เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Number One Teacher ; #ครูอี้เองค้าบnarzissuz
Prologue + (1) ครูอี้และชูครีม
  • Number One Teacher

    Tag ; #ครูอี้เองค้าบ
    (ติด tag เพื่อแสดงความคิดเห็นและเสนอขนมของตอนต่อไปได้นะคะ :D)

                   

     


                    


                "พีท น้าฝากน้องด้วยนะลูก ฉีครับ เป็นเด็กดี ไม่ดื้อ ไม่งอแงใส่พี่พีทนะ รู้ไหม"


                “ไม่ต้องห่วงครับ คุณน้าที่ผ่านมาฉีก็น่ารักกับผมมาตลอด ใช่ไหมครับ ฉีของพี่พีท”

     

                “คับ!

     

                “เดี๋ยวน้าจะติดต่อพีทมาอีกทีถ้าวันเปิดเรียนน้องประกาศแล้วนะ”

     

                “ครับคุณน้าก็ช่วยดูแลป๊าด้วยนะครับ”

     

                “ได้จ้ะฉีเองก็ดูแลพี่พีทให้ป๊ากับแม่ด้วยนะ อย่าให้สาวที่ไหนมาขโมยพี่พีทไปจากเราล่ะ”

     

                “ผมไม่มีเวลาให้สาวที่ไหนหรอกครับกิจการที่ไทยก็ต้องเรียนรู้ น้องก็ต้องดูแลแบบนี้”

     

     

    (1)


    ครูอี้และชูครีม

     

                    

                ภาพของผู้ชายอายุ 23 อุ้มเด็ก 3 ขวบเดินเข้าโรงเรียนอนุบาลอาจจะดูแปลกตาอยู่ซักหน่อย ท่ามกลางเหล่าคุณพ่อคุณแม่วัย 30 กว่าๆ แต่ในเมื่อพ่อกับแม่ของเด็ก 3 ขวบคนนี้เขาอยู่ฮ่องกงด้วยกันทั้งคู่ ผมก็เลยต้องรับบทคุณพ่อจำเป็นอย่างช่วยไม่ได้

     

                    “น้องฉี อนุบาล 1 ครับ” ผมยื่นบัตรประจำตัวนักเรียนให้กับเจ้าหน้าที่ท่าทางใจดี เธอพลิกกระดาษอยู่สองสามครั้งก่อนจะเงยหน้ามาพูดกับผมกำลังอุ้มฉีอยู่

     

                    “อ.1/1 ห้องครูอี้นะคะตึกสีฟ้าด้านซ้าย ห้องในสุดค่ะ”

     

                    “ขอบคุณครับ”

     

                    “ตอนมารับน้องอย่าลืมเอาบัตรนี้มาด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นโรงเรียนจะไม่อนุญาตให้รับน้องกลับ เพื่อความปลอดภัยของน้องน่ะค่ะ”

     

                    “ครับ” ผมพูดก่อนจะรับบัตรที่เธอส่งคืนมา แต่ยังไม่ทันจะเก็บใส่กระเป๋ามือของเจ้าตัวเล็กที่ผมอุ้มอยู่ก็ตะครุบและออกแรงดึงบัตรให้หลุดจากมือผม “มันไม่ใช่ของเล่นนะ ฉี”

     

                    “คับ?”

     

                    สงสัยผมจะพูดไวไปจนเด็ก 3 ขวบฟังไม่ทัน แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะทันทีที่น้องรับคำผมตาแป๋ว แฝงไปด้วยความอยากเล่นเจ้าบัตรแข็งๆนี่ (ผมรู้ว่าแววตาแบบนี้ของน้องแปลว่าอยากเล่นตามประสาคนที่อยู่กับน้องมาตั้งแต่น้องเกิด ไม่ได้อวดนะครับ นี่เรื่องจริงล้วนๆ) ผมก็หมดความคิดที่จะอธิบายว่ามันไม่ใช่ของเล่นยังไงและปล่อยให้น้องดึงบัตรไปเล่นตามใจชอบ

     

