าต้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย คงไม่มีเวลามาเล่นสนุกกันแบบนี้อีก ผมก็เลยตอบตกลง เราไปเดินกันตรงถนนที่เขาปิดให้เล่นน้ำโดยเฉพาะครับ คนคึกคักดีทีเดียว


    ‘คนเยอะมากมั้ย ฟังดูน่าสนุกดีเนอะ’ แพรถามเมื่อผมกลับมาเล่าให้ฟังเย็นนั้น พอผมตอบว่าสนุก เธอก็ส่งรูปหน้ายิ้มรู้ทันมาให้


    ‘เหรอ ได้ประแป้งสาวๆ เยอะเลยสิ’


    ไปเล่นน้ำสงกรานต์เรื่องแบบนี้มันก็ต้องมีบ้างใช่ไหมครับ (กลุ่มผมผู้ชายล้วน จะให้ประแป้งกันเองก็ใช่ที่) แต่ที่ทำให้ผมแอบยิ้มก็เพราะคำพูดนี้มาจากเธอนี่แหละ


    ‘ก็เยอะเหมือนกัน’ ผมตอบแบบกลางๆ ไว้ก่อน คิดว่าเยอะของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่จะให้ระบุจำนวนผมก็จำไม่ได้ แล้วก็อยากดูปฏิกิริยาของเธอด้วยนั่นแหละครับ ปรากฏว่าเธอเงียบไปนานจนผมชักใจไม่ดีเลยถามไปว่า


    ‘แล้วแพรไม่เล่นบ้างเหรอ พรุ่งนี้วันสุดท้ายแล้วนะ’


    ‘ก็อยากไปนะ แต่ต้องขอที่บ้านก่อน ถ้ามีคนไปเป็นเพื่อนก็คงได้ไปแหละ’


    วันรุ่งขึ้นผมเลยออกไปกับเพื่อนอีกวันหนึ่ง จากที่ตอนแรกจะไปแค่วันเดียว...อาจจะเพราะเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลด้วย  คนก็เลยเยอะมากจนผมคิดว่าถึงแพรมาก็คงไม่ได้เจอกันแล้ว แต่พอช่วงหนึ่งที่คนเริ่มโล่ง ผมก็เห็นเธอเดินสวนมาพอดี


    ‘อ้าว ธี’ แพรยิ้มให้เมื่อผมเดินเข้าไปทัก ก่อนจะอธิบายว่าญาติๆ ที่มาเยี่ยมบ้านอยากจะมาเล่นน้ำแถวนี้ เธอเลยได้ติดกลุ่มออกมาด้วย ‘โชคดีมากเลย นึกว่าจะไม่ได้มาแล้วนะเนี่ย’


    ‘นั่นสิ’ ผมพยักหน้ารับ ฉวยจังหวะที่เธอกำลังคุยเพลินแปะมือบนแก้มซ้ายเธอจนเปื้อนแป้งเป็นทาง แพรสะดุ้ง เบิกตาโตมองผมเหมือนคาดไม่ถึง


    ‘อึ๋ย เล่นทีเผลอเหรอ’ เธอตั้งท่าจะสาดน้ำใส่ผมเป็นการเอาคืน พอเห็นผมหลบทัน (เธอยังเร็วไม่เท่าผมหรอก) ก็ทำหน้าขัดใจ แต่แก้มขวาที่ไม่ได้เปื้อนแป้งเปลี่ยนเป็นสีชมพูจนเห็นได้ชัด ตอนนั้นเพื่อนผมที่เดินนำหน้าไปก่อนก็หันมาเรียกพอดี


    ‘งั้นเราไปก่อนนะ’ ผมบอกยิ้มๆ ก่อนที่เราจะเดินแยกกันไป ถึงจะเป็นเทศกาลที่ผมไม่เคยสนใจมากนักมาก่อน แต่สงกรานต์ปีนี้พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมาตรงที่อย่างน้อยผมคงไม่ลืมเรื่องในวันนี้ไปอีกนาน

     



                    หลังจากเปิดเทอมขึ้นม.6 ผมกับแพรก็ได้คุยกันน้อยลง เพราะเราต้องเริ่มเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเธออ่านหนังสือหนักเกินไปหรือเปล่า แต่มีอยู่วันหนึ่งผมเดินผ่านไปเจอเธอนั่งคางเกยหนังสือ เอามือปิดปากหาวอยู่ ผมยืนมองอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจเข้าไปชวนคุยให้เธอหายง่วง แกล้งแหย่จนเกือบโดนเธองอนใส่...ทุกอย่างดูปกติดีจนผมไม่ทันตั้งตัว เมื่ออยู่ๆ เธอก็เปลี่ยนไป


