ข้อสังเกต:
"เมื่อคิดกลับไปก็พบว่า การฟังเป็นสิ่งหนึ่งสำคัญมากในการเชื่อมสังคมมนุษย์เข้าด้วยกัน"
"จริงอยู่ที่การพูดคุยก็สำคัญ แต่หากฝ่ายหนึ่งพูดแล้วไม่มีคนฟัง คำพูดนั้นก็จะหมดหน้าที่ทันที และหากคนฟังไม่ตั้งใจ คนพูดก็จะไม่อยากเชื่อมความสัมพันธ์กับคนฟังดังกล่าว"
----------
เสาร์-อาทิตย์ , 6-7 มีนาคม 2021
ได้มีโอกาสไปอบรม "ฟังด้วยใจกับสะมาริตันส์"
ในงานมีคนจากหลายวัยและหลายอาชีพ แต่ทุกคนมาด้วยความรู้สึกนึกคิดที่เปิดกว้างและพร้อมรับรู้สิ่งใหม่ ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความนุ่มฟูของไมตรีจิต และเหตุผลในการมาของแต่ละคนเองก็หลากหลายมากๆ
รู้สึกชื่นชมจากใจจริง
กิจกรรมเวิร์คช็อปดูจะแพลนไว้เป็นขั้นตอน เน้นการสังเกตจากประสบการณ์จำลองที่ให้ความรู้สึกเหมือนจริง (โดยรวมคิดว่ามีบางจุดที่ดูเชื่อมโยงกับตอนเรียนการแสดง - พูดถึงในตอนต่อๆ ไป)
เริ่มจากทำความรู้จักกับผู้เข้าอบรม เสียงเพลงเบาสบายเปิดคลอ วิทยากรให้ทุกคนเดินไปรอบๆ ห้องและเริ่มทักทายกันด้วยการแตะข้อศอก และต่อมา ตาตุ่มขวา - อารมณ์ขันและเสียงหัวเราะเป็นการทะลายกำแพงระหว่างบุคคลที่ดี
จากนั้นก็ให้ผลัดกันเล่าเรื่องราวต่างๆ ทั้งเรื่องที่ทำให้ประทับใจและทำให้ไม่สบายใจ
เราได้คุยกับทั้งสตาฟและผู้เข้าอบรมทำให้ได้รับรู้ความแตกต่างที่สภาพการทำงานของแต่ละคนหล่อหลอมบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมา
บางคนมีอายุมากแล้วแต่ยังเต็มไปด้วยจินตนาการ บางคนดูชินกับการสวมบุคลิกที่สองแต่พอได้พูดถึงเรื่องที่ชอบก็ดูจะสามารถกลับเป็นตัวเองขึ้นมาได้นิดหน่อย แต่สิ่งที่เหมือนกันคือสายตาของฝ่ายฟังที่ใช้จ้องมองด้วยความสนใจ
การฟังอย่างใส่ใจเป็นช่วงเวลาที่เราได้เก็บเกี่ยวรายละเอียด - เสียงพูดคุยรอบตัวและเสียงแอร์กลายเป็นไม่มีตัวตน - ทั้งอีกฝ่ายและตัวเราเอง
ความรู้สึกซึ่งต้นเหตุนั้นเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิต ความปลอดภัยและเชื่อใจที่จะแบ่งปันเรื่องราว ความทรงจำวัยเด็กที่ไม่มีวันหวนกลับมา เราสามารถสัมผัสสิ่งเล็กๆ ที่มีความหมายยิ่งใหญ่ต่อมนุษย์คนหนึ่งได้โดยการฟัง
เมื่อคิดกลับไปก็พบว่า การฟังเป็นสิ่งหนึ่งสำคัญมากในการเชื่อมสังคมมนุษย์เข้าด้วยกัน
จริงอยู่ที่การพูดคุยก็สำคัญ แต่หากฝ่ายหนึ่งพูดแล้วไม่มีคนฟัง คำพูดนั้นก็จะหมดหน้าที่ทันที และหากคนฟังไม่ตั้งใจ คนพูดก็คงไม่อยากเชื่อมความสัมพันธ์กับคนฟังดังกล่าว
ในเวลาเดียวกันก็ได้สังเกตตัวเองด้วย เนื่องจากยังไม่หายจาก Social Anxiety Disorder ดีและติดนิสัยวิเคราะห์ภาษากายไปด้วยแบบอัตโนมัติ ช่วงแรกๆ ของงานจึงเกร็งนิดๆ และอดสังสัยไม่ได้ว่าท่าทางที่ดูตั้งใจฟังก่อเกิดขึ้นจากเจตนาแบบไหน และเวลาเล่าก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับเรื่องที่เราเล่าออกไป
แต่นั่นคงเป็นหัวใจของการฟังด้วยใจที่ทางสมาคมอยากสื่อ - ในมุมของผู้ฟัง เขาคงอยากทำยังไงก็ได้ให้เราสบายใจ และที่เราดูไม่ออกว่าคนฟังรู้สึกหรือคิดอะไรกับเรื่องที่เราเล่า เป็นเพราะเขาไม่ได้ตัดสิน ไม่ได้ใช้อคติ เพราะอย่างนั้น ไม่ว่าจะหาต้นตอความรู้สึกยังไงก็คงหาไม่เจอ
