เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
DeviousVanilla * twilight
Part I
  • 1

     

                  พวกมนุษย์เกลียดชังพ่อมดและแม่มดผู้มีเวท ในทุกดินแดนเล่าขานตามกันว่าคนต่างเผ่าพันธุ์กระหายอำนาจจนไม่ละอายที่จะทำสิ่งผิดบาปอันใด จึงไม่มีใครปรารถนาให้ฝ่าเท้าของผู้ใช้เวทมนตร์ย่างเหยียบเข้าไปในแผ่นดินของตน 

     

                  วันหนึ่งมีพ่อมดผู้หนึ่งอาจหาญประกาศ ว่าเป็นคนเดียวที่จะรักษาราชินีที่ป่วยไข้ของอาณาจักรแห่งหนึ่งได้ เจ้าผู้ครองเมืองเดือดเนื้อร้อนใจด้วยยังไม่มีบุตรแลธิดาไว้เป็นทายาทให้บัลลังก์ ไม่ว่าญาติของพระองค์ หรือแม้ทหารที่สาบานตนจะถวายชีวิตให้ก็ไม่อาจไว้ใจได้ เสียงกระซิบกระซาบวางแผนลับหลังถูกปิดบังไว้ด้วยคำว่าภักดี และแม้ว่ามันจะแผ่วเบาเพียงใด ชาวบ้านนอกรั้วที่อยู่ใกล้หรือไกลออกไปก็ยังรู้ได้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ราชาจะหลับตาลง

     

                  ท้ายสุดแล้ว... จึงต้องยอมให้ผู้ถูกขับไล่เพราะพรสวรรค์ที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั่วไปมาตัดสินชะตา ว่ากันว่าพ่อมดและแม่มดถึงจะกลับกลอกเพียงไหนก็มีคำสัตย์ว่าอย่างไรก็ต้องทำเช่นนั้น ทว่าพวกเขาก็เก่งเรื่องเล่นคำบาลีพอกัน

     

                  “ด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผล ข้าจะสร้างสิ่งที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าเรียกว่าปาฏิหาริย์...”  ร่างลึกลับกล่าวอย่างยโสโอหังไม่คิดปิดแววเย้ยหยัน ความมั่นใจในอำนาจของตนฉายชัด “แต่สำหรับข้ามันก็แค่เรื่องเท่าฝุ่นธุลี”

     

                  ราชินีที่ป่วยกระเสาะกระแสะมานานหลายปีหายในชั่วข้ามคืน เจ้าผู้ครองเมืองแสนจะยินดีปนขมขื่น เพราะราคาที่ต้องจ่ายนั้นแพงมหาศาล ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่ต้องเสียอะไร

     

                  พ่อมดขอค่าตอบแทนเป็นบุตรสาวคนแรกหนึ่งชีวิตต่อหนึ่งชีวิต เขาให้สัญญาว่าบัลลังก์จะยังมีทายาท และหากว่าไม่ยินยอมแล้วไซร้ ผู้มีอำนาจวิเศษก็พร้อมจะหมุนเข็มนาฬิกาให้ทวนกลับ พรวิเศษที่รักษาจะแปรเปลี่ยนเป็นคำสาปแช่งให้ไม่มีสิ่งใดในแผ่นดินเจริญงอกงาม 

                   

                  หลังต้องทุกข์ตรมขื่นขม สองปีต่อมาราชากำลังจะได้ทายาท อำนาจที่สั่นคลอนกำลังจะมั่นคงแผ่นดินจะไม่ต้องแดงฉานด้วยเลือดเพราะการแก่งแย่งอำนาจ พระองค์หวังไว้สุดหัวใจว่าบุตรที่จะเกิดจะเป็นชาย

     

                  สวรรค์เล่นตลกแสนร้ายกาจ อาณาจักรแห่งนั้นได้ทายาทองค์แรกเป็นเจ้าหญิงพร้อมกับฝาแฝดที่เป็นชาย และยังไม่ทันที่ระฆังจะตีแสดงความยินดีจะดังเกินสามครั้ง ผู้วิเศษกลับมาทวงคำสัญญาคำที่เคยว่าไว้อย่างไร ก็ให้ยังเป็นไปตามนั้น

     

                  ด้วยน้ำตาและความทุกข์โศก ต้องเลือกระหว่างแผ่นดินกับเลือดเนื้อเชื้อไข และสิ่งแรกนั้นสำคัญเหนือกว่าด้วยภาระหน้าที่ ด้วยเหตุนั้นเด็กหญิงตัวน้อยจึงถูกพาตัวไปทั้งยังไร้เดียงสา

