เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Fanfic Compilationmoneymonday
[ตัวร้ายอย่างข้าฯ | ปิงจิ่ว] Fortuna (เฟท AU)
  • Fate AU

    I.

    ลั่วปิงเหอมองศพที่ทับถมกันเป็นกองพะเนิน ในที่สุดก็ค่อยขยับร่างกายได้ดังใจ รู้สึกได้ว่ามานาในร่างเริ่มจะอยู่ในระดับพอใช้งานสักที


    เสิ่นจิ่วที่เพิ่งมาถึงยืนพิงกรอบประตู ลมหายใจถี่กระชั้นด้วยทั้งเหนื่อยล้าและเหนื่อยอ่อน ดูท่าแล้วคงจะต้องรีบวิ่งมาสุดแรงทั้งที่ตัวก็ผอมแห้งแรงน้อยออกเพียงนั้น ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาเฝ้าเขาทำเรื่องน่าเบื่อแบบนี้เลยสักนิดแต่ก็ยังอุตส่าห์ถ่อตามมา


    เด็กหนุ่มเหลือบมองสภาพในห้องเพียงแวบเดียวก็เบือนหน้าหนี เพียงถามห้วนสั้นว่า


    "พอรึยัง?"


    ลั่วปิงเหอเอียงคอ เหตุใดมาสเตอร์ของเขาจึงชอบทำตัวเองให้ลำบากโดยไร้ประโยชน์เหลือเกิน


    เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทั้งไม่ได้ชมชอบหรือเห็นดีเห็นงาม ซ้ำร้ายยังแทบจะเรียกได้ว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำของลั่วปิงเหอเลยด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายก็กลับยังยอมให้เขาทำอยู่เรื่อยๆ แล้วยังมายืนเป็นสักขีพยานให้หนักใจเองเสียเปล่าๆ


    แต่ช่วยไม่ได้ที่สายมานาในตัวเสิ่นจิ่วแห้งผากเสียยิ่งกว่าธารน้ำในหน้าแล้ง ดังนั้นการจะค้ำจุนเซอร์แวนท์คลาสเบอร์เซอร์เกอร์อย่างลั่วปิงเหอให้ใช้งานได้ก็มีแต่จะต้องพรากชีวิตคนอย่างนี้เท่านั้น


    เขาลองกำมือแล้วแบออก ทดลองโคจรมานาในตัวรอบหนึ่งแล้วจึงตอบตามจริงไปว่า


    "พอสำหรับตอนนี้ แต่หากจะต่อสู้ก็ต้องใช้มากกว่านี้อีก"


    เสิ่นจิ่วนิ่งเงียบ ดูเผินๆ เสมือนรับรู้เห็นด้วย แต่พอสายตากวาดผ่านร่างเหล่านั้นอีกครั้งใบหน้าก็เผือดลง


    กระนั้นก็ยังคงไม่ห้ามปรามหรือคัดค้าน


    ลัว่ปิงเหอเห็นสีหน้านั้นแล้วก็ผุดยิ้มมุมปาก แม้จะเพิ่งได้พบกันสั้นๆ แต่ก็มองผู้เป็นนายชั่วคราวของตนได้จนทะลุปรุโปร่งแล้ว


    เสิ่นจิ่วนั้นทั้งเป็นคนอ่านง่ายและอ่านยากในขณะเดียวกัน


    การกระทำของเจ้าตัวมักย้อนแย้ง แสดงสีหน้าเฉยชาขณะเอ่ยวาจาทิ่มแทง แต่ดวงตากลับสะท้อนความรู้สึกนึกคิดหมดสิ้น


    เด็กหนุ่มอายุน้อยคนนี้เก็บงำความคิด ปิดบังอารมณ์ และสร้างเกราะป้องกันตัวเป็นความดุร้าย...


