เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
GO ALONE HONG KONGSor Winchester
002 : First Time in Hong Kong
  •                 ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความหิว

                      พลิกข้อมือดูนาฬิกาเพิ่งจะ7 โมงกว่า  แสดงว่าหลับไปได้แค่ 30 นาที

                   ในเมื่อนอนต่อไม่หลับแล้วเพราะท้องร้อง  เลยเปิดจอดูว่ามีหนังอะไรบ้าง  ฉันเลือก MIB ภาคล่าสุดเพราะคิดว่าน่าจะดูง่าย  ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ  ระหว่างที่เปิดหนังไปได้ประมาณสิบกว่านาที  พนักงานก็ยกอาหารเช้ามาเสิร์ฟ

                   ฉันเลือกหมี่ผัดกุ้ง  รสชาติเค็ม ๆ อร่อยดีมั้ง  กินไปเกือบหมดด้วยความหิว  ก่อนจะตามด้วยขนมปัง  โยเกิร์ต และผลไม้

                   แปลว่ากินเกลี้ยงนั่นเอง

                   แต่พอท้องอิ่มแล้วกลับหลับต่อไม่ลง  ฉันเลยนั่งจดบันทึกเรื่องที่เจอเพื่อนใหม่หน้าเกทE4 ลงในมือถือเพราะกลัวจะลืม  พอคิด ๆ ไปแล้วการเดินทางคนเดียวมันก็น่าจะดีตรงนี้มั้ง ทำให้กล้าคุยหรือกล้าทำในสิ่งที่คิดว่าถ้ามากับคนอื่นเราคงจะไม่ได้ทำ

                   พอจดบันทึกเสร็จก็ตั้งใจว่าจะดูหนังต่อ  แต่บอกตามตรงว่าหนังไม่สนุกเลยหยุดดูแล้วเปลี่ยนเป็นฟังเพลงแทน


                   พอฟังเพลงแล้วก็ผล็อยหลับไปในที่สุด  รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงสัญญาณรัดเข็มขัดเพื่อเตรียมตัวแลนดิ้งแล้ว

                   ฉันมองผ่านหน้าต่างลงไปยังเบื้องล่าง  มองเห็นผืนน้ำทะเลสีเข้มก่อนจะค่อย ๆมองเห็นฝั่งตามด้วยตึกสูงนับสิบ เห็นแล้วก็อดนึกถึงแผงเมนบอร์ดไม่ได้ ฉันนั่งมองมันอยู่อย่างนั้นพลางคิดในใจว่าตม.จะถามอะไรบ้างนะ  เดินทางมาคนเดียวแบบนี้จะโดนเรียกเข้าห้องเย็นไหม  ในหัวพาลนึกไปถึงประสบการณ์ที่เพื่อนเคยเจอตม.ฮ่องกง การเป็นสตรีสัญชาติไทยเดินทางด้วยตัวคนเดียวแบบนี้ดูเหมือนจะเป็นที่เพ่งเล็งอยู่เสมอๆ


                   พอเครื่องจอดสนิท  ผู้โดยสารก็ทยอยกันลง  ฉันกวาดสายตามองไปรอบ ๆ  คนน่าจะไม่ถึง 1 ใน 3 ของลำมั้งเนี่ย  พอเดินออกมาฉันก็เจอรูบี้  ผู้หญิงที่เจอกันหน้าเกท E4 เราเดินคุยกันจนฉันแยกไปทางตม.  ส่วนรูบี้เดินไปหาซื้อซิมการ์ดเพื่อจะติดต่อกับทางบ้านและขอตัวไปช้อปปิ้ง 

                   ตม.แถวไม่ค่อยยาวเท่าไหร่  หรือจะพูดให้ถูกคือไม่มีคิวด้วยซ้ำ  ฉันเลยเลี้ยวเข้าห้องน้ำก่อนจะเดินตรงไปเจอเจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงที่ดูท่าทางจะอายุน้อยกว่าฉัน  เธอมองหน้าแล้วเริ่มยิงคำถาม

                   “มากี่วัน”

                   “5วัน”

               “มากี่คน”

                   “คนเดียว”

               “คนเดียวเหรอ ?” น้ำเสียงและสีหน้าเริ่มเปลี่ยน ฉันเลยส่งยิ้มแล้วตอบกลับไป

                   “ใช่  มาดูคอนเสิร์ต คอนเสิร์ตเล่นวันนี้”

