เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
MinNo Short Fictionicypumpkin
Moment [Jeno Part]
  • Title: Moment
    Pairing: MinNo [NaJaemin x LeeJeno]
    Genre: AU, Angst, Romantic, Yaoi
    Author: icypumpkin
    --------------------------------------------------------





    [I.]



    อีเจโน่ยังจำได้ดี
    ถึงวันแรกที่เขาได้เจอกับนาแจมิน



    มันเป็นคืนที่เพื่อนสนิทอย่างอีดงฮยอกกึ่งลากกึ่งชวนเขามาบาร์เล่นดนตรีสด เพลงเพราะฟังสบาย โดยอ้างว่าวงที่เขาชื่นชอบจะมาเล่น แถมราคาเบียร์ก็ไม่แรงจนเกินไป มีโปรโมชั่นและอื่นๆ มาโน้มน้าวเขาเต็มที่ 

    ถ้าถามถึงสาเหตุที่พยายามลากเขาออกมาขนาดนี้น่ะหรอ... คงเป็นเพราะอีเจโน่เพิ่งอกหักจากการบอกเลิกแฟนของตนเองมาประมาณเดือนกว่า

    ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก 

    เขาเป็นคนบอกเลิกตัดจบความสัมพันธ์กับหญิงสาวที่คบมานานเกือบปี แต่ก็เป็นเขาเองที่อกหัก

    ไม่รู้จะเรียกว่าโชคร้ายหรือโชคดีที่เขาอยากไปเซอร์ไพร์สเจ้าหล่อนด้วยการโกหกว่าไปต่างเมืองและไม่สามารถกลับมาทันวันครบรอบของเราได้ หากเพียงแค่เปิดประตูเข้าไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ไม่ต้องใช้คำพูดใดเติมแต่งให้มากความ เขาจับได้คาหนังคาเขาว่าแฟนตัวเองกำลังมีอะไรกับผู้ชายคนอื่น 


    ความรักพังลงไม่เป็นท่า อีเจโน่ไม่แม้แต่จะถามหาเหตุผลหรือให้โอกาสใดๆ กับคนที่โกหกหักหลังกันได้ลงคอ ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ ที่ฟังขึ้น อย่างน้อยๆ ก็ในมุมมองของเขา




    เจโน่จำไม่ได้ว่าตัวเองดื่มไปเยอะแค่ไหน แต่ก็รู้ว่ามากพอสมควร พอได้เริ่มแก้วแรกแล้วก็กระดกดื่มไม่หยุด ไม่รู้ว่าเขากระหายน้ำหรือเพราะช่วงแรกไม่ว่าจะมองไปโต๊ะไหน ก็เหมือนเห็นภาพของแฟนเก่าซ้อนทับกับผู้หญิงที่ยกแก้วขึ้นพร้อมชนกับเขาเสียทุกที


    "เบาหน่อยๆ" น่าจะเป็นเสียงดงฮยอกมาพร้อมกับมือที่พยายามมาฉกขวดเบียร์ในมือเขาไป

    "ยังไม่เมาหรอกน่า" เจโน่ตอบกลับ ยอมให้ดึงเบียร์ในมือไปโดยไม่อิดออด ก่อนจะคว้าขวดใหม่มาเปิดแทนจนดงฮยอกถอนหายใจ

    "ไม่ค่อยเห็นเจโน่มุมนี้เลยแฮะ วันนี้ดื่มหนักจัง" อันนี้เสียงของมาร์ค เพื่อนสนิทอีกคนที่หัวเราะคิกคักกับภาพที่เห็น เขาไม่ตอบรับแต่เลือกที่จะหันไปยักคิ้วพร้อมกับชนขวดเบียร์ในมือเพื่อนเพื่อยกดื่มพร้อมกันแทนคำตอบ 

    "อย่าเพิ่งรีบเมานะเจโน่ เดี๋ยวเพื่อนสมัยม.ปลายฉันจะมาร่วมแจมด้วย" จำได้ว่าเขาพยักหน้าตอบรับก่อนจะพยายามลดความเร็วในการดื่มของตัวเองลง หันไปให้สนใจกับวงดนตรีสดที่เขารอคอยอยากฟังแทนที่ เซ็ตลิสต์ยังดีเหมือนเดิม ดนตรีก็แน่นแถมร้องนำยังเสียงดีไม่มีตกอีกต่างหาก 



    เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนพบว่าอีกไม่ถึงชั่วโมงวันใหม่จะเริ่มต้นขึ้น สะบัดผมม้าที่ปรกหน้าก่อนจะเสยผมและเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตูร้าน



    ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นยืนอยู่ตรงนั้นท่ามกลางผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ดวงตามองกวาดคล้ายกำลังหาใครสักคน ผมสีน้ำตาลอ่อนเซ็ตขึ้นเปิดหน้าผาก เสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสองเม็ดบนเผยผิวสีน้ำผึ้งกับกางเกงยีนส์รัดรูปขาดเข่า รองเท้าสนีกเกอร์สีเข้มเข้าชุด ก่อนอีกฝ่ายจะก้มหน้าลงเพื่อกดโทรศัพท์หาใครสักคน


    "ทางนี้... มองตรงๆ มาสิวะ บอกให้มองตรง ชูมือสุดแขนแล้วเนี่ย... เห็นยัง" เสียงมาร์คดังอยู่ข้างหูหากเข้าใจไม่ผิด คู่สนทนาคงหนีไม่พ้นบุุคคลที่เขากำลังมองอยู่เป็นแน่


    ตอนที่ระยะห่างไกลๆ เริ่มเข้าใกล้จนมองเห็นเค้าโครงได้ชัด... จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากสีสด ในยามที่สายตาสอดประสาน ดวงตาคมคู่นั้นตรึงสายตาเขาไว้อยู่หมัดตั้งแต่แรกเห็นจนตอนนี้ ก่อนอีกฝ่ายจะวาดรอยยิ้มกว้างและแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟัง


    "นาแจมิน เรียกแจมินก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะเจโน่" 



    เขารู้ได้ในทันทีจากจังหวะของหัวใจที่เต้นผิดปกติไป
    อีเจโน่ทิ้งตัวร่วงหล่นจากยอดเขาลงสู่หลุมลึกไร้จุดสิ้นสุดนั่นเสียแล้ว





    เข็มนาฬิกาเวียนครบผ่านเข้าสู่วันใหม่ เสียงเพลงจากดนตรีสดแปรเปลี่ยนเป็นเพลงจังหวะแดนซ์ผสมอีดีเอ็มให้ใครหลายคนวาดลวดลายกันบนฟลอร์และตามพื้นที่ว่างเปล่าจะเอื้ออำนวย ขวดเบียร์วางเกลื่อนกลาด เช่นเดียวกับสติสัมปชัญญะที่ลดน้อยลงจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์