    ความดุร้ายที่อาจทำให้ผู้อื่นต้องล่าถอย เพียงแต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าวิญญาณทรราชลือนามเช่นเขาแล้ว ความดุร้ายของเสิ่นจิ่วก็ดูไม่ต่างอะไรไปจากลูกแมวที่พองขนส่งเสียงขู่ฟ่อ ดูน่ารักมากกว่าน่าเกรงขาม เห็นแล้วยิ่งอยากหยอกล้อมากกว่าจะถอยห่าง


    แต่ขณะเดียวกัน เจ้าลูกแมวน้อยคนนี้ก็ทะเยอทะยานเกินอายุ ทั้งที่จับพลัดจับผลูเข้ามามีส่วนร่วมโดยไม่ตั้งใจ แต่ก็ช่างจริงจังกับศึกชิงจอกศักดิ์สิทธิ์ไม่แพ้นักเวทผู้ชำนาญคนอื่นๆ


    เสิ่นจิ่วแม้บกพร่องด้านเวทมนตร์ แต่ก็กระเสือกกระสนนัก เด็กหนุ่มไม่เลือกวิธีการ ทั้งยังหักใจอำมหิตได้ด้วยมุ่งคว้าชัยชนะอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งที่ไม่ได้ดูสิ้นหวัง แต่ก็กลับดิ้นรนยิ่งกว่าสุนัขจนตรอก


    มันทำให้ลั่วปิงเหออดใคร่รู้ไม่ได้ว่า...


    "เจ้าจะขอสิ่งใดกับจอกศักดิ์สิทธิ์?"


    เด็กหนุ่มชะงัก ความอ่อนแอแม้ฉายวาบให้เห็นขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ก็ยังคงเป็นเสิ่นจิ่วที่ห่อหุ้มตัวเองด้วยแววตาเชือดคมและถ้อยคำจิกกัด


    "ไม่เกี่ยวกับแก"


    ลั่วปิงเหอหัวเราะในลำคอ คำตอบช่างสมกับเป็นมาสเตอร์จริงๆ


    เพียงแต่เด็กน้อยก็ยังคงเป็นเด็กน้อย...


    เขาปล่อยมือจากศพสุดท้าย มองร่างอีกหนึ่งร่วงลงสมทบกับอีกนับไม่ถ้วนที่ทับถมกันอยู่ก่อนหน้า


    คิดหรือว่าข้าจะมองไม่เห็นป้ายสุสาน?


    ทั้งธูปเทียนของเซ่นไหว้ ภาพถ่ายใบหน้ายิ้มแย้ม เสียงกลั้นสะอื้นในยามค่ำคืน และสายตาอาวรณ์ของเจ้าเหล่านั้น...


    ความรู้สึกคันยิบผุดขึ้นในอก ชั่วแวบแรกลั่วปิงเหอนึกสงสัยกับความรู้สึกนั้น ก่อนที่ขณะถัดมาจึงตระหนักถึงความคุ้นเคยของมัน


    ปกปิดเท่าไรก็ปกปิดไปเถิด...เสิ่นจิ่ว


    แต่เจ้าจะไม่มีวันปิดบังข้าได้ว่าเจ้าคะนึงหาเด็กหนุ่มผู้นั้น


    "แล้วแกล่ะ จะขออะไร?"


    อีกฝ่ายพลันถามคำถามที่ไม่คาดคิด


    ลั่วปิงเหอชะงักนิ่ง แสดงสีหน้าเสมือนว่าต้องขบคิดอย่างหนักกับคำถามนั้น


    ข้ารู้


    รู้ว่าเจ้าจะต้องขอให้ 'เขา' ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง


    ดังนั้น...


    ลั่วปิงเหอหันไป สบกับดวงตาดำขลับขณะกล่าวล้อคำตอบเดียวกันไปด้วยรอยยิ้ม


    "ไม่เกี่ยวกับเจ้าเสียหน่อย"


    ข้าจะขอให้ 'เขา' ต้องตายไปตลอดกาลเสียเลย





  • II.

    เมื่อถูกเรียกขาน...


    เมื่อได้รับโอกาส เมื่อได้กลับมายัง 'โลกนี้' อีกครั้ง...