                    น้านิภาครับผมตามใจน้องไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว ผมขอโทษ... รอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ขี้เกียจจำ ก็น้องน่ารักนี่นา ผมคิดแล้วก้มลงมองเจ้าของผมสีดำนุ่มนิ่มที่จ้องบัตรอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนกับว่าอ่านข้อความบนนั้นออกอย่างไงอย่างงั้น ผมอดไม่ได้ที่จะก้มลงหอมแก้มใสๆนั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว ซึ่งเจ้าโมจิในอ้อมแขนผมก็หัวเราะเอิ้กอ้ากด้วยความจั๊กจี้ แต่ก็ยอมให้หอมแต่โดยดี

     

                    แค่คิดว่าจะไม่ได้อยู่กับน้องไปอีกหลายชั่วโมงก็เสียใจจนอยากจะขอป๊าให้สร้างโรงเรียนอนุบาลขึ้นในบริษัทเลยล่ะครับ

     

                    “นั่นน้องฉีใช่ไหมเอ่ย”

     

                    เสียงของผู้ชาย— ที่ฟังไกลๆก็ยังรู้ได้ว่าเป็นเสียงที่ 2 หรือบางทีอาจจะเป็นที่ 3 ด้วยซ้ำ— ทำให้รู้ว่าผมเดินมาจุดหมายเรียบร้อยแล้วผมเห็นตัวหนังสือสีฟ้าที่เขียนว่า อ.1/1 บนพื้นหลังสีขาวเป็นอย่างแรกตามด้วยร่างผอมสูงเกือบชนขอบประตูในผ้ากันเปื้อนสีชมพูตัดกับสีฟ้ารอบข้างของครูอี้ครูประจำชั้นของฉี (ของผม) “ทำไม—“

     

                    “ทำไมถึงรู้น่ะหรอครับว่านี่คือน้องฉี?”เขาถามประโยคคำถามของผมแทนผมด้วยเสียงปกติ “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้ครับที่ผมรู้ก็เพราะพ่อแม่ของน้องก๋วยเตี๋ยว น้องมาเก๊า...” บอกผมทีว่านั่นคือชื่อเด็กจริงๆ โลกหมุนไวจนผมตามไม่ทันแล้ว พี่ขนมเทียน “...แล้วก็เด็กๆ คนอื่นในห้องถามผมแบบนี้หมดเลย ที่ผมรู้ก็เพราะคนเป็นครูอนุบาลนี่ควรจะจำชื่อกับหน้าของนักเรียนในห้องให้ได้ก่อนจะได้รับหน้าที่ดูแลแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ทุกคนเต็มตัวไม่ใช่หรอครับ”

     

                      นอกจากคำพูดจะทำให้ผมประทับใจก็มีรอยยิ้มใจดีกว่าเจ้าหน้าที่ต้อนรับไปเก้าร้อยเท่านี่แหละ ที่ทำให้ผมคิดว่าครูคนนี้น่าจะดูแลน้องของผมได้สมกับมาตรฐานค่าเทอมแพงหูฉี่ของโรงเรียนนี้ “มาๆ น้องฉีมาหาครูอี้เร็ว คุณพ่อ... คุณพ่อหรือเปล่าครับ”

     

                    “เปล่าครับ ผมเป็นพี่”

     

                    “ผมก็ว่าอยู่” ถ้าครูอี้สงสัยเหมือนหลายๆ คนที่เจอผมกับฉีเป็นครั้งแรกว่าทำไมเราสองคนถึงเป็นพี่น้องกันได้ทั้งๆ ที่อายุห่างกันเกินรอบแบบนี้ เขาก็เก็บอาการได้แนบเนียนทีเดียว “มาหาครูอี้เร็ว พี่---“

     

                    “พีทครับ”

     

                    “---พี่พีทจะได้ไปเรียน” ครูอี้ยื่นแขนออกมาผมเขย่าตัวฉีนิดหน่อยให้เขาหันไปมองคุณครู เจ้าโมจิจ้องด้วยความสงสัยอยู่และคงตัดสินใจได้ว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นคนใจดีก็เลยยอมให้ครูอี้รับไปอุ้ม “คุณพีทไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลน้องฉีเป็นอย่างดีเลย”

