เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Spring and Summer : ฤดูนั้น...ฉันคิดถึงเธอfebturday
EP. 04 : กินข้าวด้วยกันอีกนะ
  • “ที่นั่นหนาวมั้ย...จีไปหาแดนได้รึเปล่า”

    “ตอนนี้ยัง...ไม่ได้”

    “ตอนนี้ยัง...ไม่ได้”

    “ตอนนี้ยัง...ไม่ได้”

    “ตอนนี้ยัง...ไม่ได้”

     

    ไม่ได้ก็คือไม่ได้สิ  -หลังจากวางสายไปน้ำเสียงอบอุ่นเข้มๆเหมือนรสชาติม็อคค่าร้อนในฤดูหนาวที่ทั้งขมปร่าและหวานมัน

    นึกอยู่แล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนี้แต่ก็อดจะถามไปไม่ได้  ความรู้สึกของผมตอนนี้เหมือนคนที่ทำเชือกว่าวหลุดลอยไปในอากาศ

    ตอนนี้ไม่ได้...แล้ววันข้างหน้าจะได้ไหมนะ

     

    หวนคิดย้อนหลังไปหลังจากที่แดนไปส่งที่โฮสเทลนั่น  เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยร่วมสัปดาห์น่าแปลกทำไมผมยังคิดถึงเขาอยู่นะ อยากขอบคุณที่ช่วยวันนั้น อยากเลี้ยงข้าวอยากคุยมากกว่านั้น แต่ผมไม่รู้จะติดต่อเขายังไง 

     

    อยากบอกเขาเหลือเกินว่าตอนนี้ผมกลับไปอยู่กับจินเหมือนเดิมแล้วหลังจากที่ทำหยิ่งบอกว่าจะย้ายกลับไปอยู่บ้าน แต่นั่นล่ะหลังจากนอนโฮสเทลอยู่สองคืน ผมก็แบกหน้ากลับไปที่บ้านพ่อ แล้วสุดท้ายก็เหมือนเดิมคือผมต้องนั่งฟังพ่อด่าทั้งคืน  คราวนี้หนักกว่านั้นพ่อทำร้ายผม....หลังจากด่าแม่ยังไม่สาแก่ใจ พ่อก็เขวี้ยงแก้วเหล้าแตกกระจายบนพื้นซีเมนต์เก่าๆที่มีราเขียวขึ้นเป็นหย่อมๆ ก่อนจะโซซัดโซเซเดินมากระชากคอเสื้อผมพร้อมกับชกเข้าที่หน้าจังๆสองสามที 

     

    ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย....ไอ้จินเพื่อนยากของผมเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดีมันบอกทีหลังว่าเป็นห่วงเลยตามมาดูที่บ้าน ไม่น่าเชื่อคนอย่างไอ้จินต้องมาหลั่งน้ำตาให้ผม มันช่วยผมทำแผลไปร้องไห้ไปลูกผู้ชายอย่างไอ้จินร้องไห้ พร้อมกับขอโทษขอโพยผมทั้งๆที่มันไม่ได้ทำผิดอะไรผมต่างหากที่ผิดเอง ผิดที่มีพ่อเหี้ยๆอย่างนี้ หลังจากไอ้จินเช็ดน้ำตามันถามผมด้วยน้ำเสียงฉงนว่า

     

    “ไอ้จีทำไมมึงไม่ร้องไห้เลยวะ น้ำตาสักหยดก็ไม่มี”

    “กูไม่มีวันร้องไห้ให้เหี้ยตัวนั้น!” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่ทว่าแววตาถมึงทึง ตัวเกร็งจนไอ้จินมันต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง

    “ไม่ต้องห่วงนะมึง เรื่องเงินค่าหอเนี่ยกูคุยกับพ่อแม่แล้วเล่าทุกอย่างให้ฟัง แม่บอกให้มึงอยู่ไปเลย มีตอนไหนค่อยมาใช้”