    ลั่วปิงเหอไม่คาดคิดว่าจะถูกรายล้อมไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและเปลวไฟ


    เขาเลิกคิ้ว เหลือบไปทางหนึ่งผ่านซากเสาคานลุกไหม้ มองเห็นร่างสองสามร่างนอนคว่ำหน้าทับถมกันอยู่


    เมื่อหันไปอีกทาง มองเห็นตู้โต๊ะล้มคว่ำระเกะระกะและเปียกของเหลวสดแดง บนกำแพงใกล้กันมีรอยสาดกระจายดวงใหญ่ กระเซ็นไปถึงเพดาน


    ในช่วงชีวิตเก่าไกลโพ้น ภาพฉากนองเลือดเช่นนี้ไม่เคยแปลกตา


    ฐานะจักรพรรดิทำให้เขาได้เห็นคนตายอยู่ไม่ขาด และการถูกเรียกว่าทรราชก็ทำให้ได้มีบทบาทเป็นผู้ลงมือบ่อยครั้ง


    กระนั้น ส่วนประกอบทั้งหมดตรงหน้ากลับคล้ายจะมีความหมายอะไรบางอย่าง ข้อความแฝงเร้นที่ต่างไปจากประสบการณ์ที่เขาเคยมี


    การลงมืออย่างหุนหัน การดิ้นรนที่ฉุกละหุก ความหายนะที่ตามมาอย่างคล้ายไม่คิดเอาตัวรอด...


    หลักฐานเหล่านี้แฝงอยู่ในรอยฟันแทงลึกตื้นไม่เท่ากัน ปรากฏชัดเจนในคราบเลือดเปื้อนป้ายเป็นรอยมือ และบ่งบอกอย่างแจ่มแจ้งจากเพลิงโหม


    ลั่วปิงเหอพอใจนักกับความโกลาหลนี้ ด้วยสันดานเดิมปะปนกับฐานะใหม่ ทบทวีด้วยคุณลักษณะของ 'เบอร์เซอร์เกอร์' ผู้เกลือกกลิ้งอยู่ในความบ้าคลั่งสันตะโร


    มันยิ่งทำให้เขาบิดเบี้ยว...ข้อนี้เขารู้ตัวเองดี


    ทว่าก็ไม่ทำให้ยี่หระแต่อย่างใด


    ลั่วปิงเหอก้มลงมองร่างที่คุดคู้อยู่เบื้องหน้า เห็นสองมือผอมแห้งที่แม้หมดภัยแล้วแต่ยังกุมมีดเอาไว้แน่น ตั้งแต่ปลายคมจนถึงข้อศอกชุ่มโชกด้วยเลือดที่ยังสดใหม่ อีกทั้งหลายส่วนก็กระเด็นไปเปียกถึงเสื้อขาว บนแก้มเปื้อนแดงหลายแห่ง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่รอบกายอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวสนิมคละคลุ้ง


    เขาขยี้ปลายเท้า วงเวทอัญเชิญเบื้องใต้ทั้งเก่าทั้งเลือน สีที่ใช้วาดซีดจางเสียจนไม่น่าเชื่อที่ยังใช้การได้อยู่


    บางที แท้จริงแล้วสิ่งที่ทำให้พิธีกรรมสำเร็จอาจไม่ใช่ลวดลายพรรค์นี้ แต่เป็นความยุ่งเหยิงของโลหิต เปลวไฟ และ...


    "เป็นเจ้าหรือ...เด็กน้อย"


    ไหล่สั่นเทาพลันหดเกร็ง มือที่กำอาวุธกระตุกคล้ายเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของประสาทที่ตึงเคียด ก่อนที่ร่างนั้นจะเงยศีรษะขึ้นช้าๆ เปิดเผยใบหน้า


    เป็นใบหน้าที่คงเคยหมดจด เพียงแต่ตอนนี้เปรอะคราบโลหิตและเขม่าควันเสียดูประหนึ่งคนคุ้มคลั่ง และนั่นก็ทำให้ลั่วปิงเหอพึงพอใจ


    ทว่าดวงตาที่มองตอบเขากลับใสกระจ่าง ดุจธารน้ำเย็นจัดที่แม้ดูสงบไร้พิษภัยในคราแรก แต่เมื่อได้สัมผัสก็กลับหนาวเหน็บบาดผิว


    ลั่วปิงเหอยิ่งยิ้ม แค่เพียงสายตานั้นก็มั่นใจโดยไร้ข้อกังขา...