    อีเจโน่ไม่ใช่คนดื่มเก่งหรือคอแข็ง วันนี้ที่กินไปก็ถือว่าเกินลิมิตมากแล้ว


    "กินเยอะเหมือนกันนะเนี่ย เจโน่เมายัง" แจมินชวนคุยเก่ง ตั้งแต่อีกฝ่ายกับเพื่อนสมัยมัธยมปลายคนอื่นๆ ของมาร์คมาร่วมโต๊ะก็ดูคึกคักยิ่งกว่าเดิม เรื่องเล่ามากมายไหลผ่าน เขาเผลอฟังเพลินเกินจะนับว่าดื่มเบียร์หมดไปกี่ขวด อาจจะห้า... เจ็ด... หรือมากกว่านั้น

    "ไม่เมานะ... หรืออาจจะเมานิดหน่อย" หัวเราะคิกให้กับคำตอบของตัวเอง เมาแน่ๆ แล้วขำง่ายแบบนี้

    "แต่หน้าแดงหมดแล้วนะ โดยเฉพาะ..." ประโยคขาดห้วงลงเช่นเดียวกับเจโน่ที่เผลอกลั้นหายใจด้วยระยะห่างระหว่างเราหดกระชับลงภายในพริบตา มันใกล้เสียจนเขาเห็นว่าแพขนตาของอีกฝ่ายยาวและเรียงตัวสวย.. ถึงว่าตาหวานจัง

    "ตรงนี้" กว่าจะกลับมารู้ตัวอีกทีก็ตอนอีกฝ่ายยื่นนิ้วโป้งมาลูบแก้มเขาไปมาพร้อมเสียงหัวเราะก่อนจะผละใบหน้าออกห่างดังเดิม

    "กินนิดหน่อยก็แดงแล้ว" 

    "อะไรนะ" คราวนี้แจมินเขยิบตัวเข้าใกล้กว่าทุกคราไม่รู้เพราะเขาพูดเสียงเบาเกินไปหรือเสียงเพลงที่ดังขึ้นจากการเปิดของดีเจ 

    แต่มันใกล้จนทำให้อีกฝ่ายต้องโน้มตัวเข้าใกล้จนใบหูแทบจะแนบกับริมฝีปากของเจโน่อยู่รอมร่อ

    ใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมของอีกฝ่าย ไม่ต้องถามเลยว่าใช้ยี่ห้ออะไร กลิ่นแสนเป็นเอกลักษณ์ที่เจโน่เคยฉีดแต่รู้สึกมันไม่เข้ากับตนเองเท่าไหร่นัก กลิ่นที่เคยคิดว่ามันหอม บัดนี้กลับหอมมากยิ่งกว่าเดิมเมื่อมันอยู่บนตัวของคนตรงหน้า Dior Sauvage กลิ่นหอมเย็นๆ แต่กลับทรงเสน่ห์เหมือนนาแจมินไม่มีผิด


    "เฮ้ ยังอยู่หรือเปล่า เงียบไปเลยเจโน่" 

    เสียงทุ้มต่ำใกล้ใบหูทำเอาเขาสะดุ้งก่อนจะเห็นอีกฝ่ายลอบยิ้ม ใบหน้าห่างจนจมูกแทบชนกันทำเอาเขากลั้นหายใจอีกครา ก่อนแจมินจะถามขึ้นอีกครั้ง

    "เมาแล้วใช่ไหมเนี่ย หน้าแดงมากเลย"

    "เปล่า แค่กินนิดเดียว ตัวก็แดงแล้ว" รู้สึกสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง ไม่ใช่เพียงแค่ระยะความใกล้ชิดหรือกลิ่นหอมนั่น แต่เป็นเพราะดวงตาคมนั่นไม่ละไปจากสายตาของเขาเลยสักนิดแม้ใบหน้าจะสัมผัสกันอยู่รอมร่อ



    บทสนทนาของเรายังคงไหลไปเรื่อยๆ พร้อมกับขวดเบียร์ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น




    "ขอจูบได้ไหม" 


    คำขอโต้งๆ ทำเอาคนฟังอยากจะถามซ้ำแม้จะได้ยินมันอย่างชัดเจน แต่คิดอีกที เขาไม่ควรถามให้ตัวเองดูไก่อ่อนอีกรอบ ไม่ใช่ไม่เคยมีแฟนหรือถูกจีบ หากแต่ไม่เคยมีใครต้อนเขาได้จนมุมอย่างรวดเร็วแบบที่นาแจมินทำแม้สักครั้ง

    "เรื่องแบบนี้ใครเขาขอกัน อยากทำก็ทำล—" เสียงของเขาขาดหายไปช่วงปลายประโยคพร้อมกับริมฝีปากอิ่มประกบลงมาและดูดเสียงของเขาหายไป มือของอีกฝ่ายจับแก้มก่อนจะเลื่อนไปยังท้ายทอยเพื่อปรับองศาให้เขารับจูบได้ถนัดขึ้น ลิ้นร้อนส่งเข้าโลมเลียและกวาดต้อนอย่างช้าๆ แล้วค่อยรุกเร่งจังหวะมากขึ้น ไม่ต่างจากวิธีที่อีกฝ่ายเข้าหาเขาสักนิด จนสุดท้ายเป็นเจโน่เองที่แทบหลอมละลายให้กับความหวานและอ่อนโยนนั่น 



    ให้ตายเถอะ นาแจมินจูบเก่งเป็นบ้า





    [II.]



    อีเจโน่ยังจำได้ดี
    ถึงวันแรกที่เขาได้เข้าไปพบเจอโลกของนาแจมิน



    มันเป็นวันฝนตก และเขาก็พลาดที่ไม่ยอมหยิบร่มออกมาจากบ้านถึงต้องรีบวิ่งเข้ามาหลบในห้องโถงตึกที่อยู่ใกล้ที่สุด



    "ฟู่..." ถอนหายใจกับตัวเองพร้อมสะบัดผมไปมาหวังให้มันแห้งขึ้น ดวงตากลมเหม่อมองไปยังหยาดฝนที่สาดซัดลงมาจนภาพด้านหน้าเป็นเหมือนม่านน้ำตก