    “ขอบใจนะมึง เดี๋ยวกูจะเร่งทำงานพิเศษ จะสมัครทุน จะทำทุกอย่างเลย”

    “พอก่อนๆ ค่อยๆคิดแล้วนี่ก่อนมึงจะไปนอนบ้านมึงเล่นไปนอนโฮสเทลเนี่ยนะ เงินก็ยิ่งไม่มีอยู่”

    “ไม่ต้องห่วงหรอก มีคนช่วยกูไว้” หน้าที่ตึงอยู่คลายลงเมื่อคิดถึงคนที่ช่วย

     

    หลายวันผ่านไปผมยุ่งอยู่กับการจัดการชีวิตเส็งเคร็งทั้งเรียนทั้งทำงานพิเศษจนแทบไม่มีเวลานึกถึง“เขาคนนั้น”  ถ้าไม่ใช่ในตอนเย็นวันหนึ่ง“พี่ธงฉาน” ชายหนุ่มผู้มีกลุ่มดาวสามดวงบนแก้มซ้ายจะโทร.หาผมเพื่อให้ไปรับ“จ๊อบพิเศษ”

    “ช่วงนี้จีว่างมั้ย จะให้มาทำงานให้หน่อย” ธงฉานกรอกเสียงหล่อมาตามสาย

    “แบบเดิมรึเปล่าพี่ รายงานวิชาอะไรอะ”

    “ป่าวๆ จะให้มาช่วยเพื่อนพี่จัดของ”

    “คือก็ช่วยจัดข้าวของในห้อง ทำความสะอาดอะไรพวกนี้อะ รับรึเปล่าอะเงินดีนะ”

    “ได้ครับพี่”

    “เดี๋ยวพี่ให้มันโทร.ไปหาเรานะ”

    “ว่าแต่เพื่อนพี่ชื่ออะไรครับ”

    “ไอ้แดน...แดนไท”


    ......

    ผมยังจำภาพวันนั้นได้ดี วันที่ผมไปรับ “จ๊อบพิเศษ”ด้วยการทำความสะอาดจัดห้อง งานจิปาถะอะไรพวกนี้ผมรับหมด  คอนโดหรูย่านสาธรที่ “แดนไท” เพิ่งย้ายมาอยู่ห่างจากห้องของธงฉาย10 ชั้น อันที่จริงที่นี่การเรียก “ห้อง” ดูจะไม่สมศักดิ์ศรีเท่าไหร่นัก  เพราะขนาดของห้องที่กว้างขวางมีการยกระดับเป็นสองชั้น พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 175 ตารางเมตรเรียกได้ว่าถ้าไม่ “รวยชิบหาย” ก็คงมาอยู่ที่นี่ไม่ได้

    “น่าแปลกใจจัง” ผมอดคิดไม่ได้ คนระดับแดนไทและครอบครัวที่รวยมหาศาลไม่มีความจำเป็นจะต้องจ้างนักศึกษาตัวเล็กๆอย่างผมให้มาทำความสะอาดหรือจัดของอะไรเพราะปกติคน “ระดับนี้” มักจะจ้างบริษัททำความสะอาดมืออาชีพมาจัดการอยู่แล้ว  และยิ่งน่าแปลกใจหนักเข้าไปอีกเมื่อผมก้าวเข้ามาในห้อง ไม่ใช่สิ อาณาจักรของแดนไท ก็ยิ่งให้ประหลาดใจเข้าไปอีกเพราะทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างเรียบหรูผมลองใช้นิ้วรูดไปกับขอบโต๊ะแทบจะไม่รู้สึกถึงฝุ่นซักไมครอน

    ยืนคิดอะไรเพลินๆ โดยไม่ทันรู้ตัว ร่างสูงก็มายืนอยู่ข้างหลังหน้าอกแทบจะประชิดหลังเพราะรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่รดอยู่บนคอ