     

                    ผมพยักหน้า ครูอี้จับมือป้อมๆของฉียกขึ้นโบกให้ผมก่อนจะหมุนตัวไปปลดล็อกประตูเลื่อน (โรงเรียนคงใช้ประตูแบบนี้เด็กๆ จะได้เปิดออกมาเองไม่ได้ ประทับใจจังแฮะ) แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปในห้องผมก็ส่งเสียงออกไป “เดี๋ยวฮะ”

     

                    ครูอี้รวมไปถึงเจ้าฉีที่ตอนนี้วางคางลงบนบ่าครูเรียบร้อยแล้ว หันมากระพริบตามองผมเป็นจังหวะเดียวกัน นี่ครูกับเด็กมันซิงค์กันได้ไวขนาดนี้เลยหรอ “ผมขอไลน์ครูไว้หน่อยได้ไหมครับ”

     

                    “จะเอาไว้ถามว่าน้องฉีสบายดีไหมหรอครับคุณพีทเป็นคนแรกเลยนะครับที่ขอ” ทำไมผมนึกถึงประโยคในเทรลเลอร์หนังเรื่องนึงวะ จะเป็นได้ยังไง ในเมื่อแกไม่เคยขอ’ หรืออะไรประมาณนี้ “ได้ครับ แต่ถ้าผมไม่ค่อยตอบก็ไม่ต้องกังวลนะครับ ครูไม่ควรเล่นมือถือในเวลาเรียนยิ่งเป็นครูอนุบาลยิ่งแล้วใหญ่ เดี๋ยวเด็กๆ จะมาขอเล่น เด็กวัยนี้ยังไม่ควรใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์...”

     

                    ผมให้ฉีอยู่กับมือถือหรือแท็บเล็ตตอนผมต้องทำงานและพี่น้ำพี่เลี้ยงของฉี ต้องไปทำอย่างอื่นเท่านั้นแหละ เรื่องแค่นี้ พี่ชายที่รักน้องมากๆอย่างผมต้องรู้อยู่แล้ว “...ผมขอไปเอามือถือในห้องก่อนนะครับ”

     

                    ครูอี้เข้าไปในห้องผมได้ยินเสียงแว่วๆ ผ่านประตูออกมา ประมาณว่าครูอี้แนะนำฉีให้เด็กคนอื่นในห้องได้รู้จักแล้วสิบวิต่อมาร่างสูงผอมก็กลับออกมาพร้อมมือถือการแลกไลน์ของเราขลุกขลักนิดหน่อยเพราะครูอี้หา QR Code ของตัวเองไม่เจอ เขาหัวเราะแหะๆ แล้วออกตัว "ผมเป็นคนโลว์เทคครับ เปลี่ยนภาพตัวเองในไลน์ได้ก็ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แล้ว" 

     

                    ดูจากชื่อไลน์ “ครูอี้” เพียวๆไม่มี emoji ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ แม้แต่จุดเพื่อความ minimal ก็พอจะรู้แล้วล่ะว่าคำว่าโลว์เทคนี่ไม่ได้ถ่อมตัวแต่อย่างใด "ถ้างั้น ผมขอตัวไปดูแลเด็กๆ ก่อนนะครับ ขอให้มีวันที่ดีที่มหาลัยครับ"

     

                    พูดจบเขาก็ส่งยิ้มแบบเดิมให้อีกทีแล้วหายเข้าห้องไป ทิ้งให้ผมไม่มีโอกาสได้แก้ไขความเข้าใจผิดว่าผมเรียนจบแล้ว และกำลังจะไปเริ่มงานวันแรกที่โรงแรมของตระกูลสาขาประเทศไทย

     

    *

     

