เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
MAXTUL | SHORT FICTIONSbmbayah_
HOME
  • HOME
    pairing: Max/Tul
    genre: fluff, light angst
    rate: PG
    note: ฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องแต่งตามจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น
              โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

     

    Sometimes home doesn’t come in a place, sometimes it is a person.”

     

    (1.) Home is where you have your favorite homemade chicken soup.

    “พรุ่งนี้ผมไปหาที่คอนโดได้ป่ะ”  เขาเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มที่สว่างสดใสเหมือนกับครั้งแรกที่เจอ

    รอยยิ้มแรก – ที่ทำให้ตกหลุมรัก

    “อยากมาก็มาสิรปภ.ใต้คอนโดแทบจะจำหน้ามึงได้แล้วนี่”

    “ไม่ได้ดิต้องถามเจ้าของห้องก่อนว่าอยากให้ไปหาหรือเปล่า”

    เขายิ้ม –ไม่เคยมีครั้งไหนที่ไม่อยากเจอ 

    ถ้าเป็นไปได้อยากให้เจอกันทุกวันด้วยซ้ำ

    “ก็มาสิ แล้วจะทำซุปให้กิน”

    “จริงเล่น? ซุปไก่อ่ะนะ”

    “กูเคยโกหกมึงเหรอ”

    รอยยิ้มบนใบหน้าของคนเยาว์กว่าขยับกว้างขึ้นกว่าเคยอีกนิด จนแทบจะกินพื้นที่ไปถึงใบหูเสียด้วยซ้ำ

    “พรุ่งนี้ผมไปรับละออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์กัน”

    “เดี๋ยวซื้อไว้เย็นนี้เลยก็ได้พรุ่งนี้มึงมาก็จะได้กินเลย”

    “ไม่เอาอ่ะ อยากไปด้วยกันมากกว่าผมต้องเป็นคนเลือกแครอทกับหอมใหญ่ ส่วนพี่ไปเลือกไก่เลย”

    “ทำไมกูต้องเป็นคนเลือกไก่”

    “ก็เพราะผมเลือกไม่เป็นยังไงล่ะครับ”

    “เด็กเวร”

    คนพูดเพียงแต่ยิ้มบางๆ แต่คนฟังกลับเป็นฝ่ายหัวเราะเสียงดังขึ้นมาแทน
    มีอย่างที่ไหนกัน ถูกด่าแท้ๆ แต่ยังหัวเราะขึ้นมาได้ราวกับคำต่อว่าเป็นคำชื่นชมเสียอย่างนั้น
    เจ้าเด็กเวรที่ว่าเอื้อมมือไปปิดวิทยุในรถ เสียงเพลงเงียบลงจนภายในรถเงียบสนิท

    เขาหันมายิ้มให้คนข้างๆ แววตาทอแสงอ่อนลง
    อ่อนโยนแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ นัก

    “พี่น่ะ ตามใจผมตลอดเลยนะ”

    “แล้วไม่ชอบเหรอ”

    “โดนสปอยจนนิสัยเสียหมดแล้ว”

    “ปกติก็นิสัยเสียอยู่แล้วต่อให้กูไม่สปอยก็เถอะ”

    “โห่พี่..” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงยานคางเหมือนเด็กเล็กๆเวลาที่ไม่พอใจเมื่อโดนแม่ดุ มุมปากคว่ำลงน้อย ๆทั้งน่าเอ็นดูและน่าหมั่นไส้ในขณะเดียวกันทั้งๆ ที่โตขนาดขับรถไปไหนมาไหนได้เองแล้วแท้ๆก็ยังติดนิสัยชอบทำตัวเป็นเด็กอยู่เรื่อย

    ก็เพราะเป็นแบบนี้ไง ถึงอดไม่ได้ที่จะตามใจ

    “สรุปพรุ่งนี้จะมากี่โมง”  เขาเอ่ยถามเมื่อมองออกไปนอกกระจกแล้วเห็นว่ามันใกล้จะถึงจุดหมายเต็มท

    “ซุปมันต้องกินกี่โมงถึงจะดีอ่ะ”

    “กี่โมงก็ได้ แล้วแต่มึงสิ”

    “งั้นผมไปรับตอนบ่ายสอง ซื้อของนู่นนี่กว่าจะได้กินก็ตอนเย็นพอดี”