    คงติดอยู่ที่นี่อีกสักพัก


    หลังความคิดนั้นจบลง เจโน่หันมองรอบกายก่อนจะพบกับที่นั่งริมกำแพง จึงพาตัวเองเดินไปตัวริมสุดทางเดิน หยิบหนังสือเล่มที่เพิ่งซื้อขึ้นมา พลิกไปมาเพื่อตรวจเช็คอีกครั้งว่ามันไม่ได้โดนฝนสาดซัดจนเปื่อยยุ่ย ยกช็อกโกแลตร้อนในมือขึ้นดื่มเป็นคำสุดท้ายก่อนจะวางไว้ข้างกายเพื่อเตรียมนำไปทิ้ง




    "เจโน่!" เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นทำเอาเขาหันมองก่อนจะพบเจ้าของรอยยิ้มกว้างกับดวงตาคมค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าใกล้

    "แจมินมาทำอะไรแถวนี้เนี่ย" เรายังติดต่อและนัดเจอกันบ้างหลังเหตุการณ์คืนนั้น… ถ้าพูดแบบเข้าข้างตัวเอง เจโน่รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนตรงหน้ากำลังดำเนินไปด้วยดีเลยทีเดียว


    "ฉันต้องถามมากกว่า นายมาทำอะไรแถวนี้" แจมินไม่ได้นั่งลงแม้ที่นั่งข้างเขาจะยังว่างอยู่

    "มาซื้อหนังสือ ดูในเว็บบอกว่ามีแค่สาขาแถวนี้ที่ยังมีอยู่อะ" ตอบกลับพร้อมชูหนังสือในมือให้อีกฝ่ายดู

    "ทำไมไม่ถามก่อนอะ"

    "ถามอะไร ว่าแต่แจมินเหอะ มาทำอะไรแถวนี้ อย่าบอกนะว่าแอบตามมา"

    "ติงต๊อง" คนที่ยืนอยู่หัวเราะเล็กน้อยให้กับคำพูดกึ่งแซวนั่นพร้อมกับหยิกแก้มคู่สนทนาไม่เบานัก

    "ง่ะ"

    "ฉันต่างหากที่ควรคิดว่านายแอบตามมา" เจโน่เลิกคิ้วสูงให้กับคำพูดนั้นจนแจมินต้องพูดต่อ "ก็ที่นี่มันคอนโดฉัน"

    "ห๊ะ.." คราวนี้คนพูดหัวเราะร่าให้กับน้ำเสียงและใบหน้าตกใจจริงจังของคนฟัง

    "จะว่าไปก็ไม่แปลก เราไม่เคยคุยกันถึงเรื่องนี้เลยนี่น่า แถมเวลาไปเที่ยวฉันก็อาสาไปส่งนายตลอด"

    "คอนโดหรูหรา" เจโน่พูดดักเพราะพื้นที่นี้ถือเป็นแถบอสังหาริมทรัพย์ราคาสูงเนื่องจากอยู่ใจกลางเมืองและการคมนาคมสะดวก

    "เวอร์เลย ไปนั่งห้องฉันก่อนไหม ดูท่าฝนจะตกอีกนาน"

    "ชวนผู้ชายเข้าห้องว่ะ" เจโน่เอ่ยแซวก่อนจะโดนเขกหัวเบาๆ

    "เดี๋ยวก็ปล่อยให้นั่งตากลมฝนอยู่ใต้คอนโดซะเลย มา" พร้อมกับมืออุ่นที่ยื่นมาให้เขาจับไว้และพาเดินเข้าล็อบบี้เพื่อขึ้นลิฟต์



    "ตามสบายนะ" เจ้าของห้องทิ้งท้ายไว้แค่นั้นหลังจากเราเดินเข้าห้องมาแล้วก่อนจะเดินหายไป 

    เจโน่กวาดสายตามองห้องโดยรอบ ห้องนั่งเล่นพร้อมชุดโฮมเทียเตอร์กลางห้องและโซฟาตัวใหญ่ ใกล้กันมีชั้นหนังสือที่อัดแน่น ข้างกันคือชั้นเก็บแผ่นซีดีและแผ่นเสียง ลึกเข้าไปทางซ้ายมือประตูถูกปิดไว้ ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นห้องนอน ขวามือเป็นเคาท์เตอร์บาร์ ตู้เย็นรวมถึงเครื่องครัวพื้นฐานที่ไม่รู้มีไว้แค่เพียงประดับห้องให้ดูสวยงามหรือเปล่า สุดห้องนั่งเล่นมีประตูต่อไปยังระเบียงเล็กๆ ซึ่งเต็มไปด้วยต้นกระบองเพชรวางเรียงกันเป็นชั้นๆ 


    "สำรวจห้องฉันไปถึงไหนแล้ว ดูครบยัง" นาแจมินกลับมาอีกครั้งในรูปแบบชุดสบายๆ มากขึ้น เสื้อยืดสีขาว กางเกงวอร์มสีดำกับผมไม่ได้เซ็ตที่ถูกปัดขึ้นไปลวกๆ

    "ยังนะ ขาดห้องนอน" เจโน่ตอบติดตลกก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา "สวนแค็กตัสของนายสวยดี"

    "ขอบคุณที่ชม รู้สึกแปลกๆ แฮะ ปกติิไม่มีใครบอก"

    "ทำไมอะ ที่พาเข้ามากี่คนไม่เคยพ้นเขตห้องนอนหรอ" 

    "ปากดีจังเลย ไม่ค่อยพาใครขึ้นห้องต่างหาก" เห็นมือคนพูดเอื้อมมาจนต้องเขยิบตัวหนีให้พ้นรัศมีการโดนจับได้

    "นายชอบสีขาวดำหรอ" เจโน่สังเกตจากการที่ห้องถูกตกแต่งอยู่เพียงสองสีเท่านั้น

    "อือ มันมองสบายตาดีนะ" เขาพยักหน้ารับกับคำตอบนั้น ก็จริงอีก แจมินดูมีเทสต์ดีตั้งแต่การแต่งตัวยันการตกแต่งห้องและเลือกเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ไม่แปลกที่อีกฝ่ายเรียนออกแบบ


    "ไปอาบน้ำไหม เมื่อกี้เปียกฝน ทิ้งไว้เดี๋ยวเป็นหวัด" ก่อนเจ้าของห้องจะเอ่ยเปลี่ยนบทสนทนา

    "ไม่เป็นไร ไม่มีชุดมาเปลี่ยนอะ ใส่ตัวเดิมก็ชื้นเหมือนเดิม ค่าเท่ากัน"

    "ใส่ของฉันก็ได้ ขนาดตัวเราก็ไม่ได้ห่างกันเท่าไหร่ ฉันว่านายใส่ได้ ส่วนเสื้อผ้าของนายก็เอาไปซักแล้วตากไว้ก่อน" 