                    ความพยายามที่ผมใช้ในการเรียนรู้งานคิดเป็น 70% ของความพยายามในการห้ามตัวเองไม่ให้ส่งข้อความไปถามครูอี้ว่าฉีเป็นอย่างไงบ้าง โดนเพื่อแกล้งหรือเปล่า ในขณะที่ความพยายามของผมกำลังจะหมดลงตอน 9.09 น. --ที่ผมบอกเวลาได้ละเอียดเนี่ย เพราะผมกำลังนับถอยหลังอยู่ว่าจะได้เจอน้องอีกทีเมื่อไหร่-- เสียงคอลไลน์ที่ดังขึ้นก็ทำให้ผมสะดุ้งจนปัดเอกสารยอดผู้เข้าพักในแต่ละเดือนกระจายลงพื้น ถ้าเป็นคนอื่นโทรมาผมคงเลือกเก็บเอกสารก่อนเพื่อรักษาภาพลักษณ์หนุ่มเนี้ยบ แต่ในเมื่อครูอี้ที่กำลังดูแลน้องของผมโทรมาก็... "ครับ? ครูอี้มีอะไรหรือเปล่า"

     

                    “ขอโทษที่ต้องรบกวนเวลาเรียนครับ แต่น้องฉีงอแงไม่หยุดเลยตั้งแต่คุณพีทกลับไป กอดก็แล้ว โยกตัวก็แล้ว ลูบหลังก็แล้วน้องยังสะอื้นไม่หยุด ผมเลยจะรบกวนถามหน่อยครับว่าปกติคุณพีททำยังไงให้น้องฉีหยุดร้อง”

     

                    ปกติเวลาน้องงอแงขนาดนั้นผมส่งให้พี่น้ำตลอดเลยนะยกเว้นถ้าพี่น้ำไม่ว่างจริงๆ ผมก็... “น้องชอบฟังเสียงกีต้าร์ครับ”

     

                    “แย่จังครับ ผมเล่นไม่เป็นเล่นเป็นแต่เปียโน”

     

                    “เอ่อ... เปิดจาก Youtube ก็ได้มั้งครับ”

     

                     “ผมไม่อยากใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในห้องเรียนโดยไม่จำเป็นจริงๆครับ ใช่ไหมๆ...” เสียงครูอี้เบาลงเล็กน้อย เหมือนเขาหันไปพูดกับคนอื่นไม่ได้พูดใส่มือถือ “เนอะ น้องฉี น้องฉีเด็กดี ไม่มีแท็บเล็ตก็หยุดร้องได้ แอ๊ะ แอ๊ะ อ่าว... หยุดร้องเฉยเลย ชอบเสียงแบบนี้หรอ แอ๊ะ แอ๊ะ แอ๊ะ”

     

                    ผมได้ยินเสียงฉีหัวเราะผสมกับเสียงสะอื้นด้วยความพยายามที่จะหยุดร้องแว่วเข้ามา “งั้นไม่เป็นไรแล้วครับขอบคุณมากๆ ตั้งใจเรียนด้วยนะครับ”

     

                    “ครับ” ด้วยความที่ยังงงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปกะทันหัน ผมเลยรับคำได้แค่นั้น ผมนิ่งไปพักหนึ่งหลังวางสาย ก่อนจะหัวเราะออกมา

     

                    “อยู่ดีๆก็มองมือถือแล้วขำจนไม่เห็นตา ทำไม พี่น้ำส่งคลิปน้องฉีของมึงเต้น baby shark มาให้ดูหรอ”

     

                    “เปล่า กูแค่ดีใจที่ป๊ากูซื้อ 1ได้ถึง 2 แบบ ซื้อครูอนุบาลให้น้องกู แต่เหมือนจะได้พี่เลี้ยงกลายๆ ให้กูด้วยซะงั้นว่าแต่ baby shark นี่คืออะไร ตัวการ์ตูนใน Nemo หรอ"

     

    *

     

                    ผมกลับมาที่โรงเรียนอีกครั้งตอนบ่ายสาม โดยมีอุปกรณ์เสริมเป็นชูครีม ผมไม่ได้เตรียมมาให้ฉีกินหรอก รายนั้นมีขนมที่พี่น้ำเตรียมไว้ให้รออยู่ที่บ้านแล้ว แต่เอามาให้ครูอี้ที่รับปากว่าจะดูแลน้องฉีอย่างดี แถมยังบอกให้ผมตั้งใจเรียนทั้งๆ ที่ผมนั่งอยู่ที่ออฟฟิศของโรงแรมต่างหาก