     

    2

     

                  ข้ารู้ว่าชายตรงหน้าไม่ใช่บิดา

     

                  ใช่ว่าข้าจะเป็นเด็กหัวดีตั้งแต่ตอนยังเดินเตาะแตะ แต่เมื่อตอนที่ข้าเริ่มพูดคำแรกได้ เรียกเขาว่า พ่อจ๋าน้ำเสียงที่ได้รับจากชายหนุ่มผมสีทองตรงหน้ากลับเจือแววหงุดหงิดบอกข้าว่า มันช่างน่ารำคาญและอย่าได้เรียกเขาว่าพ่ออีกต่อไป

     

                  ตั้งแต่นั้นมาข้าไม่รู้ว่าจะเรียกเขาด้วยสรรพนามอันใด ชื่อของเขานั้นข้าก็ไม่รู้ เพราะอีกฝ่ายไม่เคยแม้ปริปากบอก แต่เขาดูจะพอใจตอนที่ข้าขานเรียกด้วยคำว่า ท่านจ้าว

     

                  เขาไม่รู้ว่าเบื้องลึกในใจข้านั้น บางครั้งเมื่อเขาทำสิ่งใดให้ข้าร้องไห้เพราะไม่ได้ดั่งใจคำว่า ท่านจ้าว’ นั้นถูกใช้ในความหมายว่าเจ้ากรรมนายเวรของข้า แม้ว่าข้าจะรู้สึกว่าตนเองช่างอกตัญญูนักแต่ก็อดเสียไม่ได้

     

                ข้ารู้ว่าเขาเป็นผู้วิเศษ

     

                  เรื่องนี้ท่านจ้าวป่าวประกาศกับข้าเองด้วยน้ำเสียงน่ากริ่งเกรง เขามักขลุกอยู่กับกองหนังสือและตำราภาษาที่ข้าอ่านไม่ออกมองไปในกระจกที่ไม่มีเงาสะท้อน ใช้ชีวิตอยู่ในห้องที่ข้าโดนสั่งว่าห้ามเหยียบเข้าไปเป็นอันขาด แต่เขาก็ยังใจดีหาหนังสือที่เป็นภาษามนุษย์มาให้ข้าใช้อ่านและเขียน เลี้ยงดูข้าอย่างดี บางครั้งท่านจ้าวก็หายตัวไปหลายวัน จนข้านับครั้งที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกรวมได้เสียทั้งสิ้นสิบสี่ครั้ง ข้าตัวสูงขึ้นทุกวัน ในขณะที่เขาไม่เคยแก่ลงเลย

                 

                  ข้ารู้ว่าข้าเป็นเจ้าหญิง

     

                  เพราะวันหนึ่ง...มิตรสหายเพียงคนเดียวของเขามาเยือนถึงถิ่น พ่อมดผมน้ำตาลมักนำของติดไม้ติดมือมาด้วย ข้าชอบเพื่อนของเขาคนนี้นัก ตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กเล็กไม่รู้ประสา ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ถูกชะตา อาจเป็นเพราะท่านคนนี้ใจดี บางครั้งข้าได้เสื้อผ้าสีสวยและขนมหวาน มิหนำซ้ำยังเอ็นดูข้า และยอมให้ข้าเรียกว่าท่านพี่และเมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจ้าวมักบ่นกระปอดกระแปดหาว่าเขาทำให้ข้าเสียผู้เสียคน  

     

                  วันนั้นเพื่อนของเขานำของกำนัลมา ของข้าเป็นดอกไม้สีเหลืองสดสวย ส่วนของท่านจ้าวเป็นสุราที่หมักจากข้าว ทันทีที่มันออกฤทธิ์ก็ราวกับเขากลืนน้ำยากล่าวความจริง ข้าได้รู้ว่ามงกุฎอันน้อยประดับทับทิมที่ได้ติดตัวตอนเกิดถูกขายเข้าตลาดมืดไปให้ตัวข้าไร้หลักฐานในฐานะทายาท และได้ยินเสียงเหยียดหยันว่าข้าเป็นเจ้าหญิงประหลาด ตัวเล็กเหมือนคนแคระ หน้าตาไม่สะสวยอย่างเจ้าหญิงดินแดนอื่น ถ้าอยู่ในยุคสมัยป่าเถื่อนที่พวกพ่อมดแม่มดยังกินมนุษย์ เขาจะขุนข้าแล้วเอาไปให้คนอื่นกินเป็นอาหาร