    “อื้อ ได้”

    คนที่ทำหน้าที่เป็นสารถีจำเป็นเลี้ยวรถเข้ามาภายในคอนโดลดกระจกบอกพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม

    “มาส่งคนกลับบ้านครับ” เขาตอบยิ้มๆ  บอกชั้นที่พี่ตุลย์อยู่กับเบอร์ห้องไปด้วยความคุ้นเคย
    คุณลุงคนเดิมยิ้มตอบกลับมาพร้อมกับตะเบ๊ะให้หนึ่งที

    “ลุงเขาน่ารักดีนะผมมาส่งพี่ทีไรก็ยิ้มแล้วตะเบ๊ะให้ทุกที”

    “แกน่ารักวันไหนถ้ามีขนมติดรถมาด้วยก็เอาแบ่งไปฝากตลอด”

    “นี่ก็น่ารักอีกแล้ว”

    “อะไรน่ารัก”

    “พี่ไงน่ารัก  เป็นคนน่ารัก”

    “เพ้อเจ้อ” ปลายประโยคเขาก้มลงให้ความสนใจกับโทรศัพท์ในมือ
    พยายามไม่ให้ความสนใจกับคนตัวโตที่นั่งอยู่หน้าพวงมาลัย

     

    น่ารักอะไรเล่า –บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องชมว่าน่ารัก
    ไม่ได้น่ารักซะหน่อย หล่อน่ะหล่อ รู้จักไหม
    ต้องชมว่าหล่อสิวะ!

    อีกฝ่ายที่ลอบมองอยู่หัวเราะขำกับอาการก้มงุดของคนโตกว่า
    ถึงข้างนอกจะมืดแล้ว แต่ถ้าเขามองไม่ผิด แก้มขาวๆ ที่เริ่มแดงระเรื่อนั่นไม่น่าจะใช่
    ผลจากความร้อนแน่ๆ เพราะเครื่องปรับอากาศภายในรถเขาก็ยังทำงานได้ดีไม่มีบกพร่อง
    เหตุผลข้อเดียวที่ดูจะเป็นไปได้น่าจะเพราะอีกคนเขินมากกว่า

    เขินจนแก้มแดงแบบนี้
    แล้วจะไม่ให้ชมว่าน่ารักได้ยังไงกันเล่า


    เขาเอื้อมมือไปปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยของคนที่ยังนั่งนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวใดๆ
    ทั้งที่รถจอดมาตั้งเกือบห้านาทีแล้ว

    “ถึงบ้านแล้วครับหรืออยากไปนั่งรถเล่นกับผมอีกรอบ”

    “นั่งรถเล่นอะไร จะห้าทุ่มแล้วโว้ย”

    “ก็เห็นนั่งนิ่งไม่ยอมลุกเลยนึกว่าอยากอยู่กับผมต่อนานๆ”

    “พรุ่งนี้ก็ได้เจอกัน”

    “ครับ เจอกันพรุ่งนี้”

    “ห้ามสายด้วย”

    “มีซุปไก่ไม่มีสายแน่นอน” คนฟังได้แต่หัวเราะขึ้นมาทันทีอย่างอดไม่ได้

    พอมีเรื่องอาหารมาเกี่ยวทีไรก็ไม่เคยจะอดใจได้เลยนะ

    เหมือนเด็กไม่มีผิดจริง ๆ นั่นแหละ
    ถ้าโคนันเจ้าหนูยอดนักสืบเป็นผู้ใหญ่ในคราบเด็กประถม  แม็กซี่เจ้าเด็กเวรนี่ก็ต้องเป็นเด็กในร่างผู้ใหญ่อายุ23 เป็นแน่ แถมเป็นผู้ใหญ่ตัวโตซะด้วย

    “ขับรถดีๆ ล่ะ”

    “แน่นอนครับ”  ตอบรับพร้อมกับยิ้มให้จนตาหยีอีกครา

    ภากรก้าวลงจากรถโดยไม่ทันสังเกตว่าเข็มขัดนิรภัยของตัวเองถูกปลดล็อคไว้ก่อนแล้ว  กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที้พาหนะคันหรูที่มาส่งเขากลับถึงบ้านแล่นออกไปจนเห็นเป็นเพียงเงารางๆ