    "อ่า... งั้นรบกวนด้วยนะแจมิน" ด้วยพื้นฐานเป็นคนป่วยง่าย บอกตรงๆ ก็กลัวเป็นหวัดเหมือนกัน ต่อให้จะเปียกฝนไม่มากเท่าไหร่ก็ตามเถอะ เจ้าของห้องยิ้มรับบอกให้เดินเข้าห้องน้ำไปก่อนได้เลยเดี๋ยวจะวางชุดไว้ให้ ซึ่งเขาก็ใส่ได้พอดีแบบที่เจ้าตัวบอก แม้มันจะหลวมไปหน่อยก็ตาม

    "นายชอบใส่เสื้อโอเวอร์ไซส์หรอ" เพราะจากที่เคยเจอกัน อีกฝ่ายดูชอบใส่เสื้อพอดีตัวมากกว่า

    "เคยชอบอยู่ช่วงนึง" แจมินตอบรับ เปลี่ยนแผ่นเสียงก่อนจะปล่อยมันเล่นเพื่อไม่ให้ห้องเงียบเกินไป "แต่ตอนนี้เอาไว้ใส่นอนหรือไม่ก็นานๆ ใส่สักที"

    "นายไม่อาบน้ำหรอ" จำได้ว่าตอนเจอกัน อีกฝ่ายตัวเปียกหนักกว่าเขาเสียอีก

    "เช็ดผมไปแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วด้วย" เจโน่หรี่ตามองกับคำตอบนั้น

    "ไปอาบน้ำเหอะ เดี๋ยวก็เป็นหวัด" แจมินยกมือยอมแพ้

    "งั้นก็อีกรอบ ตามสบาย ของกินในตู้เย็นหยิบได้ทุกอย่าง แผ่นเสียงถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนได้เลย" เจโน่พยักหน้ารับก่อนอีกฝ่ายจะเดินหายเข้าไปในห้อง

    มือเรียวหยิบหนังสือที่เพิ่งซื้อมาอีกครั้ง ล้มตัวลงนอนบนโซฟา แต่อ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ ด้วยความนุ่มของโซฟาผนวกกับความสบายตัวของร่างกายหลังอาบน้ำเสร็จทำเอาอีเจโน่เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งรู้สึกถึงความอบอุ่นที่สัมผัสบริเวณแก้มจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะพบนาแจมินนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นพรมข้างโซฟา

    "'โทษที ทำนายตื่นหรอ" แม้จะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังคงลูบแก้มของเขาไปมา

    "ไม่เป็นไร เพิ่งหลับไปไม่นานเอง"

    "เข้าไปนอนในห้องดีๆ ไป นอนตรงนี้เดี๋ยวปวดคอพอดี" 

    "อุ้มไปหน่อย" เจโน่ยิ้มกว้างจนดวงตาปิดเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนโดนอ้อนดูชะงักไป

    "ตัวแสบเอ้ย" ก่อนริมฝีปากของเขาจะถูกปิดลงอีกครั้ง และอีกหลายๆ ครั้งตั้งแต่โซฟาไปยันที่นอนคิงส์ไซส์ในห้อง


    เสียงทุ้มต่ำน่าฟังมากยิ่งกว่าเดิมเมื่อมันเคล้ากับสายฝนอย่างวันนี้ รวมไปถึงอ้อมกอดอุ่นๆ ที่เป็นที่พักชั้นยอด





    [III.]



    อีเจโน่ยังจำได้ดี
    ถึงวันที่ทำให้เขายอมรับกับตัวเองว่าตกหลุมรักนาแจมินจนถอนตัวไม่ขึ้น



    "อื้อ.." เสียงงัวเงียงึมงำในลำคอดังผสมกับเสียงหัวเราะของใครอีกคน ยิ่งเขาขยับตัวหนี ก็ยิ่งโดนไล่จนสุดปลายเตียงแต่ก็ยังมีอ้อมแขนกอดไว้เพื่อไม่ให้ตกลงไป

    "หยุดแกล้งนะแจมิน" คราวนี้ปลายเสียงขุ่นกว่าเดิม แต่สัมผัสตามลำคอและลาดไหล่ก็ยังไม่ผละไปไหน

    "ไม่ได้แกล้งสักหน่อย" จบคำนั้น คนที่ยังไม่ตื่นดีพลิกตัวกลับมาประจันหน้าก่อนจะพยายามลืมตาปรือๆ ขึ้นให้เห็นภาพ ผมสีน้ำตาลอ่อนยุ่งๆ ดวงตาคมสวยที่เขาหลงรักกับริมฝีปากที่พรายยิ้มจนเห็นฟันซี่ขาว.. หน้าตาเจ้าเล่ห์จะตายไป 

    "ง่วง ขอนอนก่อนนะ" เจโน่ยู่ปากแต่อีกฝ่ายก็ไม่วายจะกดริมฝีปากลงไปซ้ำๆ 

    "ตื่นก่อน ทำอาหารเช้าให้เสร็จแล้ว เดี๋ยวค่อยกลับมานอน" อาศัยจังหวะเผลอผลักตัวคนข้างกายออกก่อนจะเอาผ้าห่มคลุมโปงไว้ซะมิด

    "ไม่เอา นอนก่อน ไว้ค่อยกิน" ไปเอาแรงมาจากไหนเยอะนักหนาถึงตื่นเร็วขนาดนี้... ต่อให้ตอนนี้จะเที่ยงแต่กับคนที่โดนกวนเกือบทั้งคืนแล้วได้หลับจริงๆ ตอนพระอาทิตย์แตะขอบฟ้า เจโน่ถือว่ามันยังเช้าอยู่

    "เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ"

    "วันหลังก็ให้นอนเป็นเวลา ไม่ใช่สะกิดอยู่นั่น"

    "แต่เจโน่ก็ตอบรับเป็นอย่างดีเลยนี่น่า" และคำพูดนั้นทำเอาคนที่นอนคลุมโปงยอมลดผ้าห่มลงพร้อมมองมาตาเขียวปั๊ด

    "ฮ่ะๆๆ ไม่แกล้งแล้วครับ แต่ลุกไปกินข้าวก่อนนะ บ่ายโมงแล้ว เดี๋ยวค่อยนอนต่อ" เขาอยากจะไปลากมาร์คกับดงฮยอกมาให้เห็นภาพนี้ ชอบพูดกันนักหนาว่าแจมินตามใจเขาอย่างนู้นอย่างนี้ ดุจะตาย แค่ขอนอนต่อยังไม่ได้เลยเนี่ย