    วันนั้นผมยืนรอรถอยู่หน้าโรงเรียน กำลังอธิบายโจทย์ที่มีเพื่อนเอามาถามหลังเลิกเรียน ก็เห็นแพรเดินออกมาพอดี ผมยิ้มให้เธอก่อน...คิดว่าเธอน่าจะเห็นนะครับ แต่เธอกลับหันหน้าไปอีกทางแล้วเดินผ่านไปเฉยๆ จนผมเริ่มไม่แน่ใจว่าเธอไม่เห็นผมจริงๆ หรือแกล้งไม่เห็นกันแน่ คืนนั้นผมเลยส่งข้อความไปหาเธอ


    ‘วันนี้รีบกลับบ้านเหรอ เห็นเดินผ่านเราไป ไม่ทักกันเลย’


    ผมว่ามันก็ฟังดูน้อยใจระดับหนึ่งนะครับ ถ้าเป็นปกติเธอคงจะรีบอธิบายเหตุผลให้ผมฟังทันที (ถึงจะดูมีเหตุผลบ้างไม่มีบ้างก็ตาม) แต่หลังจากรออยู่นาน คำตอบที่ว่า ‘ขอโทษนะ เราไม่ทันได้มองน่ะ พอดีต้องรีบไปด้วย’ ของเธอก็ทำให้ผมแน่ใจแล้วว่าแพรไม่เหมือนเดิมจริงๆ


    หลังจากนั้นเธอก็เริ่มหลบหน้าผม ยิ้มให้ก็ไม่สบตา ไม่มองหน้า ไม่พูดไม่คุย ทำเหมือนไม่อยากรู้จักกัน ผมเลยได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าเธอคงไม่ได้คิดเหมือนกับผม แล้วผมจะทำอะไรได้อีกล่ะครับนอกจากตัดใจ...ถึงตรงนี้คุณอาจสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่ไปพูดกับเธอตรงๆ หรือว่าผมพยายามน้อยไป แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณได้แสดงความรู้สึกออกไปหมดแล้ว แต่ก็ยังถูกปฏิเสธ (ด้วยการกระทำทุกอย่างเท่าที่จะนึกได้) คุณคงพอจะเข้าใจการตัดสินใจของผมนะครับ

     



                    พอเข้ามหาวิทยาลัย ผมเลือกเรียนนิติศาสตร์เพราะคิดว่าเป็นสาขาที่สามารถต่อยอดได้หลายทาง ตอนปีท้ายๆ ผมสนใจเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศเป็นพิเศษเลยเลือกเรียนต่อปริญญาโทด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หลังจากนั้นก็สอบชิงทุนไปเรียนปริญญาโทอีกใบด้านการบริหารและการเงิน (อาจจะดูเหมือนผมเรียนอะไรไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่ผมว่ามันมีความเชื่อมโยงกันอยู่ระหว่างกฎหมาย เศรษฐกิจและนโยบายระหว่างประเทศนะครับ) พอเรียนจบผมก็เข้าทำงานในบริษัทธุรกิจข้ามชาติที่เคยฝึกงานสมัยเรียน ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะหาทุนเรียนปริญญาเอกหรือทำงานที่เดิมต่อไปดี อาจารย์ที่ปรึกษาของผมตอนเรียนปริญญาตรีก็ติดต่อมาหา


    ‘จะชวนผมไปสอนหนังสือกับอาจารย์หรือครับ’ตอนแรกผมเข้าใจอย่างนั้น เพราะอาจารย์เคยเปรยๆอยู่หลายครั้งว่าผมเหมาะจะสอนหนังสือ แต่ท่านกลับตอบปนหัวเราะว่า


    ‘ก็อยากอยู่หรอกนะ แต่พอดีมีอดีตลูกศิษย์มาขอความช่วยเหลือคิดว่างานนี้น่าจะเหมาะกับเธอ ก็เลยแนะนำชื่อเธอไป เผื่อจะเบื่อเมืองนอกแล้วอยากกลับเมืองไทยเสียที’


    ‘งานอะไรครับ’