ในชีวิตที่ผ่านมา เรามองการพูดเป็นเหมือนการเชื่อมสัมพันธ์ อยากเล่าเรื่องสนุกๆ เพื่อดึงเขาเข้ามาในโลกของเรา และหวังว่าการพูดคุยแลกเปลี่ยนจะทำให้สนิทกันมากขึ้น ดังนั้นจึงคอยกะเกณฑ์ปฏิกิริยาตอบรับของผู้ฟัง
ทว่า ในอีกมุมหนึ่ง เรากลับไม่รู้สึกเป็นตัวเองเต็มร้อย อดคิดไม่ได้ว่ามันจะดีแค่ไหนหากคนหลายๆ คนจะเปิดรับเรื่องราวของอีกคนหนึ่งโดยไม่ตัดสิน มันคงทำให้ผู้คนเข้าใจกันมากขึ้น - แต่นั่นก็เป็นเพียงโลกในอุดมคติ
-----
กิจกรรมต่อมาคือให้ลองหลับตา ฟังเสียงต่างๆ และสังเกตความคิดความรู้สึึกที่ผุดขึ้นในสมอง
เพราะสมองมนุษย์ ด้วยวิวัฒนาการ สังคม ปัจจัยวัยเด็ก และอื่นๆ ถูกเซ็ตไว้ในระบบชนิดหนึ่งซึ่งมักใช้ในการดำเนินชีวิต สิ่งนั้นคือความเคยชินที่ทำโดยไม่ได้ไตร่ตรองก่อนตัดสินใจลงมือทำ
ระบบของบางคนสั่งให้ตั้งคำถาม ระบบของบางคนสั่งให้ตั้งใจฟังน้ำเสียงแต่ไม่ใช่เนื้อหาของคำพูด
ในความเป็นจริงไม่มีระบบไหนถูกหรือผิด การอบรมนี้ดูจะเป็นเพียงการเริ่มต้นเซ็ตระบบที่สองขึ้นเพื่อให้เราเปลี่ยนไปใช้เมื่อจำเป็น แต่บางครั้ง ระบบเก่าอาจขัดกับระบบการฟังด้วยใจ จึงต้องปรับเปลี่ยนความเคยชินบางอย่างเพื่อให้ระบบทั้งสองอาศัยอยู่ในสมองเดียวกันได้
เสียงทุกเสียงเกิดจากทีมงาน กระดิ่งสัญญาณ การสะบัดปึกกระดาษรัวเร็ว การกระทืบเท้าปึงปังกับโครงไม้กลวง เสียงเคาะแก้วที่ความถี่ไม่คงที่
ความแตกต่างของแต่ละคนทำให้การตีความเสียงเหล่านั้นไม่เหมือนกัน บางคนเชื่อมโยงเสียงเข้ากับความทรงจำ บางคนอยากฟังเสียงต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ บางคนพยายามเข้าใจอารมณ์ที่เป็นสาเหตุของเสียงนั้นๆ
อีกครั้ง ไม่มีอะไรถูกผิด ความต่างงดงามในแบบของมัน และยิ่งเปิดรับความต่างก็ทำให้ได้รู้จักหลายๆ ด้านของความเป็นมนุษย์ ซึ่งเราต้องรับมันเข้าไปอยู่ในใจก่อนจะรับฟังความทุกข์ของคนอื่นบนพื้นฐานของความเป็นจริงได้
และความเป็นจริงที่ว่า ก็วนกลับไปที่คำว่า มนุษย์
คนเราทำพลาดบางครั้ง อคติบังตาบ้าง นั่นคือธรรมชาติ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นพระสังฆราชหรือฆาตกรต่อเนื่อง พวกเขามีข้อผิดพลาด
ในที่นี้ไม่ใช่หมายความว่าให้ปฏิบัติต่อหรือมองทุกคนด้วยเลนส์เดียวกัน แน่นอน พระสังฆราชย่อมเคยทำผิดพลาด เราจึงไม่ควรยกย่องเขาว่าดีเลิศกว่าปุถุชน และสิ่งที่ฆาตกรทำไม่ใช่เรื่องดี - ส่วนตัวคิดว่า: การเข้าใจเขาในฐานะคนด้วยกัน ก็ป้องกันไม่ให้เราทำป่าเถื่อนกับเขาเหมือนที่เขาทำกับเหยื่อ ไม่อย่างนั้นเราก็คงไม่ต่างอะไรกับผู้ร้ายพวกนั้น
แต่นั่นก็เป็นเพียงมุมมองที่ยังไม่ได้ผ่านการคิดไตร่ตรองอย่างรอบด้าน - เป็นเพียงข้อสังเกตแบบไร้เดียงสาเท่านั้น
TBC.
จริงๆ กลัวคำวิจารณ์มาก ถึงจะจั่วหัวว่านี่เป็นแค่ข้อสังเกต ไม่ใช่สัจธรรมก็ตาม แต่ถ้าอยากถกประเด็นกันด้วยเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา อันนี้ไม่กลัวค่ะ อยากรับรู้มุมมองใหม่ๆ ด้วยซ้ำ
อยากทำความเข้าใจโลกให้มากกว่านี้ค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in