    "กินบนเตียงได้ไหมอะ" ยังจะต่อรอง

    "ให้แจมินกินเจโน่บนเตียงหรอ อันนี้ได้ เริ่มเลยไหม โอ๊ย" ก่อนจะโดนคนที่นอนอยู่ฟาดแขนลงมาซะแรงเมื่อคนพูดทำท่าเหมือนจะขึ้นคร่อม

    "ไม่ไหวจริงๆ นะ" ขนาดพยายามตื่นให้เต็มตาตอนนี้ยังทำไม่ได้เลย หนังตาเขาหนักเกินไป ร่างกายก็ล้าไปหมด

    "งั้นลุกขึ้นมานั่งดีๆ เดี๋ยวไปยกมาให้กินบนเตียงก็ได้" เพียงแค่นั้นก็ยิ้มร่าทำท่าเหมือนจะเขยิบตัวขึ้นมา แต่พอเห็นอีกฝ่ายคล้อยหลังก็ปิดตาลงเหมือนเดิม

    "ตัวแสบ ตื่นขึ้นมากินข้าวเร็ว" แจมินตบตูดคนขี้เซาพร้อมกับกดจมูกลงบนผมที่โผล่พ้นผ้าห่มไล่ไปตามหน้าผาก ขมับ จมูก แก้มและจบลงที่ริมฝีปากนั่นจนสุดท้ายเจโน่ก็ยอมลืมตาและค่อยๆ ขยับตัวนั่งพิงหัวเตียง

    "บริการดีขนาดนี้แล้ว กินก่อนแล้วค่อยนอนต่อนะ" เจโน่พยักหน้ารับ ลืมตามองเห็นข้าวผัดไข่ของโปรดก็ยิ้มออกมาและเริ่มกินข้าวเงียบๆ 

    "แจมินไม่กินหรอ" ถามขึ้นเมื่อไม่เห็นจานข้าวของอีกฝ่ายในมือหรือบนโต๊ะเล็กที่เอามาตั้งให้

    "นายกินก่อนเลย เดี๋ยวฉันค่อยกิน"

    "รอกินพร้อมกันไม่ใช่หรอ ก็ไปตักมากินด้วยกันสิ ไม่งั้นกินจานเดียวกันก็ได้" แจมินหัวเราะน้อยๆ ยกมือขึ้นลูบหัวคนนั่งสะลึมสะลือแต่ปากก็เคี้ยวข้าวหนุบหนับก่อนจะผละตัวไปตักข้าวเข้ามากินบนเตียงด้วยกัน


    "ขอโทษนะ" 

    "หืม" เจโน่ส่งเสียงตอบรับในลำคอกับประโยคขอโทษนั้นที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็โพลงขึ้นมา

    "นายดูเพลียมากเลยอะ ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ ขอโทษ" 

    "ไม่เป็นไรหรอก คิดมาก เดี๋ยวนอนก็หายแล้ว" เป็นเจโน่ที่ยกมือขึ้นบีบจมูกโด่งนั่นเบาๆ บ้าง เพราะแจมินดูรู้สึกผิดมากจริงๆ 

    "ลุกไปกินข้าวไม่ไหวเลยนะ" พูดกันตรงๆ เขาเองไม่ใช่ไม่ไหวขนาดนั้นหรอก แค่ขี้เกียจกับอยากอ้อนมากกว่าแต่อีกฝ่ายดูจะเข้าใจผิดไปมากโข

    "เป็นห่วงหรอ" 

    "เป็นห่วงดิ 


    อีเจโน่มีอยู่ในโลกใบนี้แค่คนเดียวนะ แถมฉันรักนายมากขนาดนี้ก็อยากจะดูแลนายให้ดีที่สุด" 


    "...." รู้เลยว่าตอนนี้เขาคงยิ้มกว้างมากแน่ๆ จากอาการเมื่อยแก้มแบบนี้

    "หน้าแดงหมดแล้วเจโน่" คนพูดยิ้มกว้างก่อนจะรวบจานข้าวลงไปข้างเตียง ขยับตัวเข้าใกล้และมอบจุมพิตแสนหวานก่อนจะกอดและโยกไปมา

    "แค่อยากอ้อน ไม่ได้ล้าอะไรขนาดนั้นหรอก" กระซิบแผ่วเบากับลาดไหล่ที่มักเป็นแหล่งพักพิงให้เสมอ

    "งั้นแปลว่าอีกรอบก็ได้ใช่ไหม"

    "เดี๋ยวตีเลยนะแจมิน" ก่อนเราทั้งคู่จะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

    "ฉันไปล้างจานก่อน ถ้าง่วงก็นอนเลยนะ" จูบหน้าผากคนขี้อ้อนอีกที เจโน่มองแจมินที่เดินหายไปโดยที่รอยยิ้มยังไม่จางไปจากใบหน้า เพียงไม่นานอีกฝ่ายก็กลับมาพร้อมคิ้วเลิกสูงเมื่อเห็นเขายังนั่งอยู่ท่าเดิมไม่ไปไหน แต่พอเห็นเขายกแขนทั้งสองข้างไปทางตัวเองก็พอจะเข้าใจ

    อีเจโน่รอให้นาแจมินกลับมากอดและนอนต่อไปพร้อมๆ กัน


    ตั้งแต่มีนาแจมินในชีวิต เขายิ้มบ่อยขึ้นจนใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน
    แถมอีกฝ่ายยังชอบบอกว่าอ้อนเก่งขึ้นทุกวัน
    สุดท้ายคือดีใจที่ได้รู้ว่านาแจมินก็รักเขาไม่ต่างกัน ไม่ใช่ว่ามีแค่เขาที่รักมากอยู่คนเดียว





    [IV.]


    อีเจโน่ยังจำได้ดี
    ถึงวันนั้นที่ฝนตกหนักสาดซัดไปทั่วแม้นั่งอยู่ในห้องก็ได้ยินเสียงของมันอย่างชัดเจน



    แกร๊ก


    คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาหันหลังกลับไปมองก่อนจะพบเจ้าของห้องเดินเข้ามาในสภาพเหนื่อยล้าแบบที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก แม้พักหลังมาอีกฝ่ายจะกลับดึก ดูทำงานไม่เป็นเวลาเท่าไหร่และโทรมนิดหน่อยก็ตาม... ท่าทางมื้อเย็นที่คุยกันไว้เปลี่ยนเป็นสั่งเดริเวอรี่มากินดีกว่าแฮะ

    "เหนื่อยมากหรอ" เจโน่ทักขึ้น

    "อื้อ" คู่สนทนาตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะทิ้งตัวลงข้างๆ และดึงเขาไปกอดไว้เสียแน่น เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรจึงปล่อยให้กอดอยู่แบบนั้น วางหนังสือในมือลงบนโต๊ะก่อนจะลูบผมลูบหลังอีกฝ่ายไปพลาง