     

                    ผมยักไหล่ให้กับตัวเองเมื่อหาเหตุผลดีๆ ที่ผมซื้อขนมมาฝากคนที่รู้จักแค่ชื่อไม่ออก ถ้าเขาถามก็บอกไปละกันว่าเป็นคำขอบคุณที่ดูแลและปลอบให้ฉีหยุดร้อง ส่วนไอ้ที่ผมจะไม่บอกก็คือซื้อขนมติดสินบนครูไว้ เขาจะได้รักฉีของผมมากกว่าน้องก๋วยเตี๋ยวหรือน้องมาเก๊า ถึงครูเขาจะดูรักเด็กทุกคนก็เถอะ แต่ให้น้องผมถูกรักมากกว่าซัก 0.5% ผมก็เอา

     

                    “มารับน้องใช่ไหมคะ ขอบัตรประจำตัวด้วยค่ะ” เจ้าหน้าที่คนละคนกับเมื่อเช้า แต่มีรอยยิ้มใจดีแบบเดียวกัน (ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใจดีเท่าที่ครูอี้ยิ้ม) พูด ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิด แล้วก็ต้องใจหายเมื่อค้นไปค้นมาแล้วพบว่าไม่มีบัตรอยู่ในซอกไหนของกระเป๋าเลย

     

                    “ผมเป็นผู้ปกครองของน้องฉีอ.1/---“

     

                    “ขอบัตรประจำตัวด้วยค่ะ” เธอย้ำเสียงหวาน “ไม่อย่างนั้นเราก็ให้รับน้องไม่ได้นะคะ”

     

                    “ผมลืมเอามา คุณเอาบัตร...“ ใจผมหายเป็นหนที่สองเมื่อคิดได้ว่าบัตรประชาชนของผมยืนยันความสัมพันธ์กับฉีไม่ได้ เพราะผมใช้นามสกุลพ่อ แต่ฉีใช้นามสกุลน้านิภา “...คุณเรียกน้องผมออกมาหรือไม่ก็ให้ผมเข้าไปเจอเขาก็ได้ น้องยืนยันได้แน่ๆ ว่าผมเป็นพี่ชายเขาจริงๆ”

     

                    “นโยบายของโรงเรียนไม่ให้ทำทั้งสองอย่างค่ะ ยกเว้นคุณจะมีบัตรประจำตัวหรือหลักฐานอื่นๆ ที่ยืนยันได้ว่าเป็นผู้ปกครองน้องจริง”

     

                    “แล้วคุณจะให้น้องผมรอ---“

     

                    “เห็นมั้ย พี่พีทมารับน้องฉีแล้วจริงๆ ด้วย”

     

                    “ครูอี้!” ผมกับเจ้าหน้าที่หันไปเรียกพร้อมกัน ผมไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่รู้สึกดีไหมที่ได้หยุดเถียงกับผม แต่ผมรู้สึกดีมากๆ ดีจนอยากจะตีรถกลับไปที่ร้านขนม แล้วเปลี่ยนชูครีมเป็นชีสเค้กทั้งปอนด์ เทวดาหน้าตาเป็นอย่างนี้นี่เอง ผูกผ้ากันเปื้อนสีชมพูซะด้วย

     

                    “ค้าบ ครูอี้เองค้าบแล้วก็น้องฉีด้วย ใช่ไหมเอ่ย”

     

                    “คับ” เจ้าฉีที่มือจับปกเสื้อของครูอี้อยู่พยักหน้าหงึกๆ อ๋อยยยย เจ้าโมจิของพี่ นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน จะขอให้ครูอี้หันมาดีๆ แล้วถ่ายรูปเลยนะเนี่ย

     

                    “ทีนี้ฉีก็เชื่อที่ครูบอกแล้วเนอะ ว่าพี่พีทไม่ได้ทิ้งแค่ยังเรียนไม่เสร็จเฉยๆ ปะ กลับไปหาพี่พี---“

     