    งานที่ว่าคือการเข้าไปดูแลฝ่ายการตลาดต่างประเทศให้กับบริษัทจัดการการลงทุนแห่งหนึ่งที่กำลังจะขยายงานด้านนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ชื่อคุณวิชัย เคยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ผมเหมือนกัน ได้มาขอให้อาจารย์แนะนำคนที่เหมาะสมให้ เพราะท่านรู้จักคนเยอะ และคนที่ท่านแนะนำไปก็คือผมเอง


    จะว่าไปงานนี้ก็น่าสนใจตรงที่ผมจะได้ใช้ประสบการณ์ทุกด้านที่มี หลังจากได้คุย (หรือจะเรียกว่าสัมภาษณ์) ผ่าน VDO conference กับคุณวิชัยและผู้บริหารคนอื่นๆ จนได้ข้อตกลงกันแล้ว ผมก็กลับมาเมืองไทย


    วันที่ผมเข้าไปคุยรายละเอียดที่บริษัท คุณวิชัยได้แนะนำให้รู้จักกับผู้จัดการฝ่ายการตลาดซึ่งจะดูแลฝ่ายของผมด้วย เธอชื่อสาลินี แต่ให้ผมเรียกว่า ‘พี่สาลี่’ เพื่อความเป็นกันเอง ก่อนจะเริ่มอธิบายเกี่ยวกับงานที่ผมต้องรับผิดชอบ และสุดท้ายก็คือผู้ร่วมงาน


    “พนักงานในทีมเป็นคนที่ถูกคัดเลือกมาจากฝ่ายการตลาดเดิมตามรายชื่อนี้นะคะ แล้วคุณธีก็จะมีผู้ช่วยหนึ่งคนคอยประสานงานกับฝ่ายต่างๆ ติดต่อลูกค้า และเป็นเลขาเวลาเข้าประชุมด้วย ถึงคนที่เราเลือกมาจะไม่เคยมีประสบการณ์ด้านงานเลขามาก่อน แต่เขารู้เรื่องระบบต่างๆ ดี แล้วก็คล่องงานมาก พี่สาลี่รับรองว่าไม่มีปัญหาค่ะ”


    “ใช่ๆ พวกเราช่วยกันพิจารณาแล้ว ที่จริงคุณสาลี่เสียดายลูกน้องคนนี้มาก ไม่อยากจะปล่อยตัวมาให้คุณเท่าไหร่หรอกนะ” คุณวิชัยเสริมติดตลกมาบ้าง แต่ผมขำไม่ออกเมื่อได้เห็นชื่อที่อยู่บนกระดาษแผ่นแรกสุด


    ...’ศรีอาภา เลิศวรกุล’ ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่าย...นี่มันตลกร้ายชัดๆ ทั้งที่คิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว หลังจากเวลาผ่านไปนานและผมก็ไปอยู่ไกลถึงอีกซีกโลก แต่โชคชะตาก็พาผมกลับมาเจอเธออีกจนได้


    ผมอ่านประวัติการเรียนและการทำงานของแพรแล้วก็ต้องยอมรับว่าเธอเหมาะสมที่ถูกคัดเลือกมา ในเมื่อผมปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยผมก็ควรจะรู้เรื่องของเธอไว้บ้าง ในฐานะที่เราต้องร่วมงานกันต่อไป จริงไหมครับ


    โอกาสของผมมาถึงเมื่อคุณวิชัยออกไปคุยธุระข้างนอก เหลือผมอยู่กับพี่สาลี่สองคน ผมก็เริ่มพลิกกระดาษรายชื่อไปมา ก่อนจะหยุดที่หน้าแรก (ถึงแม้ว่าผมจะจำข้อมูลในนั้นได้หมดแล้วก็ตาม) จนพี่สาลี่ถามขึ้นว่า


    “คุณธีสงสัยอะไรรึเปล่าคะ”


    “เปล่าครับ ผมไม่สงสัยเรื่องความสามารถของคนที่พี่สาลี่เลือกมาหรอกครับ แต่อยากถามให้แน่ใจว่าหน้าที่ผู้ช่วยของผมต้องทำงานตามเวลาของบริษัทเท่านั้นหรือเปล่า เพราะบางทีผมอาจมีประชุมหรือนัดพบลูกค้านอกเวลางาน ไม่ทราบว่าคุณศรีอาภาหรือครอบครัว...ผมหมายถึงคนรักของเธอ จะมีปัญหาเรื่องนี้ไหมน่ะครับ”