    เขาเอ่ยอีกครั้ง คล้ายตอบตัวเอง คล้ายยืนยัน คล้ายตีตรา


    "เป็นเจ้า ที่เรียกหาข้า"





  • III.

    เข็มพิษพุ่งผ่านริมหูไปเส้นยาแดงผ่าแปด โชคดีที่มันพลาดเป้า เพราะกว่าเสิ่นจิ่วจะเอี้ยวตัวหลบก็เชื่องช้าไปแล้วชั่วขณะ


    เด็กหนุ่มกัดริมฝีปาก ในใจคิดสาปแช่งทุกอย่างบนโลกใบนี้โดยเฉพาะตัวเองขณะเลี้ยวหัวมุม เตรียมจะกระโดดลงบันไดเพื่อความรวดเร็วแต่กลับโชคร้ายที่เท้าข้างหนึ่งลื่นพรืด กลายเป็นเสียหลักล้มคะมำไปด้านหน้า...


    ทางเลือกมีอยู่ระหว่างการเปลืองมานามากขึ้นอีกหน่อย กับการตกบันไดคอหักตาย


    เสิ่นจิ่วตัดสินใจเดี๋ยวนั้น ทั้งที่ยังหอบหายใจแทบไม่ทันแต่ก็ต้องร้องเรียกออกคำสั่ง


    "เบอร์เซอร์เกอร์!!!"


    ท่อนแขนแข็งแรงพลันโอบรอบเอวเขาไว้ ว่องไวราวเตรียมพร้อมรออยู่ก่อนแล้ว


    แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันบ่นว่า รอบตัวก็มีเสียงเพล้งดังลั่น


    เสิ่นจิ่วหลับตาปี๋ตามสัญชาตญาณโดยอัตโนมัติ เมื่อรู้สึกตัวอีกทีฝ่าเท้าก็มาเหยียบลงบนพื้นอย่างมั่นคงเรียบร้อยแล้ว


    เสียงหัวใจเต้นแรงอยู่ในหู เด็กหนุ่มพยายามกลบเกลื่อนอาการแตกตื่นของตัวเองด้วยการกวาดตามองรอบๆ แต่นั่นก็ทำให้เห็นเศษกระจกเกลื่อน ทั้งชิ้นเล็กใหญ่กระจัดกระจาย สะท้อนแสงสว่างจนดูระยิบระยับเต็มไปหมด


    เสิ่นจิ่วอ้าปากค้าง หันขวับไปทางเจ้าตัวการทันใด


    "นี่นายพุ่งทะลุกระจกออกมา?!"


    ลั่วปิงเหอยักไหล่ ตอบง่ายๆ ว่า "อย่างนี้เร็วกว่า"


    ...ดูเหมือนว่าวิญญาณวีรชนจะมีระบบความคิดไม่เหมือนคนปกติ...


    เสิ่นจิ่วกำลังจะพูดอะไรอีก ตำหนิเรื่องการทำลายข้าวของหรือส่งเสียงดังหรืออะไรสักอย่าง ทว่าเมื่อเห็นเงาร่างเพรียวกระโดดตามลงมาอยู่ตรงหน้าแล้วก็รีบหุบปากฉับ สีหน้าเปลี่ยนเป็นระแวดระวังในทันใด


    หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า หากมองเผินๆ คงเห็นว่าเป็นเพียงสตรีร่างสะโอดสะองรูปโฉมจับตาที่แต่งกายประหลาดคนหนึ่งเท่านั้น