                    “ไม่ได้นะคะ ครูอี้!” สีหน้าเขินอายเมื่อตอนที่ครูอี้โผล่มาหายวับไปเหมือนสั่งได้ เจ้าหน้าที่ดีเด่นมากๆ อยากจะขอตัวไปช่วยงานที่โรงแรมเลย “คุณเขาไม่มีบัตรประจำตัวน้องค่ะ”

     

                    “อ่าว... แล้วจะเอายังไงดีล่ะเนี่ย” คุณครูที่อี้กัดปาก ในขณะที่ขยับแขนจัดท่าให้อุ้มฉีดีๆ ดูจากแขนแห้งๆครูเขาก็เก่งมากแล้วล่ะที่อุ้มมาได้จนถึงตอนนี้ “เอ๊ะ... นี่อะไรเนี่ย”

     

                    ผมมองตามมือของครูอี้ที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขาสั้นลายสก็อตสีน้ำเงินของฉี แล้วดึงของอย่างหนึ่งออกมา “อ่าว ทำไมบัตรประจำตัวมาอยู่ที่ฉีล่ะครับเนี่ย แอบเอาของพี่พีทมาเล่นหรอ”

     

                    ก้อนกลมๆ ที่ยังจับปกเสื้อของคุณครูไว้แน่นสั่นหัวด๊อกแด๊ก ผมมองน้องพลาง ขมวดคิ้วพลางพยายามนึกให้ออกว่าบัตรมันไปอยู่กับน้อ--- “อ๋อ! นึกออกแล้ว เมื่อเช้าผมให้น้องเอาไปเล่น!"

     

                    ความรักบังตาไม่พอ ยังทำให้ประสาทในการจดจำเสื่อมถอยอีกด้วย ขอโทษนะครับ นี่น้องฉีหรือวอดก้า Smirnoff รสบ๊วยที่ออกใหม่กันแน่

     

                    “จะรู้ได้ยังไงคะว่าคุณไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมา” ถ้ามีคนเถรตรงอย่างเธอคนนี้เพิ่มขึ้นซักพันคนในประเทศ ผมว่าไทยเราน่าจะพัฒนาจนมี NASA เป็นของตัวเองได้ 199 แห่งแล้ว

     

                    “ไม่ได้แต่งหรอกครับ” ครูอี้ไกล่เกลี่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เมื่อเช้าคุณพีทมาส่งน้องฉีให้ผมกับมือเลย ผมคุยไลน์กับคุณพีทเรื่องปลอบน้องฉีให้หยุดร้องซะด้วยซ้ำ”

     

                    “แน่ใจนะคะ”

     

                    “ขวัญไม่เชื่อผมหรออออ”

     

                    “โถ่ ครูอี้คะขวัญน่ะเชื่อครูอี้ตลอดแหละ แต่ถ้ามันเกิด accident ขึ้นจริงๆ ขวัญก็ซวยสิคะที่ปล่อยให้น้องกลับบ้าน ทั้งๆ ที่คนมารับไม่มีบัตรประจำตัว"


                    “ผมอนุญาตให้ขวัญซัดทอดผมได้ตามใจชอบเลยถ้ามันเกิดอะไรกับน้องฉีขึ้นมาจริงๆ” ท่าทีขี้เล่นเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นจริงจังได้ไวยิ่งกว่าสับสวิตช์ “ขวัญจะอัดเสียงที่ผมพูดไว้ หรือจะร่างสัญญาให้ผมเซ็นเลยก็ได้นะ”

     

                    “เอ่อ...”

     

                    “ผม serious นะ”

     

                    “ก็ได้ค่ะ” ในที่สุดคุณขวัญเธอก็ยอมแพ้ถึงแม้จะถอนหายใจและทำสีหน้าเหมือนค้นพบว่าโปร 11.11 ของ app ช็อปปิ้งออนไลน์เป็นเรื่องแหกตาก็ตาม

     

                    “ขอบคุณขวัญมากเลย รับรองเลยว่าพรุ่งนี้ขวัญเห็นน้องฉีมาโรงเรียนแบบน่ารักสดใส ไร้รอยขีดข่วน” ครูอี้หันมายิ้มเผื่อผม “คุณพีทจอดรถตรงไหนครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”

