เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ตามพ่อไป...วัดWorakhun Boon
วัดพระพุทธบาทสี่รอย เชียงใหม่
  • สวัสดีครับ
    วัดพระพุทธบาทสี่รอย เชียงใหม่
    คุณพ่อเคยซื้อหนังสือการ์ตูนประวัติพระพุทธเจ้าทีปังกรมาให้อ่าน ด้านหลังหนังสือมีชื่อของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ รวมทั้ง ๔ พระองค์ในภัทรกัปป์นี้ พอไปเชียงใหม่รอบนี้คุณพ่อเลยชวนไปกราบพระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งเป็นรอยประทับของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์

    วัดพระพุทธบาทสี่รอย ตั้งอยู่ที่ อ.แม่ริม ทางขึ้นดอยค่อนข้างแคบและสูงชัน ต้องขับรถช้า ๆ ระมัดระวังหน่อย ด้านหน้าก่อนเข้าไปนมัสการรอยพระพุทธบาท มีแผ่นจารึกประวัติ พวกเรายืนอ่านกันจนจบ ลองอ่านดูนะครับ

    ตำนานพระพุทธบาท ๔ รอย

    เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบันนี้ ได้เสด็จจาริกประกาศธรรม และโปรดเวไนยสัตว์มายังปัจจันตะประเทศ (ประเทศไทยในปัจจุบัน)
    จนกระทั่งมาถึงเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศ ชื่อเขา “เวภารบรรพต”
    ซึ่งขณะนั้นได้เสด็จพร้อมกับพุทธสาวก ๕๐๐ องค์ และได้แวะฉันจังหันอยู่บนเขาเวภารบรรพตแห่งนี้ เมื่อพระพุทธองค์ฉันจังหันเสร็จ ขณะประทับอยู่ที่นั้น ก็ได้ทราบด้วยญาณสมาบัติว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ ได้มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ คือพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ภัทรกัปป์นี้ แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเล็งดูรอยพระพุทธบาทแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันธะ, พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ, พระพุทธเจ้ากัสสปะ
    อันมีในที่นี้พุทธสาวกทั้งหลายมี พระสารีบุตรเป็นประธานเมื่อเห็นเช่นนี้จึงทูลถามว่า พระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใด พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า ดูก่อนท่านทั้งหลายสถานที่แห่งนี้แม้ว่าพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาล ก็มาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ทุก ๆ พระองค์ และแม้นว่าพระศรีอริยเมตไตรย ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ และจักประทับรอยพระบาทสี่รอยนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว (คือประทับลบรอยทั้งสี่ให้เหลือรอยเดียว)

    เมื่อพุทธองค์ตรัสแก่สาวกทั้งหลายเสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ จึงมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ จึงเกิดเป็นพระพุทธบาทสี่รอย
    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์นั้นแล้ว ก็ทรงอฐิษฐานว่าในเมื่อ (เรา) ตถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายก็จักนำเอาพระธาตุของตถาคต มาบรรจุไว้ที่รอยพระพุทธบาทที่นี่ ในเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว ๒,๐๐๐ ปี พระพุทธบาทสี่รอยนี้ก็จักปรากฏแก่ปวงคนและเทวดาทั้งหลาย ก็จัดได้มาไหว้และบูชา เมื่อทรงอธิษฐานและทำนายไว้ดังนี้แล้ว พระองค์ก็เสด็จไปเชตวันอารามอันมีในเมืองสาวัตถีนั้นแล
    เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายก็นำเอาพระธาตุของพระพุทธองค์มาบรรจุไว้ที่พระพุทธบาทสี่รอย เมื่อพระพุทธองค์นิพพานล่วงมาแล้วประมาณ ๒,๐๐๐ วัสสา เทวดาทั้งหลายต้องการอยากให้พระพุทธบาทสี่รอยปรากฏแก่คนทั้งหลายตามที่พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานไว้ ก็จึงเนรมิตเป็นรุ้งตัวใหญ่ (เหยี่ยว) ก็บินลงจากภูเขาเวภารบรรพต อันป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบันนี้ เพื่อบินลงไปเอาลูกไก่ของชาวบ้าน (คนป่า) ที่อยู่ตีนเขาเวภารบรรพต แล้วก็บินกลับขึ้นไปสู่ยอดเขา
    ชาวบ้าน (คนป่า หรือ พรานป่า) มันโกรธมากจึงตามขึ้นไปคิดว่าจะยิงเสียให้ตาย มันก็ติดตามไปค้นหาดู แต่ก็ไม่เห็นรุ้งตัวนั้นเท่า แต่เห็นรอยพระพุทธบาทสี่รอยอันอยู่พื้นต้นไม้และเถาวัลย์ พรานป่าผู้นั้นก็ทำการสักการบูชาเสร็จแล้วก็ลงจากภูเขา พอมาถึงหมู่บ้านก็เล่าบอกแก่ชาวบ้านทั้งหลายฟัง (ความอันนั้นก็ปรากฏสืบๆกันไปแรกแต่นั้น) คนทั้หลายที่ทราบก็พากันไปสักการะบูชามาก แต่นั้นมาจึงได้ชื่อว่า “พระบาทรังรุ้ง” (รังเหยี่ยว)
    ในสมัยนั้นมีพระยาตนหนึ่งชื่อว่าพระยาเม็งราย เสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ ได้ทราบข่าวจึงมีพระราชศรัทธาอยากเสด็จไปกราบบูชาพระพุทธบาทสี่รอย ก็นำเอาราชเทวีและเสนาพร้อมกับบริวารทั้งหลาย เมื่อพระยาเม็งรายกราบนมัสการเสร็จแล้ว ก็นำเอาบริวารของตนกลับสู่เมืองเชียงใหม่ ก็ตั้งอยู่เสวยราชสมบัติตราบเมี้ยนอายุขัย
    แล้วลูกหลายที่สืบราชสมบัติก็เจริญรอยตามและได้ขึ้นมากราบพระพุทธบาทสี่รอย ทุก ๆ พระองค์ หลังจากนั้นมาพระบาทรังรุ้งหรือรังเหยี่ยวนี่ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “พระพุทธบาทสี่รอย” เพราะมีรอยพระพุทธบาทประทับซ้อนกันถึงสี่รอย
    มาในสมัยยุคหลังคนทั้งหลายจึงเรียกขานกันว่าพระพุทธบาทสี่รอย คือมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ที่ล่วงมาแล้วในภัทรกัลป์นี้คือ

    - รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ รอยแรก เป็นรอยใหญ่ยาว ๑๒ ศอก
    - รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ เป็นรอยที่ ๒ ยาว ๙ ศอก
    - รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะ เป็นรอยที่ ๓ ยาว ๗ ศอก
    - รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าโคตะมะ (ศาสนาปัจจุบันนี้) เป็นรอยที่ ๔ รอยเล็กสุดยาว ๔ ศอก

    เมื่อมาถึงสมัยพระยาธรรมช้างเผือก ผู้ครองนครเชียงใหม่ พร้อมด้วยบริวาร ๕๐๐ คน ก็ขึ้นไปกราบสักการบูชาพระพุทธบาทสี่รอย และได้สร้างพระวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้ชั่วคราว โดยแต่เดิมถ้าใคร จะดูรอยพระพุทธบาทบนยอดหินก้อนใหญ่ ต้องใช้บันไดพาดขึ้นไป หรือปีนขึ้นไปดูซึ่งก็คงจะขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ดังนั้นพระยาธรรรมช้างเผือกจึงตรัสสร้างแท่นยืนคล้ายๆ นั่งร้านรอบ ๆ ก้อนหินที่มีพระพุทธบาทสี่รอย เพื่อที่ผู้หญิงจะได้เห็นรอยพระพุทธบาทด้วย และได้สร้างหลังคาชั่วคราวมุงไว้
    ต่อมาในสมัยพระชายาเจ้าดารารัศมีก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการ พระพุทธบาทสี่รอย และได้มีพระราชศัทธาก่อสร้างวิหารเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทไว้ ๑ หลัง หลังเล็ก ปัจจุบันได้บูรณปฏิสังขรณ์แล้วทั้งหลัง จะเหลือไว้แต่ผนังวิหาร พื้นวิหารและแท่นพระซึ่งยังเป็นของเดิม 

    พอมาสมัยเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๒ ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทยก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และได้รื้อพระวิหารที่เจ้าพระยาธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราว และได้สร้างพระวิหารครอบรอยพระพุทธบาทไว้ใหม่และได้ฉาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทไว้ เพื่อรักษาให้อยู่ค้ำชูพุทธศาสนาไปตลอดกาลนาน

    หวังว่าคงจะได้ประโยชน์กันนะครับ
    สวัสดีครับ
    ก๊อบกับแก๊บ

    การ์ตูนดี มีประวัติ พระพุทธเจ้า
     เป็นเรื่องเล่า สี่พระองค์ จงเลื่อมใส
    รอยพระบาท ทั้งสี่ นี้ไม่ไกล
     ที่เชียงใหม่ ไปพลัน กันพวกเรา

    ไปแม่ริม ยิ้มแย้ม แพลมโอกาส
    แวะพระธาตุ สี่รอย บนดอยเขา
    ทางลดเลี้ยว เคี้ยวคด ระวังเมา
    อาจต้องเอา ยาดมไว้ เพราะไม่ชิน

    ก่อนขึ้นไป ได้ชม รอยพระบาท
    ไม่ควรพลาด อ่านตำนาน ผ่านแผ่นหิน
    ประวัติเก่า เล่าไว้ ตามได้ยิน
    มาเยือนถิ่น ศักดิ์สิทธิ์ จิตตื่นดี

    นั่งภาวนา สมาธิ รอบพระบาท
    น่าประหลาด สงบเย็น เป็นสุขศรี
    โอกาสหน้า มาอีกครั้ง นั่งอีกที
    สวัสดี จงมี กับทุกคน
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in