เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกการไปเรียนที่ Gargnano ด้วยทุนจาก มหาวิทยาลัยมิลาน (2012)ThanitaK
Gargnano 2012
  • ในต้นเดือนกรกฏาคม กลางฤดูร้อนของอิตาลี แดดและลมร้อนพัดมาเป็นระยะจนทำให้อดคิดถึงอากาศประเทศไทยไม่ได้จะต่างกันก็เพียงแค่ ไม่ชื้นจนทำให้เนื้อตัวเหนี่ยวเหนอะหนะเท่านั้น เราลงรถไฟขบวน Frecciarossa จากโรมมายังสถานี Brescia ทางตอนเหนือของอิตาลีเพื่อมาขึ้นรถบัสของ CALCIF (The UniversityCentre for the promotion of Italian language and culture “Chiara and GiuseppeFeltrinelli ”) ที่จะมารับนักเรียนทุนกว่า 40 ชีวิตไปยังเมื่อง Gargnano เมืองเล็กๆห่างออกไปจาก Brescia ราว 2 ชั่วโมง เมืองที่ไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อมาก่อน 



     ทุน CALCIF เป็นทุนที่มุ่งหมายจะเผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมอิตาเลี่ยน ให้กับผู้เรียนที่หลงไหลในประเทศอิตาลีจากทั่วทุกมุมโลก  ในฤดูร้อนทุกๆปีจะเปิดรับสมัครผู้เรียนที่สนใจมาใช้ชีวิตที่ Gargnano เพื่อมาเรียนคาบภาษา คาบประวัติศาสต์คาบภูมิศาสตร์ คาบประวัติศาสตร์ศิลปะ ทั้ง จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปติยกรรมการแสดงโอเปร่า ไปถึงยัน ภาพยนต์ โดยทางสถาบันเป็นผู้รับผิดชอบจัดหาที่พักและอาหารให้กับนักเรียนทุกคน จวบจนครบกำหนดเวลา 3 อาทิตย์ของการศึกษา 

    ทางที่ขับมาจาก Brescia คดเคี้ยวเวียนหัว จนเราไม่อยากจะสนทนาอะไรกับใครในรถ แต่เมื่อมาถึงก็ต้องยอมรับกับความงามของเมืองเล็กๆตรงหน้าคุ้มค่าจริงๆที่ทนกลั้นใจ และกลั้นอาเจียน นั่งมาถึงจนได้

    จุดที่รถมาส่งเป็นที่จอดรถเล็กๆ จอดรถทัวร์ได้ไม่เกิน 3-4 คัน มองเลยลงไปเห็นทะเลสาบ Garda ที่มีน้ำสีฟ้าอมเขียวสะท้อนแสงสีขาวของพระอาทิตย์ฤดูร้อน ท่าเรือที่ยื่นออกไปในทะเลสาบเต็มไปด้วยเรือ  ยอร์ชลำเล็กๆละลานตาแต่ถึงอย่างนั้น Gargnano กลับเป็นเมืองเงียบๆไม่พลุกพล่าน เหมาะกับการมาพักผ่อนจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่เสียจริงๆ


    เมื่อมาถึงแล้ว ก็ได้ฤกษ์เริ่มแนะนำตัวกับเพื่อนใหม่กันซักที เราพูดคุยแนะนำตัวเองกันเป็น              ภาษาอิตาเลี่ยน ด้วยสำเนียงจากนานาชาติ

    ชาวคาซัคสถานที่ทักทายกันตั้งแต่ก่อนขึ้นรถบัส เล่าให้ฟังว่า ตัวเธอเพิ่งลงเครื่องมาจาก              ประเทศเยอรมณีหลังจากที่ไปสอนภาษาอังกฤษให้กับลุกสาวของเพื่อนชาวเยอรมันแลกกับที่พักฟรีในเมือง Hamburg เเละปัจจุบันเธอกำลังศึกษาภาษาอิตาเลี่ยนควบคู่ไปกับภาษาอาหรับ