     

                  ข้ารู้ว่าข้าจะไม่ได้ยินเรื่องที่ทำให้เสียใจ ถ้าทำตามคำสั่งหมกตัวอยู่แต่ในห้องของตน แต่ข้าก็ไม่ได้ทำและได้ยินสิ่งที่ท่านจ้าวพูดเสียหมดสิ้น ข้าร้องไห้อย่างที่ไม่เคยร้อง รู้ซึ้งถึงไส้ในของคำว่าเสียใจ ก่อนที่ใครจะทันรู้ตัว ข้ารีบหนีขึ้นไปเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างที่ถูกบอกให้ทำ และเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนหน้าประตู ข้าคว้าเอาแจกันปาใส่มันโดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นคนเคาะ กลีบดอกไม้และเศษกระเบื้องเคลือบแตกกระจายเกลื่อนเหมือนใจข้า

     

                  “ข้าเผลอทำมันตกแตก” ข้าว่าไปเช่นนั้น เก็บเสียงสะอื้นไว้ให้ลึกสุดใจ

     

    3

     

                  ท่านจ้าวรู้ว่าข้าโกรธเขาแต่ก็ไม่ได้สนอกสนใจอะไร ข้าไม่ได้ไปวางถ้วยชาไว้หน้าห้องที่ถูกห้ามให้เข้า แต่บางครั้งข้าก็แอบเข้าไปเมื่อเห็นว่าอากาศหนาวเกินไป และใช้ผ้าขนสัตว์คลุมไหล่ให้แล้วย่องออกมา มันก็ไม่ได้แปลกอะไร ในเมื่อสิบหกปีก่อน ท่านจ้าวก็ไม่ได้มีข้าอยู่ด้วยและเขาก็อยู่ได้

     

                  ข้าดื่มและกินอาหารทำให้ตัวเองมีแรงพอที่จะหนี ข้าไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนและรู้ว่ามันช่างโง่งมที่จะออกไปโดยที่จะไม่ให้เขารู้ และเดินอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ แต่บางทีเขาคงยินดี หากข้าจะออกไปหาความตายด้วยตัวเอง หลังจากทนเลี้ยงดูลูกมนุษย์ที่ไร้ประโยชน์อย่างข้ามาได้หลายปี

     

                  ห่อผ้าไหมถูกซุกไว้ใต้เตียงข้า ข้างในเป็นขนมปังแห้ง ๆ อย่างที่ข้าแอบเก็บลงจากโต๊ะอาหารที่ไร้การสนทนาพูดคุยไว้ในจีบกระโปรง ข้าหวังว่าอาจมีแหล่งน้ำอยู่บนหนทางข้างหน้าให้ได้ใช้ดื่มกิน พอกับที่หวังให้วันที่ท่านจ้าวออกไปข้างนอกมาถึงเร็วขึ้นอีก

                   

                  ท่านจ้าวรู้ว่าข้าจะทำอะไรอย่างที่เขารู้เสมอ และรู้ว่าจะทำอย่างไรให้ข้าเจ็บปวดสุด โดยพรากความหวังที่จะคิดหนีของข้าไปในวินาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะออกไปข้างนอก ข้าได้แต่ร้องไห้ต่อว่าเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนอะไร ขณะที่ลากแขนข้าขึ้นไปขังไว้ในห้องบนหอคอยสูงข้างหลังปราสาทหลังเล็กที่ข้าเคยชะเง้อออกไปมองทางหน้าต่างด้วยความหวาดกลัว   

     

                  “ให้ข้าตายไปเถอะ”  ข้ากรีดร้องหาถ้อยคำที่เคยอ่านผ่านตา และคิดว่ามันเลวร้ายที่สุดหากจะใช้มันทำร้ายใครสักคน “ท่านมันคนชั่วช้าสามานย์”

                 

                  “ข้าเปลืองแรงไปโขตอนที่ขอแลกเจ้ามา แถมยังอดทนรอเสียสองปี ไหนจะเวลาที่ทนเลี้ยงคนแคระอย่างเจ้ามาอีก” พ่อมดว่าแรงที่บีบข้อมือข้าแรงขึ้นอีก ข้าอ่านแววในดวงตาสีเข้มเหมือนมหาสมุทรไม่ออก แต่มันดูแปลกไป “คนอย่างเจ้าคิดจะกลับไปเป็นเจ้าหญิงหรือ ชีวิตของเจ้าเป็นของข้า และข้าจะเป็นคนตัดสิน เจ้าจะตายก็ตอนที่ข้าบอกให้เจ้าตาย”