                   “คอนเสิร์ตอะไร  มีตั๋วไหม”

                   กะแล้วว่าต้องถาม  ฉันเลยหยิบปึก(?)เอกสารที่มีทั้งเอกสารการรับบัตรคอนเสิร์ต  ตั๋วนิทรรศการจิบลิที่ปริ๊นออกมาแล้ว  ใบจองห้องพักทั้ง 2 แห่ง  และรายละเอียดการจองตั๋วเครื่องบิน

                   เธอดูเอกสารทุกแผ่นก่อนจะคืนให้ฉันกลับมาก่อนจะตามด้วยส่งพาสปอร์ตให้  ฉันเลยเลิกคิ้วถามเธอก็ทำหน้าเนือย ๆแล้วบอกว่าไปได้

                   หน้าตาแม่งไม่ค่อยจะเป็นมิตรเลย

                   แต่ตม.ก็แบบนี้ป่ะวะ

                   ฉันยักไหล่ก่อนจะเดินไปยังสายพานรับกระเป๋า  สัมภาระที่น้อยพอ ๆ กับผู้โดยสารค่อย ๆทยอยกันไหลมาตามสายพาน  ไม่นานเท่าไหร่กระเป๋าเดินทางสีแดงเข้มที่แปะสติ๊กเกอร์ของฉันก็ค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาใกล้  ฉันจึงลากมันลงมาแล้วเดินไปตามป้ายบอกทางเข้าเมือง

                   แต่เอ๊ะ...  เราลืมอะไรไปหรือเปล่านะ

                   เออ...  จากรีวิวเขาบอกว่าต้องซื้อ Octopus จากสนามบินเลยนี่นา  ตอนนั้นนึกไม่ออกจึงเดินเข้าเซเว่นก่อน  หยิบลูกอมคุมะมงมา 1อันแล้วถามพนักงานว่าที่นี่มี Octopus Card ขายไหม ได้ความว่าต้องเดินไปซื้อตรงเคาน์เตอร์ที่เพิ่งเดินผ่านมา

                   ฉันลืมไปว่าที่นี่ไม่เหมือนไทเปที่มีEasy Card ขายแทบจะทุกร้านสะดวกซื้อ  แถมยังมีลายน่ารัก ๆ เต็มไปหมด

                   พอเดินไปตามทางที่เขาชี้ก็เห็นเคาน์เตอร์และตู้ขายอะไรสักอย่างที่ดูเป็นตู้อัตโนติมัติ  เราเลยเดินไปต่อแถวแล้วกดซื้อ Octopus มา 1 อัน ในบัตรดูเหมือนจะมีเงินอยู่ 150 ดอลลาร์ เลยเติมไปอีก 100 ยังไงก็คิดว่าใช้หมดอยู่แล้ว


                   พอได้Octopus ก็เดินไปตามป้ายรถบัสที่เข้าเมือง  คืนแรกฉันจองที่พักใกล้ ๆ KITEC ซึ่งเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ต  ตามข้อมูลแล้วจะต้องนั่งสาย A29 เพื่อไปลงตรง Kowloon Bay เราเดินลงมาหาจุดขึ้นรถ  มองเห็นช่องขายตั๋วเลยไปซื้อตั๋วจากคุณป้า  ก่อนจะมารู้ทีหลังว่าบนรถก็ใช้ Octopus ได้เลยนี่หว่า


                   และนี่คือหน้าตาของตั๋ว


                   ฉันยืนรอรถอยู่สักพัก  ก่อนจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเล่น  ไม่นานนักรถก็มา  จึงลากกระเป๋าขึ้นรถบัสด้วยความทุลักทุเล  พอได้ที่นั่งแล้วก็จัดการปลดสัมภาระลงจากบ่า  นั่งมองวิวและพยายามถ่างตาไว้แม้จะง่วงมาก  คิดว่าเดี๋ยวคงจะต้องหากาแฟกินสักหน่อย  ถ้ารับบัตรคอนเสิร์ต  ซื้อกู๊ดส์เสร็จแล้วอาจจะได้หลับสักงีบ


                   แต่ใครจะไปคิดว่าหลังจากนั้นจะตาสว่างแบบไม่ต้องพึ่งกาแฟเลย

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in