    ชาวเซอร์เบียลงรถมาพร้อมเสื้อสีเทาหม่น พิมพ์ลายหลังสีขาวว่า Phuket ทำเอาอดเข้าไปแนะนำตัวเอง ไม่ได้ว่า “ไอเป็นคนไทยแหละยู” น่าเสียดายที่เสื้อตัวนั้นเป็นแค่ของฝากจากพี่ชายตอนมาเที่ยวไทยเมื่อไม่กี่เดือนก่อนแต่เขาก็พูดเสริมต่อว่า พี่ชายไอชอบมากวันนึงไอคงได้ไปบ้าง”

    ชายชาว รวันดา แนะนำตัวไปพลางเปิดภาพงานของเขาจากโทรศัพท์มือถือให้ดูไปพลาง ภาพเด็กยิ้มแย้ม 5-6 ภาพ ในป่าสีเขียวเข้มกับดินสีน้ำตาลแดง คงจะเป็นแถบชนบทสักแห่งในประเทศที่มีประวัติแสนเศร้า เขาทำงานให้กับองค์กรช่วยเหลือเด็กแห่งหนึ่งในรวันดาที่มีการติดต่อร่วมมือกันกับองค์กรจากอิตาลี นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาริเริ่มคิดที่จะเรียนภาษาอิตาเลี่ยนอย่างจริงจังเขาบอกด้วยสีหน้าสดใส

    ชายชาวเปรู อายุ 40ต้นๆ ผู้อวุโสสุดในทริปชอบเต้นรำ และไม่เล่นโซเชียล แนะนำตัวอย่างติดตลกปนความภาคภูมิใจในน้ำเสียงว่า เปรูคือชนชาติที่ไม่เหมือนใครๆในโลก เพราะเป็นชาติที่รวมความเป็น Caucasian Asian และ African เข้าไว้ด้วยกัน

    ชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาเลี่ยนมาเพื่อเรียนภาษาของคุณปู่คุณย่า เขาคุ้นเคยกับภาษาท้องถิ่นซีซีเลี่ยนเป็นอย่างดีแต่กลับรู้สึกว่าภาษาอิตาเลี่ยนที่ไม่คุ้นหูนี้ยากเสียเหลือเกิน

    หญิงสาวชาวอังกฤษวัยรุ่นราวคราวเดียวกันดูสนใจในความเป็นเอเชี่ยนของเราเป็นพิเศษ เธอเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์การไปbackpack และสอนภาษา ในประเทศแทบภูมิภาคเอเชี่ยหลายประเทศปัจจุบันเธอกำลังเรียนวรรณกรรมอิตาเลี่ยน ในมหาวิทยาลัยในกรุงสก๊อตแลนด์ ตบท้ายด้วยการแนะนำหนังสือภาษาอิตาเลี่ยนน่าอ่านให้เราอีก 2 เล่ม



    อาจารย์ที่นั่งมากับรถบัสเป็นคนเดินนำทางเราไปยังที่พัก ทางเข้าเมืองประกอบด้วย โรงแรม 3 ดาว เล็กๆสีเหลืองออ่น ใต้โรงแรมจัดใว้เป็นระเบียงไม้สำหรับร้านอาหารริมน้ำ 

    อีกฝากถนนเป็นที่ตั้งของซุปเปอร์มาร์เก็ตไซส์กะทัดรัด หน้าร้านวางชั้นพลาสติกตั้งพื้นบรรจุ self tanner และครีมกันแดดนีเวีย 

    ถัดไปเป็นบาร์สไตล์อิตาเลี่ยนแท้ ที่เสิร์ฟทั้ง กาแฟ brioche หลากประเภท ขนมปังเค็ม สอดไส้ชีส แฮมมะเขือเทศ ที่เรียกว่า Panini และ เจลาโต้ตู้เล็กๆที่มีรสชาติ original อยู่ครบถ้วน มีโต๊ะเล็กๆวางไว้หน้าร้านสำหรับลูกค้าที่อยากจิบกาแฟไปพลางชมบรรยากาศไปพลาง รวมทั้งมีร่มเหลืองนวลคันใหญ่กางไว้ให้เหนือโต๊ะ 