    “มัวยืนทำอะไร ไปนั่งได้แล้ว” แดนไทส่งเสียงทุ้มๆ ถามโดยที่ผมไม่กล้าจะหันกลับไปเพราะถ้าหันไปรับรองว่าอาจจะ “เป็นเรื่อง”

    “อ่อครับ” ผมตอบรับแบบงงๆก่อนจะลากเท้าไปยังโซฟาที่ปรายตามองดูก็รู้น่าจะแพงระยับอีกเช่นกัน

    “พี่จะให้ผมมาช่วยจัดของ ทำความสะอาดไม่ใช่เหรอครับแต่ที่นี่ก็สะอาดเรียบร้อยดีนี่นา” ผมถามออกไปด้วยความฉงน

    “ไอ้ธงฉานมันบอกยังงั้นเหรอ” แดนไทเอ่ยเสียงเรียบๆขัดกับแววตาสุกใสที่ซ่อนประกายความขี้เล่นนั่น

    “ครับ พี่ธงฉานบอก”

    “เป็นไงมั่ง โฮสเทลที่ไปนอนตอนนั้น นอนสบายดีมั้ย” แดนไทไม่ตอบคำถามกลับเฉไปเรื่องโฮสเทลซะอย่างนั้น

    “ก็...ดีครับ แต่ตอนนี้ไม่ได้ไปนอนแล้วครับ มันแพง”

    “ดีแล้ว หาที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งดีกว่า”

    “เอ่อ พี่ครับ เรื่องเงินนั่น เดี๋ยวมีเมื่อไหร่ผมจะรีบเอามาใช้คืนเลยนะครับ”

    “เฮ้ย ที่พี่พูดเรื่องโฮสเทล ไม่ได้จะทวงเงิน อีก 10ปีค่อยให้ก็ยังไม่สาย” แดนไทพูดพลางยักไหล่สบายๆก่อนจะเดินไปที่มุมครัวเปิดตู้เย็นคว้ากระป๋องเบียร์กับกระป๋องอะไรซักอย่างถือกลับมาที่โซฟาฝั่งตรงกันข้ามกับที่ผมนั่ง ร่างสูงทิ้งตัวลงสบายๆ นั่งไขว้ห้าง ก่อนจะเปิดกระป๋องสีชมพูแล้วยื่นมาให้ผม

    “อะ กินนี่ก่อน เราน่ะกินน้ำผลไม้ไป” ผมรับมาอย่างเก้ๆกังๆก่อนจะกรอกน้ำเข้าปากด้วยอารมณ์อึดอัดใจ

    “เป็นอะไร ดูท่าทางเกร็งๆ เครียดๆ” 

    “อ่า คือผมอยากรู้ครับว่าพี่จะจ้างผมมาทำอะไร”

    “พี่มีชื่อนะ เรียกชื่อด้วยดิ” แดนไทพูดเสร็จก็กรอกเบียร์เข้าปากอึกใหญ่ ก่อนจะวางกระป๋องลงและแน่นอนสายตาคมจับจ้องมาที่ผมเขม็ง

    “พี่...แดน” ผมค่อยๆเปล่งเสียงออกไป

    “เฮ้ย พี่ไม่ใช่ยักษ์ไม่ใช่มาร กลัวอะไรเนี่ย”

    “ไม่ได้กลัวครับ แต่...บอกไม่ถูก”

    “น้องจี...ที่พี่ให้เรามาวันนี้ ไม่มีอะไรหรอก อยากเลี้ยงข้าวเราน่ะ”

    “ห๊ะ...อะไรนะครับ”

    “เลี้ยง ข้าว ไง” แดนไทลากเสียงพูดช้าๆ ก่อนที่ผมจะงงไปกว่านั้นก็มีเสียงกดกริ่งหน้าห้อง และแดนไทหันใช้มือทำท่าบอกให้ผมรอก่อนที่จะก้าวขายาวออกไปเปิดประตูและพูดคุยอะไรบางอย่างกับใครสักคนที่คาดว่าน่าจะเป็นพนักงานส่งของ