    “ถ้าเป็นเรื่องนี้พี่สาลี่ว่าไม่น่ามีปัญหานะคะ” เธอตอบแบบไม่เสียเวลาคิด “เพราะว่ายัยแพร...ศรีอาภาน่ะค่ะ เขายังไม่มีแฟน เพราะฉะนั้นเรื่องทำงานล่วงเวลาไม่ได้เนี่ยตัดไปได้เลย”


    “พี่สาลี่ให้งานลูกน้องหนักเกินไปจนไม่มีเวลามีแฟนหรือเปล่าครับ”ผมยิ้มนิดๆ รู้สึกได้ว่าเธอเป็นกันเองมากขึ้น (และน่าจะช่างคุยมากขึ้นด้วย) นับว่าทักษะที่เคยฝึกมาสมัยเรียนนิติศาสตร์ยังใช้ได้ผลดีทีเดียว


    “แหม คุณธีก็มาล้อพี่ รายนี้น่ะไม่ยอมมีเองต่างหากล่ะคะ ไม่รู้ว่ายังลืมคนเก่าไม่ได้หรือยังไง”


    ...คนเก่า...แปลว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา แพรได้คบกับคนอื่น แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์จะรู้สึกอะไรอยู่ดีใช่ไหมครับ  ในเมื่อเธอก็ปฏิเสธผม (ด้วยการกระทำ) ไปตั้งนานแล้ว


    “คงจะคบกันมานานสินะครับ” ผมพูดเรื่อยๆ เหมือนไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ แล้วพี่สาลี่ก็ตกหลุมผมอีกครั้ง


    “ก็น่าจะตั้งแต่มัธยมแหละค่ะ ได้ยินว่าโดนหักอกซะด้วย น่าสงสาร” พี่สาลี่ว่า ก่อนจะทำท่านึกขึ้นได้ “พี่ก็คุยเพลินไปเรื่อย เรามาคุยเรื่องงานกันต่อดีกว่านะคะ”


    “ครับ” ผมหยิบแฟ้มงานมาเปิด ทั้งที่ยังสงสัยว่าตอนนั้นแพรคุยกับใครอีกนอกจากผม (ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีนะครับ) แต่ถ้าคนนั้นหมายถึงผม ทำไมเธอถึงคิดว่าตัวเองถูกหักอก ในเมื่อเธอต่างหากที่เป็นฝ่ายหักอกผม แต่ถึงยังไงผมก็ได้คำตอบสิ่งที่อยากรู้แล้ว ว่าตอนนี้เธอยังไม่มีใคร


    ที่เหลือก็คือผมควรจะทำยังไงต่อไปดี...

     



                    ก่อนเริ่มงานจริงหนึ่งอาทิตย์ ผมเข้าไปที่บริษัทอีกครั้งเพื่อเซ็นสัญญา จากนั้นคุณวิชัยก็บอกว่า


    “เดี๋ยวผมจะพาลงไปดูที่แผนกว่าตกแต่งใกล้เสร็จแล้วเป็นยังไงบ้าง อาจจะเลยไปแนะนำให้รู้จักกับลูกทีมคุณด้วย ไหนๆ ก็อยู่ชั้นเดียวกัน วันนี้คุณสาลี่คงแจ้งให้ทราบกันทุกคนแล้ว”


    ผมเดินตามคุณวิชัยออกจากห้องทำงานแล้วก็เห็นพี่สาลี่เดินมาถึงพอดี แต่ผมมองผ่านเธอไปหาคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง...แพรหยุดชะงักทันทีที่เห็นผม ถึงภายนอกเธอจะดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ท่าทางเบิกตาโต มองผมเหมือนไม่เชื่อสายตานั่นยังเหมือนเดิม


    “อ้าว คุณสาลี่พาตัวมาด้วยพอดี ผมจะได้แนะนำให้รู้จักกันซะเลย” คุณวิชัยหันมามองผมสลับกับแพรอย่างอารมณ์ดี “คุณธี นี่คุณศรีอาภา จะมาเป็นผู้ช่วยของคุณ ส่วนคุณแพร นี่คุณธีศิษฏ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดต่างประเทศคนใหม่ของเรา”


    “ยินดีที่ได้พบครับ” เพราะมีบุคคลที่สามและสี่อยู่ด้วย ผมเลยแสดงออกไม่ได้ว่าเคยรู้จักกับแพรมาก่อน (เหตุผลหนึ่งคือเรื่องที่ผมแอบถามจากพี่สาลี่คงเปิดเผย) แต่ทั้งคู่ก็ดูจะไม่สงสัยที่ผมพูดว่า ‘ยินดีที่ได้พบ’  แทนที่จะเป็น ‘รู้จัก’ ส่วนคนที่ผมตั้งใจพูดด้วยกลับเม้มปากนิดๆ ก่อนตอบอย่างสุภาพแต่ห่างเหินว่า