    แต่แท้จริงแล้ว สาวงามผู้ดูไร้พิษภัยผู้นี้คือสิ่งที่เรียกว่า ‘วิญญาณวีรชน’...ตัวตนหนึ่งที่ถูกเรียกจากประวัติศาสตร์หรือตำนาน ก่อร่างกายเนื้อขึ้นด้วยมานาของผู้อัญเชิญในฐานะข้ารับใช้ที่เรียกว่า ‘เซอร์แวนต์’ เพื่อร่วมต่อสู้ในสงครามชิงจอกศักดิ์สิทธิ์


    เซอร์แวนต์คลาสแอสแซสซินมองดูพวกเขาทั้งคู่ เรียวปากสีแดงสดคลี่ยิ้มขณะปลายนิ้วเล่นอยู่กับแผงเข็มข้างเอว ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวดูจะเป็นไปโดยไร้เสียงสมกับที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม 'นักลอบสังหาร'


    "เบอร์เซอร์เกอร์?" หล่อนทวนคำเชื่องช้า แต่ละพยางค์จงใจลากเสียงแฝงสำเนียงยั่วยวนอย่างอันตราย


    "เจ้าน่ะหรือเบอร์เซอร์เกอร์?"


    ลั่วปิงเหอไม่ตอบ แต่เอียงศีรษะน้อยๆ เป็นเชิงจะถามกลับว่า 'ถ้าใช่แล้วจะทำไม'


    แอสแซสซินยิ่งยิ้มกว้างขึ้น คล้ายจะหัวเราะ แต่ก็ไม่มีเสียงหัวเราะ


    "ข้าเข้าใจว่าเบอร์เซอร์เกอร์จะเป็นพวกเสียสติกันทั้งหมดเสียอีก ไยกลับเป็นชายงามเช่นเจ้าไปได้เล่า?"


    เสิ่นจิ่วมองสลับระหว่างทั้งสองไปมา คิดตามว่าก็จริงอยู่ว่าด้วยคำเรียกแล้วคลาสเบอร์เซอร์เกอร์ก็คือคลาสสำหรับเหล่า 'ผู้บ้าคลั่ง' ในขณะที่เบอร์เซอร์เกอร์ของตนแม้พูดจาเดินเหินเหมือนสุภาพบุรุษ แต่แท้จริงก็ไม่ได้ปกติเลยสักนิด ก็นับว่าอยู่ถูกที่ถูกทางแล้วไม่ใช่เหรอ?


    ...แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงมุมมองของเด็กหนุ่มผู้มีประสบการณ์มองโลกอยู่น้อยนิดและคับแคบผู้หนึ่ง การที่ลั่วปิงเหอที่ทำอะไรตามใจโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์ ทั้งยังฆ่าคนบริสุทธิ์สูบมานาได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นนั้นจึงนับว่า 'บ้าคลั่ง' มากแล้วสำหรับเขา และก็แน่นอนเช่นกันว่าเขาไม่ได้รู้อะไรเลย


    เพียงแต่หากคำนึงถึงสิ่งที่แอสแซสซินพูด แบบนี้ก็หมายความว่าเซอร์แวนต์คลาสเบอร์เซอร์เกอร์ทุกคนจะต้องเสียสติอย่างนั้นหรือ?


    ระหว่างที่เสิ่นจิ่วกำลังงุนงงอยู่อย่างนั้น ลั่วปิงเหอก็เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม คำพูดและน้ำเสียงนุ่มนวลชวนหลงใหลไม่สมกับที่เบอร์เซอร์เกอร์โดยสิ้นเชิง


    "น้อมรับคำชม"


    คล้ายว่าฝ่ายตรงข้ามก็จะถูกเสน่ห์นั้นกล่อมให้ตายใจ คราวนี้เจ้าหล่อนหัวเราะ เสียงแหลมสูงอย่างที่ทำให้เสิ่นจิ่วขนลุกชัน


    "ช่างสมกันนัก มาสเตอร์ของเจ้าเองก็หมดจดน่ามองไม่น้อย..." แอสแซสซินดึงเข็มออกมาทีละเล่มอย่างแช่มช้า ประณีตบรรจงประหนึ่งกำลังเตรียมจะปักผ้า


    "ข้ารับรองว่าจะทำให้เขาเป็นตุ๊กตาที่งามมากแน่!!"