    ทางเดินเรียบทะเลสาบมีม้านั่งสีเขียวเรียงไว้เป็นระยะ สำหรับนั่งชมวิวทะเลสาบ และโคมไฟเรียงใว้ตลอดทางเพื่อส่องแสงยามค่ำคืน และเสริมภาพความงามของถนนยามช่วงวัน



    เราเดินกันมาเรื่อยๆจนถึงที่พัก ที่มีชื่อว่า Palazzo Feltrinelli เป็นวิลล่า 3 ชั้นสีส้มอ่อน ติดทะเลสาบ Garda จากจุดที่เราอยู่ สามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์จวบไปถึงอีกฝากของทะเลสาบ ฝั่งตรงข้ามทะเลถูกล้อมไปด้วยภูเขาสีเขียวเข้ม  ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือประวัติของอาคารหลังนี้ปัจจุบันได้บริจาคให้กับ มหาวิทยาลัยแห่งเมืองมิลาน (Università degli Studi di Milano) แต่ทว่าในอดีตเคยเป็นหนึ่งในที่พำนักของ Benito Mussolini ในช่วง 2 ปีสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่เขาจะถูกประหารลงในปี 1945 

    ทางโรงเรียนจัดห้องพักให้เราที่ชั้น3 ร่วมกับเพื่อนชาวอังกฤษที่เดินคุยกันมาระหว่างทาง และเพื่อนสาวชาวรัสเซียที่จะเดินทางมาถึงในตอนเย็น บรรยากาศในห้องนอนเรียบง่าย พื้นและเฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้ ที่นอนคลุมด้วยผ้าปูสะอาดสีขาว 

    เพียงเดินลงมาหนึ่งชั้นก็จะเจอกับห้องเรียนคาบภาษาอิตาเลี่ยนที่จะจัดสอนกันในช่วงเช้า ของวันจันทร์-ศุกร์ และเมื่อเดินต่อลงมายังชั้น Ground ก็จะพบห้องเรียนคาบวัฒนธรรม ซึ่งจะมีการสลับสับเปลี่ยนหัวข้อการสอนไปในแต่ล่ะอาทิตย์ 

    ห้องอาหารคือลานกว้างริมทะเลสาบด้านหน้าของวิลล่า มีเพียงรั้วเหล็กบางที่กั้นระหว่างมื้ออาหารและ วิวดุจภาพถ่ายข้างโต๊ะ 



    เราตื่นนอนกันประมาณ 8.30 เพื่อเรียนภาษาอิตาเลี่ยนตอน 9.00 และพักทานอาหารกลางวันกันประมาณ 13.00 ทุกมื้อจะแบ่งเป็น พาสต้า เนื้อสลัด ตบท้ายด้วยของหวาน ความสนุกของแต่ล่ะวันคือการลุ้นว่าวันนี้จะเจออาหารหน้าตาแบบไหน 

    โต๊ะอาหารพาดยาวจากฝั่งตึกออกไปฝั่งทะเลสาบเพื่อรองรับนักเรียนผู้หิวโหย 40 คน บนโต๊ะ บรรยากาศจึงมักจะครื้นเครงไปด้วยบทสนทนาว่าด้วยเรื่องของของกินตรงหน้า การขอให้เพื่อนอีกฝากโต๊ะส่ง ชีส น้ำมันมะกอก น้ำส้มสายชู aceto สีดำ เกลื่อ และอีกสารพัดอย่างมาให้ 

    รวมถึงการพูดคุยสัพเพเหระกับแม่ครัวยอดนักปรุงที่คอยนำจานมาเปลี่ยน  สิ่งเดียวที่ต้องเสียเงินซื้อในสถานที่แห่งนี้ คือ กาแฟ espresso ถ้วยเล็ก แก้วล่ะ 1ยูโรที่ชาวอิตาเลี่ยนนิยมกระดกซดกันหลังทานอาหารเสร็จ ว่ากันว่ามันจะช่วยย่อยอาหารมื้อใหญ่ที่เราเผลอทานเข้าไปจนหมดเกลี้ยง 

     