    ไม่นานเท่าไหร่ แดนไทก็เรียกผมไปที่โต๊ะกินข้าวที่อยู่ข้างครัว และนั่นผมก็เห็นกล่องใส่อาหารเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ

    “พี่สั่งกับข้าวมาแล้ว มีทั้งไก่ทอด อาหารหลายอย่างเลยจีช่วยพี่จัดใส่จานหน่อยนะ”

    “พี่...พี่แดนจะเลี้ยงคนทั้งคอนโดรึเปล่าครับ มันเยอะมากเลย”

    “ก็กลัวเรากินไม่อิ่มไง เผื่อเหลือดีกว่าขาดนะ”  ผมรู้สึกได้ถึงความอาทรที่เกาะติดมากับปลายเสียงทุ้มนั่น

    “ทำไมพี่ถึงจะเลี้ยงข้าวผมล่ะครับ”

    “ก็เห็นไม่ค่อยได้กินข้าว”

    “พี่รู้ได้ยังไง”

    “สายสืบพี่เยอะ”

    ยิ่งพูดยิ่งงงแฮะ แต่ผมก็ไม่ได้ซักอะไรพี่แดนต่อเพราะร่างสูงส่งยิ้มกว้างๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะร่าที่บางทีผมก็ไม่เข้าใจว่า “ผู้ชายคนนี้”ทำไมถึงได้ยิ้มง่าย หัวเราะง่ายนักหนา 

    เคยมีคนบอกว่า การที่เราได้ใช้ช่วงเวลาในการ “กินข้าว” กับใครเป็นช่วงเวลาที่พิเศษที่สุดอีกช่วงในชีวิต ผมไม่เคยเห็นด้วยกับคำกล่าวมาก่อนเลยจนถึงช่วงเวลาที่ผมได้กินข้าวกับเขาคนนี้

    กินเยอะๆเลย ไก่ทอดแบรนด์นี้อร่อยสุดๆเลย นี่สั่งมาตั้งสองกล่อง กลัวเรากินไม่อิ่ม”

    “ตักเยอะๆ ทอดมันกุ้งร้านนี้ พี่ชอบมากเลย มันเด้งดีร้านนี้พี่กินมาเป็นสิบปีแล้ว”

    “เอาน้ำแข็งเพิ่มมั้ย ชอบกินโค้กเหรอเราน่ะ เห็นซัดใหญ่”

    “ปากเลอะหมดแล้ว เชื่อแล้วว่าชอบกินไก่จริงๆ”

    น้ำเสียงและรอยยิ้มนั่นช่วยทำให้ผมผ่อนคลายและรู้สึกเป็นกันเองมากขึ้นเวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน พี่แดนกับผมช่วยกันล้างจาน เราต่างผลัดเล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง  ตอนที่พี่แดนได้ยินว่าพี่ธงฉายได้ A เพราะรายงานผมทั้งที่วิชานั้นพี่ธงแทบจะไม่เข้าเรียน เกลียดอาจารย์อย่างกับอะไรดีฟังแค่นี้พี่แดนก็ระเบิดเสียงหัวเราะจนผมไม่เข้าใจ...อีกแล้ว แต่นั่นล่ะผมนึกเอ็นดูในรอยยิ้มนั่นเสียงจริงรอยยิ้มที่ผมจินตนาการไม่ได้ว่า ถ้าได้เห็นทุกวันก็ดีสินะ

     

    ใช้เวลาจัดการจานชามไม่นานนักเราสองคนก็ดูเหมือนจะอิ่มจนหมดแรงและสุดท้ายก็จบลงที่การนั่งแหมะบนโซฟาสีน้ำตาลนุ่ม  ผิดแต่ว่า....ตอนนี้ “เขา” ไม่ได้นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างในตอนแรก ระยะห่างเพียงไม่กี่ลมหายใจทำเอาผมขัดเขินจนต้องลูบมือไปมาก่อนจะสะกดกลั้นความรู้สึกบางอย่างไว้และหันไปถามผู้ชายตัวสูงที่เอียงหัวซบหมอนอิงเหมือนพร้อมจะหลับได้ในทันที

     

    “พี่แดน ... ทำไม...”