    เสิ่นจิ่วที่ถูกชมอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นโดนขู่ฆ่าสะดุ้งโหยง ประสาทสัมผัสตื่นตัวขณะมองมือเรียวสวยคู่นั้นขยับ เตรียมพร้อมเต็มที่ หมายมั่นปั้นมือว่าคราวนี้จะต้องมีปฏิกิริยาว่องไวกว่าครั้งก่อน


    ฉัวะ!!


    "กรี๊ดดดด!!!"


    เข็มพิษยังไม่ทันถูกปล่อยออกไป แขนทั้งสองของผู้โจมตีก็พลันขาดสะบั้น ช่วงไหล่ที่เหลือเพียงแต่ตอนั้นเหวอะหวะไปด้วยเศษหนังและเนื้อ ขณะเดียวกันก็ยังพอเห็นปลายแหลมของกระดูกที่หักอยู่วอบแวม ปากแผลไม่เรียบหรือเฉียบขาดเหมือนเป็นผลจากคมดาบ แต่เพราะถูกแรงที่มองไม่เห็นฉีกกระชากออกมา


    เลือดแดงสดพุ่งทะลัก เสียงกรีดร้องยังคงดังลั่นอย่างราวจะดำเนินไปไม่สิ้นสุด ในขณะที่กลิ่นคาวสนิมคละคลุ้ง แผ่ข้นไปทั่วบริเวณให้ชวนคลื่นเหียน


    บรรยากาศรอบตัวบีบคั้นและหนักอึ้ง แทบจะรีดเค้นลมหายใจออกมาให้หมดปอด กดดันหนักหนาประดุจว่าสิ่งที่กดทับลงมาคือแผ่นฟ้าทั้งผืน


    เด็กหนุ่มหันไปหาคนข้างตัวโดยสัญชาตญาณ ทว่าสิ่งที่เห็น...กลับไม่ใช่ลั่วปิงเหอที่การกระทำอิสระเสรีเหมือนที่ผ่านมาก่อนหน้า


    ลั่วปิงเหอยังคงยืนตัวตรง ยืดแผ่นหลังท่วงท่าสง่าผ่าเผย บนใบหน้าเองก็ยังคงประดับรอยยิ้มบาง มุมปากหยักโค้งขึ้นเหมาะเจาะงดงาม จะมีผิดแผกก็เพียงแต่ในแววตา...


    บัดนั้น เสิ่นจิ่วจึงได้ประจักษ์เป็นครั้งแรก


    ว่านี่ต่างหาก คือความ 'บ้าคลั่ง' ที่แท้จริงของเบอร์เซอร์เกอร์





  • IV.

    "เบอร์เซอร์เกอร์ปกติจะต้องเสียสติเหรอ?"


    ลั่วปิงเหอชะงัก เบี่ยงประเด็นด้วยการถามกลับไปว่า "ข้าดูเหมือนคนเสียสติมากหรือ?"


    ไม่ได้ผล เขาถูกเสิ่นจิ่วทำตาขุ่นใส่


    "ที่แอสแซสซินนั่นพูดมันหมายความว่ายังไง?" เด็กหนุ่มจับจ้องเขา สีหน้าบีบคั้นจริงจังทำให้ตนอยากเอ่ยเตือนนัก ว่าความสงสัยและช่างหาคำตอบนั้นจะทำให้เจ้าต้องเสียใจภายหลัง


    ลั่วปิงเหอหลบเลี่ยง กลบเกลื่อนด้วยการให้คำตอบอย่างกลางๆ ไปว่า


    "ก็ตามชื่อนั่นละ เบอร์เซอร์เกอร์จะบ้าคลั่งก็ถูกต้องแล้ว"


    "แต่นายก็ดูปกติดีนี่" อีกฝ่ายเถียงกลับทันควัน


    เบอร์เซอร์เกอร์เกือบพลั้งหัวเราะให้กับการตัดสินอย่างแสนซื่อของอีกฝ่าย


    เขาหันไปหา มองสบดวงตาดำขลับไร้ความมืดมัวเจือปนจับจ้องเขาจดจ่อ ก่อนที่จะยิ้มให้เป็นคำตอบแก่คำโต้แย้งนั้น


    เด็กน้อยเอ๋ย จะทำวางท่าอย่างไรก็ยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่วันยังค่ำ


    ลั่วปิงเหอนั้นใจหนึ่งอยากจะเปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้...