    “เช่นกันค่ะ”


    ดูจากท่าทางแล้วผมว่าเธอคงไม่ได้คิดอย่างที่พูดหรอกครับ เพราะตอนเดินตามคุณวิชัยกับพี่สาลี่ไปดูห้องทำงาน เธอยังทำท่าไม่อยากจะเดินรั้งท้ายคู่กับผมเลย ถ้าไม่ติดว่ามีผู้ใหญ่สองคนเดินอยู่ข้างหน้า  เธอคงเดินแซงหนีผมไปแล้ว  เมื่อก่อนแพรชอบบ่นว่าผมแกล้งเธอบ่อย แต่ผมว่าเธอก็ปั่นหัวผมได้บ่อยพอกัน ทั้งที่คิดว่าเราน่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เธอกลับทำเหมือนไม่อยากพูดกับผมซะอย่างนั้น


    พอลงมาถึงชั้นที่ทำงาน พี่สาลี่ก็มีงานด่วนต้องแยกตัวไปก่อน คุณวิชัยเลยพาเราเดินดูตั้งแต่ห้องทำงานรวมของฝ่าย ห้องประชุม ไปจนถึงห้องทำงานของผมกับแพรที่อยู่ติดกัน คั่นด้วยกระจกใสและมีมู่ลี่บัง ดูเผินๆ เหมือนเป็นห้องเดียวที่แบ่งออกเป็นสองส่วน


    “พวกคุณว่ายังไงบ้าง โอเคไหม ถ้าอยากเปลี่ยนอะไรก็บอกช่างได้เลยนะ” คุณวิชัยว่าพยักหน้าไปทางห้องด้านนอกที่กำลังตกแต่งกันอยู่ ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมา “เดี๋ยวผมขอตัวไปคุยธุระข้างนอกสักครู่  ตามสบายนะ”


    พออยู่กันสองคน บรรยากาศก็เงียบสนิท แพรยืนพิจารณาโต๊ะเก้าอี้กับตู้เก็บของติดผนังอยู่อีกมุมหนึ่ง ดูเหมือนเธอจะมองทุกอย่างในห้องแล้วยกเว้นผม แต่ถึงเธอตั้งใจจะไม่พูดกับผมยังไง ผมก็มีวิธีทำให้เธอพูดจนได้แหละครับ


    “รู้สึกว่าแพรจะไม่ดีใจที่ได้เจอกันเหมือนเราเลยนะ เมื่อกี้แค่พูดตามมารยาทเท่านั้นเองเหรอ”


    แพรหันขวับมาทันควัน พอเห็นผมเลิกคิ้วมองก็เน้นเสียงตอบว่า “ใช่สิคะ ก็เราเพิ่งเคยเจอกันไม่ใช่เหรอ เมื่อกี้คุณเป็นคนพูดแบบนั้นเอง”


    “เราบอกว่าดีใจที่ได้เจอแพร ไม่ได้บอกว่าดีใจที่ได้รู้จักสักหน่อย” ผมว่าผมก็หมายความตามที่พูดนะครับ แต่เธอก็ไม่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ เหมือนเดิมไม่มีผิด แต่ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้แล้ว ผมเลยอธิบายอีกเรื่องไปพร้อมกัน “เรารู้เรื่องแพรจะมาเป็นผู้ช่วยเราก่อนหน้านี้แล้ว แต่ที่ไม่ได้บอกคุณวิชัยกับพี่สาลี่ว่าเรารู้จักกันก็เพราะไม่อยากให้ใครเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นเวลาทำงาน หรือแพรอยากให้คนอื่นคิดว่าได้เลื่อนตำแหน่งเพราะรู้จักกับเราล่ะ”


    ถึงผมจะไม่ได้เป็นคนเลือกเธอมาทำงานนี้เอง แต่การที่ผมไม่ได้คัดค้านก็เหมือนกับสนับสนุนเธอนั่นแหละ จริงไหมครับ...เธอนิ่งฟังจนจบก็พยักหน้าเข้าใจ หน้าตาเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้น ทำให้ผมรู้ว่าเธอหายโกรธแล้ว แต่ก็ไม่วายบ่นอุบอิบว่า