    แจมินเคยบอกไว้ว่าตอนเหนื่อยๆ เวลากอดเจโน่แล้วเหมือนได้ชาร์ตพลังงาน


    คราวนี้คงเหนื่อยมากจริงๆ ถึงได้กอดไว้เสียแน่นแถมซุกหน้าลงกับคอของเขาแล้วไม่พูดอะไรสักคำแบบนี้

    "คนเราจะยังรักกันได้ไหมถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน" คนถูกกอดเลิกคิ้วให้กับคำถามนั้นก่อนจะพยายามเรียบเรียงความคิดของตนและตอบออกไป

    "มันก็ขึ้นอยู่กับคนสองคนไหม ไม่มีคำตอบตายตัวหรอก รักระยะไกลประสบความสำเร็จเยอะแยะไป บางคู่อยู่ใกล้กันทุกวันก็เลิกกันได้" 

    "อื้อ"

    "สุดท้ายฉันว่ามันอยู่ที่เรารักกันมากพอหรือเปล่าอะ จะอยู่หรือไม่อยู่ด้วยกันเป็นเรื่องรองนะ" บอกตรงๆ ว่าเขาสังหรณ์ใจไม่ดี แจมินยังไม่ยอมลดแรงที่กอดเขาไว้เลยด้วยซ้ำ


    "แล้วถ้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันล่ะ ยังจะรักกันเหมือนเดิมไหม" 

    บทสนทนาที่เปลี่ยนไปทำเอาเขาอยากจะเห็นหน้าคนถามก่อนแล้วค่อยตอบ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่คิดแบบนั้นเพราะยังกอดเขาไว้แน่นเหมือนเคย 

    "ขออยู่แบบนี้ก่อนได้ไหม" เจโน่ยอมอยู่เฉยพลางคิดถึงคำตอบของคำถาม

    "มันก็ขึ้นอยู่กับอะไรหลายๆ อย่าง ฉันตอบนายตอนนี้ไม่ได้หรอก" เขาหมายความตามนั้นจริงๆ และนั่นทำให้อ้อมกอดของแจมินรัดเขาไว้แน่นมากขึ้นกว่าเดิม

    "เป็นอะร—"



    "เลิกกันนะเจโน่"



    หลังคำพูดนั้นจบ นาแจมินถอยออกจากเขาเป็นนั่งตรงข้ามกันธรรมดา มืิอของเจโน่ที่เคยโอบกอดอีกฝ่ายไว้ร่วงหล่นลงสู่หน้าตัก... 


    ไม่ต่างจากตัวเขาที่เหมือนตลอดการร่วงลงสู่หลุมลึกมาเนิ่นนานกระแทกพื้นอย่างแรงจนตัวชา


    "ทำไม" เขาพูดมากกว่านี้ไม่ได้แล้วเพราะเหมือนก้อนอะไรบางอย่างมันจุกอยู่ที่ลำคอ น้ำตารื้นจนภาพข้างหน้ามองเห็นไม่ชัดเจนแต่เขาก็รีบเอามือปาดมันออก

    "ก็แค่... ระหว่างเรามันอาจจะไม่ใช่อีกแล้วก็ได้" 

    ดูง่ายดายยิ่งกว่าตอนเริ่มต้นเสียอีก ย้อนเวลากลับไปกว่าเราจะมีกันและกันมาจนถึงแปดปี ตอนที่ทุกอย่างถึงจุดจบมันพังทลายลงอยู่ตรงหน้าภายในวินาทีเดียว

    "ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม" จับอารมณ์ได้ตั้งแต่ตอนต้นแล้วนั่นแหละ เพียงแต่ยังไม่อยากจะยอมรับความจริง ถ้ามันเป็นเรื่องตลก ก็ถึงเวลาที่แจมินจะเฉลยให้เขาฟังได้แล้ว แบบนี้ไม่ขำด้วยหรอกนะ

    "มันเป็นการเปิดโอกาสให้นาย"

    "ให้นาย ไม่ใช่ฉัน" เจโน่รีบเถียงกลับ

    "ฟังก่อนได้ไหม... ขอร้อง" เพราะเห็นดวงตาของอีกฝ่ายก็แดงไม่ต่างกัน เขาถึงยอมพยักหน้าตอบรับ

    "ฉันไม่มีคำอธิบายอะไรดีๆ ที่ทำให้นายเสียใจน้อยลง แต่ถ้าเราไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้อีกแล้ว และฉันยังรั้งนายไว้ด้วยคำว่า 'เราคบกัน' มันคงเห็นแก่ตัวเกินไป นายคงไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้อีก อย่างน้อยการไม่มีพันธะ อาจจะทำให้อะไรหลายอย่างมันง่ายขึ้น" 

    หลังจบคำนั้น เขารีบโผเข้ากอดอีกฝ่ายทันทีเมื่อเห็นน้ำใสที่ไหลออกจากดวงตา ตลอดเวลาที่คบกันมา ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ตาม แจมินไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง อาจจะมีน้ำตาซึมบ้างแต่ไม่เคยร้องไห้ ซึ่งในเวลานี้คนเข้มแข็งคนนั้นร้องไห้ต่อหน้าเขา ในยามที่กำลังบอกเลิกกับเขา


    "ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่อยากรู้แล้ว" เจโน่หมายความตามนั้นจริงๆ เขาไม่อยากรู้แล้วว่าทำไมถึงต้องเลิกกัน ไม่รู้ว่าจะรู้ไปอีกทำไมในเมื่อผลลัพธ์มันคงไม่เปลี่ยนแปลง แจมินตัดสินใจไปแล้ว และครั้งนี้เขารู้ดีว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้ 

    "ขอโ—"

    "ถือว่าฉันขอนายบ้าง อย่าพูดคำนั้นออกมาตอนนี้" เขาไม่ได้ใจกว้างหรือเป็นคนดีอะไรขนาดนั้น ก็เหมือนที่อีกฝ่ายบอก มันไม่มีคำอธิบายอะไรดีๆ ก็ไม่ต้องพูดให้มากความยังจะดีซะกว่า เขาเองก็ไม่พร้อมจะมานั่งรับฟังคำเหล่านั้นในเวลาเช่นนี้ จะขอโทษทำไมถ้าสุดท้ายจะทิ้งกันไปอยู่ดี เก็บมันไว้เถอะ


    "เจโน่" เสียงทุ้มนั่นยังหล่อเลี้ยงหัวใจเขาได้เหมือนเดิม มือคู่นั้นในยามที่เอื้อมมาปาดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุดก็ยังอบอุ่นเหมือนเคย