    เราใช้เวลาพัก 4-5 ชั่วโมงหลังจากนั้นคลุกตัวอยู่ที่ชายหาดข้างโรงเรียน หาดหินที่ทอดลงไปในทะเลสาบอยู่ห่างจากวิลล่าไปเพียงแค่ 10 นาที นักเรียนต่างชาติหลายชีวิตที่พรั่งพรูเข้ามาในหน้าร้อนนี้ทำให้หาดที่ปกติจะมีเพียงนักท่องเที่ยวท้องถิ่น ดูมีความอินเตอร์ขึ้นมาไม่น้อย 

    ถึงตอนเดินบนหินสีขาวเทาก้อนเล็กจะไม่นุ่มสบายเท้าเหมือนตอนเดินบนพื้นทราย แต่มันกลับทำให้น้ำสีเขียวมรกตในทะเลสาบดูใสสะอาดตาอย่างประหลาด ที่ขาดไม่ได้คือแก็งค์เป็ดหัวเขียวเจ้าถิ่นที่คอยต้อนรับเราอยู่กลางสายน้ำในทุกครั้งที่มาเยื้อน 

    ที่นี่ยังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจในคืนที่เราเกิดนึกมีอารมณ์สุนทรีย์เรามักจะมาเปิดเพลง ดื่มไวน์ และ nightdip กันในน้ำที่กลายเป็นสีดำสนิทยามค่ำคืน


     


    คาบวัฒนธรรมอิตาเลี่ยนเริ่มเรียนที่ 17.00 และจบลงที่ประมาณ20.00 หลังจากนั้นก็เป็นอันให้นักเรียนได้ใช้เวลาที่เหลือแยกย้ายกันไปตามอัธยาสัย 

    ณ เวลานี้ ร้านบาร์หน้าเมืองที่เราเดินผ่านมาเมื่อตอนกลางวัน ได้เปลี่ยนมาขาย Spritz เครื่องดื่มคอกเทลสีส้ม ที่คนขายจะนำมาเสิร์ฟพร้อมกับถั่วปากอ้าและมั้นฝรั่งทอดกรอบ จัดเรียงคู่กันอยู่ในตะกร้าสานใบจิ๋ว 

    หากเดินข้ามฝั่งมาจะพบกับร้านอาหารเล็กๆ ที่มีฟลอร์เต้นรำลับอยู่ที่ชั้นใต้ดิน บันไดทางลงที่เชื่อมไปด้านล่างมีเสียงเพลงจังหวะสนุกสนานเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ ที่นี่เราเจอเพื่อนชาวเปรูที่กำลังครึกครื้นอยู่กับการออกท่วงท่าตามจังหวะเพลง 

    แต่ทว่าจุดรวมพลของเรา และเพื่อนสนิท ชาวคาซัคสถาน แม๊กซิกัน อังกฤษ กรีก และจอร์แดนนั้น อยู่ไกลจากที่นี่ไปราว 15นาทีนาที ร้านโปรดเราอยู่นอกประตูเมืองเป็นบาร์สีขาวติดชายหาดที่หนาแน่นไปด้วยหนุ่มสาวชาวท้องที่ 



    เราทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆเจ้าของภาษา พร้อมทั้งอวดดีเสนอตัวเองเข้าแข่งขันตอบคำถามในกิจกรรมสันทนาการกลางร้านเหล้าของคืนนั้น เกมเศรษฐีภาษาอิตาเลี่ยนมาพร้อมคำถามที่ไร้ซึ่งความปรานีต่อแขกจากต่างแดน แม้นทีมอินเตอร์เนชั่นแนลของเราแปลคำถามออกทุกข้อ แต่ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าชื่อละครที่ดาราชื่อไม่คุ้นหูแสดงนั้นมีนามว่าอย่างไร 

    คืนนั้นเราเดินกลับวิลล่ากันมาจวบจะเที่ยงคืนพร้อมเสียงหัวเราะที่สะท้อนไปกับตรอกถนน และตำแหน่งรองบ๋วยที่พวกเราแสนจะภาคภูมิใจ



    Ps. เป็นการเล่าจากความทรงจำที่ผ่านมาหลายปีเหมือนกัน อาจจะมีข้อมูลอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ใครสนใจลองดูข้อมูลในลิ้งค์ล่ะกันนะคะ https://www.facebook.com/Calcif.Unimi/











เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in