    “อืม ไม่ต้องถามอะไรอีกแล้วนะครับ ก็บอกแล้วว่าอยากเลี้ยงข้าว” แดนไทยังบอกเหตุผลเดิมโดยที่ไม่ได้สาธยายยืดยาวว่าเพราะอะไรแต่เอาเถอะถึงจะมีเหตุผลเบื้องหลังอะไรอยู่ก็ตามเถอะแต่เวลานี้ผมไม่มีแรงจะคาดคั้นอะไรอีกแล้วก็เพราะข้าวปลาอาหารเจ้ากรรมที่พี่แดนเพิ่งจะบรรณาการมาเมื่อกี้กำลังทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างขันแข็งจนหนังตาเริ่มปรือส่งสัญญาณว่าเจ้าของร่างควรจะปล่อยร่างให้พักตามสบายได้แล้ว

    “ง่วงแล้วเหรอ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่หอแล้วกันนะ”

    “ไม่เป็นไรครับพี่”

    “ไม่ต้องปฏิเสธเลยนะ”

    “ครับ”

    “มีอีกอย่างว่าจะบอก เกือบลืมเลย”เจ้าของหองหรูบอกระหว่างควานหากุญแจรถบนเคาน์เตอร์หน้าโซฟา

    “อะไรเหรอครับพี่”

    “ที่คณะเค้ามีทุนทัศนศึกษาที่เกาหลี ให้ทุน 10 ทุนทั้งเรียนดีกิจกรรมเด่น”

    “อ่า...แล้ว?

    “ไปสมัครสิ ถ้าได้เดือนเมษาจะได้ไปเที่ยวเกาหลีตั้งอาทิตย์นึงเลยนะ”

    “ผมไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมเท่าไหร่” ผมตอบเรียบๆเหมือนไม่ได้สนใจ

    “ก็เรียนดีไง เราเรียนเก่งไม่ใช่เหรอ ลองดูสิ มันเป็นโอกาสนะ” แดนไทพยายามคะยั้นคะยอ

    “ถ้าได้ไป ผมคงไม่มีเงินไปหรอกครับ”

    “ก็บอกว่าเค้าให้ทุนไง ไปฟรี” ร่างสูงยังไม่ลดละความพยายาม

    “เดี๋ยวจะลองไปดูนะครับ” ตอนนั้นจิรพัฒน์แน่ใจว่าตัวเขาเองรับปากไปส่งๆเพราะรู้สึกว่าตัวเองง่วงเกินกว่าจะคิดอะไรมากกว่ารับคำของคนหวังดีไปรู้ตัวอีกทีแดนไทก็ขับรถมาส่งถึงหน้าหอ และถ้าจำไม่ผิดประโยคสุดท้ายหลังจากกล่าวขอบคุณไปน่าจะเป็นคำสั้นๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษแต่ฟังแล้วรู้สึกดีชะมัด

     

    “วันหลังกินข้าวด้วยกันอีกนะ”

     

    และหลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีหลายสถานการณ์ที่นำพาให้เราทั้งสองได้“กินข้าว” ด้วยกันบ่อยๆ และไม่นานนักหลังจากนั้นทุนทัศนศึกษาเกาหลีก็ประกาศและหนึ่งในผู้ที่ได้รับทุนก็คือ จิรพัฒน์ นั่นเอง เขาเป็นหนึ่งในสิบจะต้องไปท่องแดนโสม

     

    ที่เกาหลีในฤดูสปริงหรือฤดูใบไม้ผลินั่นเอง...เป็นช่วงเวลาที่จะเปลี่ยน“สถานะ” และ “ความสัมพันธ์” ของทั้งสองคนไปอย่างที่แม้แต่เจ้าตัวก็คาดไม่ถึง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in