    "เลิกกันแล้วนะแจมิน" 


    แต่ต่อไปนี้มันจะไม่ได้มีไว้เพื่อเขาอีกต่อไป 

    "ฉันขอเวลาเก็บของแป๊ปนึง ถ้าเหลืออะไรไว้อยากทิ้งก็ทิ้งได้เลยนะ"

    "ไว้ดึกๆ ฉันค่อยกลับมา ไม่ต้องรีบ" หากแต่ในยามที่อีกฝ่ายกำลังจะผละจากไปจริงๆ เป็นเขาเองที่ดึงชายเสื้อนั้นไว้


    ยากเหลือเกินที่จะมองคนที่ตนเองรักหมดหัวใจเดินจากไป



    แจมินนั่งลง หันหน้าเข้าจนหัวเข่าเราติดกัน เลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ก่อนประกบริมฝีปากทาบทับ ดูดดึง จูบซับซ้ำๆ เริ่มขมเม้มที่ริมฝีปากล่าง เขาปล่อยให้อีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามา จูบของแจมินยังเหมือนเคยค่อยๆ กวาดต้อนและมอบความหวานจนเป็นเขาเองที่ละลายไปในอ้อมกอดนั้น



    "ดูแลตัวเองนะเจโน่" ริมฝีปากนั้นจูบย้ำบนริมฝีปากและปลายจมูกของเขา ก่อนมืออุ่นจะผละจากศีรษะและเดินจากไปพร้อมประตูห้องที่ปิดลง


    "ฮึก..." 


    น้ำตาไหลอาบแก้ม เจโน่นั่งชันเข่าขึ้นซุกหน้าลงก่อนจะกอดตัวเองไว้เสียแน่นในยามที่ไม่มีคนคอยปลอบใจเหมือนก่อนอีกแล้ว เขาไม่ได้อยากอ่อนแอแต่มันเจ็บเหลือเกิน คล้ายมอร์ฟีนหมดฤทธิ์แต่แผลยังคงเปิดและเลือดยังคงไหล



    เพราะตกหลุมนั่นมานานและลึกเกินไป พอร่างกายกระแทกกับพื้นมันถึงเจ็บปางตายขนาดนี้
    สายฝนยังคงสาดซัดเข้าหน้าต่างแต่เขาไม่รู้อีกแล้วว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงฝนหรือเสียงสะอื้นของตัวเองกันแน่





    [V.]



    อีเจโน่ยังจำได้ดี
    ถึงวันที่ไม่มีนาแจมินอยู่ข้างกายว่าเวลาเดินทางไปเชื่องช้าขนาดไหน



    "มาร์คงานมันมีปัญหาอะไรนักหนา" เขาพูดกึ่งหัวเสียใส่คนปลายสายเมื่อได้รับโทรศัพท์จากพนักงานในแผนกถึงความวุ่นวายของการวางขายหนังสือเล่มใหม่

    /กำลังประเมินความเสี่ยงใหม่ การตลาดดูไม่อยากตีพิมพ์จำนวนเยอะตามที่นายขอมา/ คำพูดนั้นทำเอาเจโน่ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกรอบ

    "เราคุยกันไปแล้วไม่ใช่หรอ ฉันว่าเล่มนี้ดีแน่นอนเทรนด์มันกำลังมา ถ้าพิมพ์น้อยขาดตลาดจนพิมพ์ไม่ทันแบบคราวที่แล้วอีกก็เสียรายได้นะ" แผนกการตลาดก็เป็นแบบนี้ทุกที เล่มไหนที่แผนกบรรณาธิการมองว่ามันจะขายได้กลับเลือกตีพิมพ์น้อย วางขายแค่ไม่กี่ที่ แต่เรื่องไหนที่เฉยๆ ดูไม่ค่อยรุ่งกลับตีิพิมพ์ซะเยอะแยะจนมันถูกตีคืนกลับมาที่สำนักพิมพ์

    /เออ ฝ่ายวางแผนการผลิตแบบพวกฉันก็งงไปหมด จะขึ้นเครื่องก็ไม่ได้ขึ้นเนี่ย ติดอยู่จะเอาจำนวนเท่าไหร่กันแน่/

    "เออ วุ่นวายกันหมด ฉันกำลังกลับเข้าออฟฟิศละ เดี๋ยวเจอกัน"

    /ฉันเข้าโรงงานแล้วอะเจโน่ ต้องมาคุยกับคนที่นี่อีกเพราะแผนมันอาจจะเปลี่ยน นัดตอนเย็นยังเหมือนเดิมเปล่า ดงฮยอกถามอยู่/ 

    "เหมือนเดิม เจอกันที่ร้าน" ก่อนจะวางสายไป ตอนนี้อีเจโน่เป็นบรรณาธิการอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง เขาหัวร้อนขึ้นจากสมัยก่อนจนมาร์คและดงฮยอกยังตกใจ แต่พอนิ่งเงียบเอาแต่ยิ้ม คนพวกนั้นก็ไม่มีความเกรงใจให้กันสักนิด




    "เดินหน้ามุ่ยมาเลย" ดงฮยอกทักพร้อมกับเปิดขวดเบียร์และยื่นมาตรงหน้า

    "เป็นไง" มาร์คทักยิ้มๆ เนคไทหายไปเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมพับแขนเสื้อ

    "แผนเดิม" เขาตอบกลับ ยกเบียร์ขึ้นกระดกแก้กระหาย

    "เดี๋ยวนี้ตบตีกับคนเก่งจริงวุ้ย" 

    "เดี๋ยวจะตีนายด้วยเลยดงฮยอก" คนโดนขู่กลับหัวเราะคิกไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย

    "ว่าแต่นายเหอะเป็นไงมั่งดงฮยอก" มาร์คหันไปถามเพื่อนที่ไม่ได้ทำงานที่เดียวกัน

    "ก็ดี เหนื่อยกับพ่อนิดหน่อยเวลาจะมีประชุมอะไรสักอย่างแต่ก็ดี" 

    "เป็นลูกเจ้าของบริษัทนี่ดีจังเลยนะ" เจโน่พูดประชดก่อนจะโดนอีกฝ่ายปาถั่วใส่

    "อยากให้ลองมาสลับกันทำจริงๆ" ก่อนบทสนทนาบนโต๊ะจะเปลี่ยนไปเรื่องสัพเพเหระตามประสาเพื่อนสนิทที่ไม่ค่อยมีเวลาเจอกัน



    "นายเป็นไงบ้าง" ดงฮยอกถามขึ้นเมื่อเราเริ่มดื่มกันได้ที่

    "สบายดี" เจโน่ไหวไหล่ตอบกลับ

    "นายก็รู้ว่าฉันหมายถึงเรื่องไหน" เป็นเรื่องเดียวที่เขายังไม่สามารถตอบได้เต็มปากเต็มคำสักที