    ทำลายความไร้เดียงสาไปเสียให้สิ้น สั่งสอนให้รู้ว่าแท้จริงความ 'บ้าคลั่ง' หรือ 'เสียสติ' ไม่จำเป็นต้องปรากฏเห็นได้ชัดตั้งแต่ผิวเผิน


    มันสามารถเป็นเหมือนคลื่นใต้น้ำ อสรพิษในพงหญ้า มีดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง หรือกระทั่งคมเขี้ยวที่หลบอยู่หลังริมฝีปาก...มองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า และไม่อาจตัดสินโดยอาศัยเพียงการมองเห็น


    มันสามารถแอบซ่อนเบื้องใต้ หลบเร้นอยู่ภายใน คุกรุ่นใต้ซากกองไฟที่ต่อให้มองไม่เห็นว่ากำลังลุกไหม้ แต่หากสายลมตลบขี้เถ้าขึ้นฟุ้ง เปลวไฟก็พร้อมจะโหมขึ้นทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว


    ลั่วปิงเหอก้าวเข้าไปใกล้ขึ้น ล่วงผ่านเส้นกางกั้นที่มองไม่เห็น เบียดตัวเองเข้าไปข้างใน รุกล้ำบังคับให้เสิ่นจิ่วเผลอถอยหนีประชิดผนังและต้อนตัวเองให้ตกลงสู่กับดักไปโดยไม่รู้ตัว


    เขาเอ็นดูความไร้เดียงสาอันเปี่ยมเหลี่ยมมุมของเด็กน้อยผู้นี้นัก ดังนั้นจึงอยากจะถนอมรักษามันเอาไว้


    ...ทว่าอีกด้านหนึ่ง สัญชาตญาณนักล่าก็อยากจะพรากความงามเล็กๆ นี้ไป ให้ได้เสพสมกับความลำพองว่าเคยทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้กับเสิ่นจิ่ว เป็นหลักฐานว่าตนสามารถเปลี่ยนแปลงเสี้ยวจิตใจหนึ่งของเด็กหนุ่มอย่างไม่มีวันฟื้นคืนหรือหวนกลับ


    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเหยื่อส่งตัวเองมาให้ถึงที่อย่างนี้แล้ว...คนโลภมากเช่นเขาจะยังปฏิเสธได้อีกหรือ?


    ลั่วปิงเหอยิ่งขยับเข้าแนบชิด แขนทั้งสองกักร่างเล็กกว่าเอาไว้ขณะโน้มใบหน้าลง ค่อยๆ เอ่ยบรรยายช้าชัด


    "ข้าสั่งฆ่าล้างสิบสองสำนักบัณฑิต สั่งเผาทำลายหนังสือตำรา เพียงเพื่อค้นหาคัมภีร์วิเศษเล่มหนึ่ง"


    "ข้าบุกแคว้นข้างเคียงเพราะข่าวลือของโฉมงามนางหนึ่ง แม้จะมีสตรีอยู่แล้วแปดร้อยคนในวังหลัง แต่ละค่ำคืนต้องแวะเวียนไปหลายตำหนักจึงจะพอใจ"


    "ข้าสั่งเดินเรือ บังคับกะลาสีและทหารเรือให้ใช้ชีวิตกลางทะเลเป็นสิบๆ ปีเพื่อตามหายาอายุวัฒนะที่ไม่มีอยู่จริง"


    "ประวัติศาสตร์เรียกข้าว่าทรราช...ข้าคือจักรพรรดิคลั่ง ผู้ออกคำสั่งพิสดารมากมายเพื่อสนองความโลภของตัวเอง"