    “ก็นึกว่าจำกันไม่ได้นี่ อยากพูดอะไรให้ต้องตีความทำไมล่ะ”


    ...ตกลงว่าผมผิดที่พูดจาซับซ้อนเกินไปใช่ไหมครับ แพรนี่โยนความผิดเก่งจริงๆ ทีเธอชอบเข้าใจอะไรยาก ผมยังไม่เคยว่าเลยสักคำ แต่ถ้าเธอไม่อยากตีความ ผมจะถามตรงๆ ก็ได้


    “ทำไมถึงคิดว่าเราจะลืมได้”


    แพรอึ้งไปเหมือนนึกไม่ถึงว่าจะโดนย้อนถามแบบนั้น แต่เธอยังไม่ทันได้ตอบ คุณวิชัยก็เดินยิ้มแย้มกลับเข้ามาพอดี


    “ว่าไง คุยกันไปถึงไหนแล้ว ตกลงว่าอยากเปลี่ยนตรงไหนบ้างรึเปล่า”


    ผมเห็นเธอแอบถอนใจโล่งอกที่โดนขัดจังหวะ คงคิดว่ารอดตัวไปสินะ แต่ก็แค่ครั้งนี้เท่านั้นแหละครับ เพราะผมรู้ตัวตั้งแต่เห็นหน้าแพรอีกครั้งแล้วว่าคงปล่อยเธอไปทั้งที่ยังค้างคาใจเหมือนครั้งก่อนไม่ได้อีก ผมเลยหันไปบอกคุณวิชัยยิ้มๆ ว่า


    “ครับ ผมอยากเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย”

     



                    แต่ ‘อะไร’ ที่ว่าคงไม่นิดหน่อยสำหรับแพร เพราะเมื่อเดินมาถึงโต๊ะตัวเองในห้องทำงานใหม่อีกอาทิตย์ถัดมาเธอก็ชะงักเหมือนเห็นความผิดปกติ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมที่นั่งอยู่อีกห้องพอดี พอเห็นเธอเริ่มขมวดคิ้ว ผมก็เลยกดอินเตอร์คอมเรียก


    “คุณแพร มีอะไรสงสัยเข้ามาถามผมได้นะครับ”


    ก่อนหน้านี้เราตกลงกันแล้วว่าจะเป็นเจ้านายกับผู้ช่วยเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่มีใคร เธอก็คงรู้แหละครับว่าผมแกล้งแหย่เล่น ถึงได้ค้อนใส่ผมทีหนึ่งก่อนจะเดินเข้ามา แล้วตั้งคำถามอย่างไม่รอช้าว่า


    “นี่ธีสั่งให้จัดห้องใหม่เหรอ”


    ตอนแรกโต๊ะทำงานของผมกับแพรถูกจัดไว้ให้หันไปทางเดียวกัน แต่ผมให้เปลี่ยนมาวางเป็นมุมฉากหันหน้าออกมาทางโต๊ะเธอแทน ส่วนมู่ลี่ที่กั้นระหว่างห้องผมก็ให้เอาออกไป เหลือแต่ผนังกระจกใส...ผมทำหน้านิ่งเมื่อให้เหตุผลว่า


    “ใช่ เราว่าตอนแรกโต๊ะมันมืดไป หันมาทางนี้ได้แสงสว่างมากกว่า”


    “ถ้าอยากได้แสงสว่างนักจะปิดม่านทำไมเนี่ย” เธอชี้ไปที่ม่านกรองแสงตรงหน้าต่างกระจกอีกด้านหนึ่งของห้องที่ผมเปิดเอาไว้ครึ่งๆ  


    “ฝั่งนั้นรับแดดตอนกลางวัน ถ้าเปิดม่านหมดมันจะสว่างเกินไป แต่เราชอบห้องโล่งๆ ก็เลยให้เอามู่ลี่ฝั่งนี้ออกแทน” ผมตอบเรียบๆ ด้วยความจริงแค่ครึ่งเดียว เธอทำท่าเหมือนอยากจะประท้วงต่อ แต่ผมไม่เปิดโอกาสให้ “หรือว่าแพรมีปัญหาที่เราจัดห้องใหม่แบบนี้”


    “ไม่มีก็ได้”


    เมื่อเถียงไม่ออกแพรก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากค้อนใส่ผมอีกที ก่อนจะเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดออกไป ในขณะที่ผมแอบยิ้ม...เธออาจจะยังไม่รู้ตัวนะครับ แต่ผมบอกได้เลยว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in