     

                  เขาจับข้าโยนเหมือนกระสอบมันฝรั่งเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่มีเพียงเตียงหลังหนึ่งและตู้เสื้อผ้า หน้าตาบานเล็กกรุกระจกสีมีช่องพอให้ลมเข้า ไม่มีหนังสือสักเล่มหรือสิ่งของอื่นใดที่ข้าชอบ ห่อผ้าไหมที่ข้าแอบไว้ถูกโยนตามเข้ามา มันกลิ้งขลุก ๆ มาหยุดที่ปลายเท้าข้า พร้อมกับเสียงประชดประชัน “เสบียงของเจ้าไม่ใช่หรือไง กินเสียให้พอ”

     

                  ในครั้งนั้น ความเมตตาสุดท้ายของเขาคือจอกใส่น้ำใบหนึ่งที่น้ำจะเติมเต็มไม่มีวันพร่อง

     

                  ข้าใช้ชีวิตอยู่บนนั้นอยู่หลายปี ถูกสั่งไม่ให้ตัดผม เขาว่าข้าจะได้มีเรื่องให้หมกมุ่นนอกเสียจากหาทางให้ตัวเองตายด้วยการหวีสางผมของตนเองไปเรื่อย ๆ ทีละปมสองปม ข้าพบว่าเมื่อผมของข้ายิ่งยาวเท่าไหร่ มันยิ่งยุ่งเหยิงเท่านั้น ข้าลืมไปแล้วว่าตนเองอายุเท่าไหร่ ได้แต่ทนใช้ชีวิตอยู่ และข้าไม่เคยได้พบเจอใครนอกจากเขาอีกเลย

     

                  พ่อมดคนนั้นกลายเป็นเจ้าชีวิตของข้าอย่างแท้จริง

     

                  ทุกครั้งที่ท่านจ้าวเปิดประตูเอาของมาให้มีเพียงเสื้อผ้ากับอาหาร เขาใช่ว่าจะร้ายกาจโดยสิ้นเชิงเสียทีเดียว เขาปล่อยข้าให้ลงไปล้างเนื้อล้างตัววันละครั้ง ออกจากห้องอุดอู้นั่นบ้าง แต่ไม่เคยให้คลาดสายตา ช่างพิลึกที่เป็นทั้งข้าและเขาที่ผูกตัวตนของกันและกันไม่ให้คลาดสายตา ท่านจ้าวไม่เคยไปไหนอีกถ้าไม่จำเป็น

     

                  เขาให้กระดาษปึกหนึ่งกับปากกาและหมึกไว้ให้ข้าพอได้ขีดเขียน โดยบอกว่าข้าจะได้ไม่โง่เขลาเบาปัญญาไปมากกว่าที่เป็นอยู่ มีวันหนึ่งที่เขาเอาหนังสือมาให้ข้า บอกว่าเพื่อนพ่อมดผมน้ำตาลของเขาฝากมาให้ มันไม่ใช่ข้ออ้างเพราะเขาไม่เคยให้ข้าอ่านเรื่องเพ้อฝันเกี่ยวกับเจ้าชายและเจ้าหญิง ครั้งนี้เขาคงยอมให้มันเป็นความสุขเดียวในชีวิตข้า แม้จะเพียงเล่มเดียวแต่ข้าก็อ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนขึ้นใจ ตัวเอกไม่ได้เป็นทั้งเจ้าหญิงและเจ้าชาย มันเป็นเรื่องของโฉมงามกับอสูรผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยโหดร้ายที่จบอย่างมีความสุข

     

                    จนกระทั่งวันหนึ่งข้าพบจดหมายลับในหนังสือ

     

                  มันเป็นรอยกดของหัวปากกาจาง ๆ ที่ข้าเพิ่งสังเกตเห็นบนหน้าหนังสือบทหนึ่ง ข้าใช้ถ่านดินสอฝนมันจนฝ่ามือดำเป็นปื้นไม่ใช่ลายมือของท่านจ้าวที่ข้าจำได้ และพบข้อความที่บอกให้ข้าอดทน อธิบายว่าในท้ายที่สุดแล้วตัวตนแสนร้ายนั้นมีความดีงามซ่อนอยู่ในหัวใจ



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in