     

                    “ทางนี้ครับ” ผมเดินนำไปอย่างงงๆทันทีที่เราสามคนเดินถึงรถ ครูอี้ก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่สาม

     

                    “ฉีครับคืนบัตรให้พี่พีทก่อนเร็ว”

     

                    “ขอบคุณครับ ฉี แล้วก็ขอบคุณครูอี้ด้วยนะครับ ถ้าไม่ได้ครูอี้ผมคงต้องโทรไปกวนแม่ฉีที่ต่างประเทศแน่เลย”

     

                    “ไม่เป็นไรครับ ด้วยความเต็มใจ” ครูอี้ยังยิ้มใจดีให้เหมือนเดิม ถึงแม้จะเพิ่งรบกับคุณขวัญและอุ้มฉีมาเกินสิบนาทีก็ตาม “แค่พรุ่งนี้พาน้องฉีมาส่งอย่างสดใสน่ารัก ไร้รอยขีดข่วนอย่างที่ผมบอกขวัญก็พอครับ ไม่งั้นผมคงโดนไล่ออก แล้วก็โดนขวัญแช่งจนกว่าผมจะเกิดใหม่แน่ๆ”

     

                    “สัญญาครับ” ผมทำหน้าจริงจังก่อนจะยื่นมือไปทางเจ้าโมจิ “มา ฉี กลับบ้านกัน”

     

                    ฉียื้อปกเสื้อของครูอี้ไว้นิดนึงตอนจะถูกส่งมาให้ผมอุ้มต่อ ครูอี้เลยต้องกลับไปใช้เสียงสามอีกครั้ง “ฉีกลับบ้านกับพี่พีทนะครับ ไปนอนให้เต็มอิ่ม พรุ่งนี้จะได้มีแรงมาเล่นกับครูอี้เนอะ แอ๊ะ”

     

                    ทันทีที่ได้ยินเสียงแอ๊ะ เจ้าฉีก็หัวเราะเอิ้กอ้ากแล้วยอมให้ผมอุ้มแต่โดยดี มือป้อมๆโบกให้กับคุณครูที่ยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับเข้าโรงเรียนไป

     

                    ผมขับรถออกมาจากโรงเรียนแล้วตอนที่ตัวเองเหลือบไปเห็นชูครีมที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเบาะหลัง


                    ไม่เป็นไร ผมกินชูครีมนี่เองก็ได้ดีซะอีก พรุ่งนี้ผมจะได้ซื้อชีสเค้กไปให้ครูอี้อย่างที่คิดไว้ตอนหลังแทน




    Talk.

    สวัสดีทุกคนที่หลงมาอ่านค่า :)

    นี่เป็นฟิคเรื่องแรกในรอบหลายปีของเรา แถมเป็นฟิคที่ใ้ช้ตัวละครไทยแบบที่สามล้านปีจะมีซักทีอีกต่างหาก เท่านั้นยังไม่พอ setting ของเรื่องยังเป็นสถานที่และกลุ่มคนที่เรามีโอกาสสุงสิงด้วยน้อยมาก อย่างโรงเรียนอนุบาลและเด็กๆ อีกต่างหาก แต่คาแรคเตอร์ของต่อ ที่ในเรื่องนี้คืออี้ มันทำให้เราคิดถึงครูโรงเรียนอนุบาลจริงๆ ถึงตัวจะเป็นผู้ใหญ่ แต่จิตใจคือเด็กน้อยงี้ 5555 หวังว่าทุกคนจะเอ็นดูครูอี้เหมือนคนแต่งนะคะ /ปาใจ

    พอมีครูก็ต้องมีเด็ก พอมีเด็กก็ต้องมีผู้ปกครอง ไม่มีใครเหมาะมากกว่าพี่พีทและน้องฉีอีกแล้วววว ลืมภาพการเฉือนคมในเลือดข้นคนจางไป เพราะเรื่องนี้ (จะพยายาม) ให้หวานอร่อยแน่นอน!

    เจอกันตอนหน้าค่ะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in