    "ก็ดี"

    "ไม่คิดจะหาคนใหม่จริงๆ หรอ" เป็นมาร์คที่พูดขึ้นบ้าง 

    "หึ อย่าถามคำถามที่พวกนายก็รู้อยู่แล้วดิ" ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมาคิดว่าอีเจโน่ไม่อยากเริ่มต้นใหม่กับใครงั้นหรอ... เปล่าเลย เขาพยายามมาแล้ว พยายามมาตลอดนั่นแหละ ลองมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง และมันก็พังลงไม่เป็นท่าทุกที

    ไม่มีใครรู้ว่าเขาต้องการอะไรอย่างแท้จริงแบบที่คนๆ นั้นเคยทำได้
    ไม่มีใครที่จะเข้าใจว่าช่วงเวลาไหนเขาต้องการอะไร ช่วงเวลาไหนควรปลอบ ช่วงเวลาไหนควรปล่อยให้อยู่คนเดียว
    ไม่มีใครดูแลเขาและทำให้เขารู้สึกอยากดูแลได้มากเท่าที่เคยเป็น
    ไม่มีใครทำให้เขารักได้เท่าที่เคยรักและรู้สึกว่าได้รับความรักได้มากเท่าที่เคยได้
    ไม่มีใครเหมือนนาแจมินเลยสักคน


    "ถ้าแจมินกลับมาล่ะเจโน่" เขาเลิกคิ้วให้กับคำถามของมาร์ค

    "ยังไง"

    "ถ้ามันมีเหตุผลให้ต้องไปในตอนนั้น แต่พร้อมแล้วที่จะกลับมาตอนนี้" 



    "อีเจโน่จะให้โอกาสนาแจมินรึเปล่า"


    เสียงทุ้มต่ำที่ไม่ได้ยินมานานแต่กลับคุ้นชินนั่นทำเอาเขาหันหลังควับก่อนจะพบกับนาแจมินยืนอยู่ตรงหน้า ไม่เข้าใกล้ต้องผงะถอยหลัง แต่ก็ไม่ไกลมากจนต้องตะโกนคุย เป็นระยะห่างที่พร้อมจะก้าวเข้ามาและถอยออกไป เหมือนดั่งคำถามที่อีกฝ่ายทิ้งไว้

    "..." ระยะเวลาสี่ปีไม่ได้ทำให้คนตรงหน้าลดความดูดีน้อยลงเลยสักนิด กลับกัน เหมือนจะดูดีมากขึ้นอีกจากภาพในความทรงจำของเขา ผมสีน้ำตาลถูกย้อมเป็นสีบลอนด์เขียว ผิวสีน้ำผึ้งดูจะขาวขึ้นมานิดหน่อย นาแจมินในวันนี้อยู่ในชุดเสื้อคอวีสีดำทับด้วยโค้ดยีนส์กับกางเกงยีนส์รัดรูป


    "นั่งเครื่องมาไม่เหนื่อยหรอ" ดงฮยอกทักขึ้นโดยที่คนถูกถามยังยืนอยู่ที่เดิม

    "เหนื่อย แต่อยากมาหามากกว่า" ไม่อยากเข้าข้างตัวเองแต่คงเป็นใครอื่นไม่ได้ เพราะสายตาของอีกฝ่ายยังไม่ละไปจากเขาเลยตั้งแต่มาถึง

    "โคตรเวอร์เลย" มาร์คพูดพร้อมกับยกยิ้มน้อยๆ "แต่ก็ต้องยอมอะ เครื่องลงปุ๊ปรีบมาที่นี่ปั๊ป"


    "ไปไหนมาหรอ" ตลอดระยะเวลาสี่ปี เขาเองก็พยายามปิดกั้นตัวเองจากการรับรู้แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือเจอใคร ก็ไม่มีใครพูดถึงแจมินให้ได้ยิน

    "พร้อมจะฟังรึยัง" แจมินไม่ตอบคำถามเขาตรงๆ แต่ระยะห่างของเราลดน้อยลงจากตอนแรก

    "...." เจโน่ไม่ตอบคำถามนั้น

    "พวกฉันกลับก่อนแล้วกัน พวกนายจะได้คุยกัน" ดงฮยอกตอบ หยิบข้าวของก่อนจะตบไหล่เจโน่และเดินไปกอดแจมิน มาร์คเองก็ทำแบบเดียวกัน


    "นั่งด้วยได้ไหม" 

    "อือ" เจโน่พยักหน้าน้อยๆ ยอมให้คนคุ้นเคยที่หายไปกลับเข้ามาอีกครั้ง


    "คิดถึง"


    คำพูดไม่มีที่มาที่ไปนั่นทำเอาคนฟังไม่ทันตั้งตัวจนเกือบสำลักเบียร์ที่เพิ่งดื่มเข้าไป

    "อะไร"

    "คิดถึงเจโน่ คิดถึงนายมากจริงๆ" เขาเลือกที่จะไม่ถามซ้ำอีก แค่นี้ก็ไปไม่เป็นแล้ว เพราะไม่ใช่เพียงคำพูดแต่สายตานั่นไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

    "คิดถึงแล้วจะหายไปแต่แรกทำไม"

    "ขอโทษ.. ตอนนี้พูดคำนี้ได้แล้วใช่ไหม" เจโน่กัดริมฝีปากล่างของตนเอง 

    "อื้อ" เขารู้สึกเหมือนเวลาสี่ปีแทบไม่ได้เดินหน้าไปไหนเลย ยิ่งตอนนี้เหมือนเราย้อนกลับไปในห้องกับเหตุการณ์วันนั้น


    "ถ้าขอโอกาสอีกครั้ง"


    "นายไม่เคยเสียมันไปแต่แรกอยู่แล้วนี่" 


    ก่อนเขาจะได้รับอ้อมกอดอบอุ่นและจุมพิศแสนหวานกลับมาอีกครั้ง เจโน่ยกยิ้มกว้าง จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองยิ้มกว้างขนาดนี้เมื่อไหร่ ตอนได้รับเลื่อนขั้นยังไม่ดีใจเหมือนตอนเห็นแจมินยืนอยู่ตรงหน้าในวันนี้และกำลังกอดเขาอยู่ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ


    "ขอโทษนะ"

    "ขอบคุณเหมือนกันที่กลับมา"




    END

    Talk: อาจจะงงๆ นิดหน่อยเพราะมันจะไปเฉลยในพาร์ทของแจมินนะคะ
    ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่ะ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in