    ดวงตากระจ่างตรงหน้าวูบไว ความสับสน งุนงง หวาดหวั่นสะท้อนสลับและปนเปกันแจ่มแจ้ง


    ลั่วปิงเหอพึงพอใจนัก แววตาของอาจิ่วแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างชัดเจนเสมอ


    เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนี หลุบตาลงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ย


    "ประวัติศาสตร์บอกแบบนั้น แต่นายได้ทำจริงๆ รึเปล่าล่ะ"


    ดูเหมือนว่าความไร้เดียงสา เมื่อกอปรสร้างไปพร้อมกับความช่างระแวงสงสัยแล้วก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจทีเดียว


    ลั่วปิงเหอนิ่งไปอย่างไม่คาดคิดกับคำถามเช่นนั้น แต่เพียงชั่วแวบเดียวก็ปรับสีหน้าเป็นรอยยิ้มบาง


    "ประวัติศาสตร์กล่าวไว้เช่นใด ข้าก็ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น" เขาโน้มกายลงจนชิด จมูกคลอเคลียอยู่กับบริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างสันครามและลำคอ รับรู้ได้ว่าชีพจรเบื้องใต้นั้นกำลังเต้นแรง


    นั่นยิ่งทำให้เขาพึงพอใจมากขึ้นไปอีก


    "ประวัติศาสตร์บอกว่าข้าไม่เพียงแค่มักมาก แต่ยังโลภโมโทสันผิดมนุษย์มนา...ความปรารถนาล้นปรี่เทียมฟ้า สนองอย่างไรก็ไม่สิ้น


    "ความอยากอันไม่สิ้นสุด นั่นคือความ 'บ้าคลั่ง' ของข้า"


    เสิ่นจิ่วพยายามเบือนหน้าหนีปลายจมูกของเขา แต่ก็กลับกลายเป็นยิ่งเผยพื้นที่ให้จู่โจมได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันเพื่อกลบเกลื่อนความขัดเขินก็เอ่ยถามเฉไฉไปว่า


    "แล้วตอนนี้นายอยากได้อะไร?"


    นั่นเป็นเพียงคำถามไม่จริงจัง แต่ก็ทำให้อยากตอบไปอย่างจริงจัง


    เหมือนผิวกายขาวใต้ปกเสื้อที่อ้าแง้มอยู่นั่น ดูแล้วราวหิมะแรกที่ยังไม่ถูกแตะต้อง...


    ที่ช่างเห็นแล้วชวนให้อยากเหยียบย่ำ


    "เจ้า"


    ลั่วปิงเหอลงมือดังใจคิด ขบเม้มลงบนลำคอเปิดเปลือยนั้นในทันที


    ชีพจรใต้ผิวเนื้อพลันสะดุ้ง เต้นรวนเรเสียจังหวะไปยิ่งกว่าเก่า


    "เบอร์เซอร์เกอร์!!"


    มือที่ไร้แรงทุบเข้าตรงไหล่ ทำให้รู้สึกจั๊กจี้ยุบยิบโดยไม่สะทกสะเทือนสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยอมผละออกมาแต่โดยดี


    สายตาอ้อยอิ่งอยู่ที่รอยแดงบนลำคอนั้นนานอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะเบนขึ้นมาเห็นเสิ่นจิ่วสีหน้าฉุนเฉียว เพียงมองจากที่ขึงตาใส่ก็รู้แล้วว่าเห็นคำพูดของเขาเป็นเพียงการล้อเล่นเลอะเทอะ


    และลั่วปิงเหอก็ฉีกยิ้มกว้าง แสร้งหัวเราะและเอ่ยขอโทษอย่างเลื่อนลอย ย่อมยินดีจะปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปตามนั้น


    เพราะนักล่าที่ดีต้องไม่ทำให้เหยื่อตื่นตูม...มิใช่หรือ?



    _____________________________________________________________________________________________________



    (รวมจากที่เคยโพสต์บนทวิตเตอร์+ตรวจทานแก้ไข)

    Writing Playlist
    I beg you - Aimer
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in