    “ขอบคุณนะที่มาส่ง” เขาพึมพำเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากก่อนจะก้าวขาขึ้นบันไดเพื่อตรงไปกดลิฟต์ขึ้นห้องพัก

     

    ต้องทวนสูตรซุปไก่ของแม่ซะหน่อยแล้วมั้งคืนนี้

     

     

     

     

    2. Home is where your heart beats a little faster.

    “ทำไมตาบวมขนาดนี้”น้ำเสียงเจือด้วยความห่วงใยอย่างปิดไม่มิด คนตาบวมที่ว่าทรุดตัวลงนั่งที่พื้นที่ว่างบนโซฟาในห้องพักนักแสดง

    วันนี้เขากับแม็กซ์มีคิวถ่ายรายการด้วยกัน  นัดกันเก้าโมงเช้าแต่ว่าเขาเพิ่งจะได้นอนหลับอย่างจริงจังเมื่อตอนตี่สี้นี้เองยังไม่ทันจะหลับสบายดีก็ต้องตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกเมื่อตอนเจ็ดโมงเพื่อจะได้อาบน้ำแต่งตัวขับรถออกมาทำงาน  สภาพถึงได้เป็นอย่างที่เห็นดวงตาสองข้างบวมและแดงก่ำจากการนอนน้อยแต่ที่มันบวมจนผิดสังเกตและทำให้อีกฝ่ายเอ่ยถามก็เพราะเขาเผลอยกมือขึ้นไปขยี้

    “วันนี้ใส่คอนแทคมาหรือเปล่าผมว่าถอดดีกว่านะ ตาบวมขนาดนี้อะ ใส่แว่นแทนดีกว่า เอามาไหม?”

    “ไม่ได้ใส่มา วันนี้รีบ ลืมทุกอย่างเลย”

    “ลืมใส่คอนแท็คงั้นแว่นก็ไม่ได้เอามาด้วยสิ”

    “อื้อ ไม่ได้เอามา”เขาตอบก่อนจะเอนศีรษะพิงที่ไหล่ของอีกฝ่าย ก่อนจะปิดตาลงทั้งสองข้าง

    “เป็นอะไร พี่ไม่สบายหรือเปล่า”

    “เปล่า แค่ง่วงเฉย ๆ”

    “นอนดึกเหรอ ปกติพี่ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนไม่ใช่เหรอไง”

    “เมื่อคืนนอนไม่หลับ” เขาซุกหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่ายมากขึ้นราวกับว่าต้องการจะตัดบทสนทนาให้จบลงให้เร็วที่สุด  คนเป็นน้องขยับตัวเอาแขนข้างขวาของตัวเองพาดไปที่พนักโซฟาก่อนจะโอบไว้ที่ไหล่
    ของอีกคนไว้หลวมๆ

    ถ้าพี่แต้วเปิดประตูเข้ามาเห็นมีหวังต้องได้แซวอีกแน่ๆ
    แต่ก็ไม่เป็นไรเท่าไหร่หรอก แค่อยากให้พี่ตุลย์นอนสบาย ๆ ก็พอ

    “คิดถึงผมจนนอนไม่หลับเลยเหรอ”คนแก่กว่าเพียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้

    “หลงตัวเอง  ใครจะคิดถึงมึง”

    “โห่ เสียใจนะเนี่ย ผมยังคิดถึงพี่เลย”

    “เชื่อมึงก็ออกลูกเป็นลิงแล้ว”

    “ถ้าลูกพี่เป็นลิงก็คงเป็นลิงที่น่ารักที่สุดในฝูง”

    “เต๊าะเก่ง”

    “ฮ่าๆ แล้วตกลงจะไม่ตอบผมจริง ๆ เหรอว่าทำไมนอนไม่หลับ” มือข้างขวาที่โอบไหล่อีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นลูบขึ้นลงที่แขนเบา ๆ  คนถูกถามยังคงไม่ตอบ ดวงตาสองข้างปิดสนิท

    “ว่าไงครับ”

    “เซ้าซี้จังวันนี้”

    “ก็เป็นห่วงไงเล่า ฝันร้ายเหรอ”

    “ถ้าบอกว่าใช่ ห้ามหัวเราะนะ” ณัฐพลหันมามองคนข้างตัวอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่อีกฝ่ายนั่งลงข้างๆ แล้วยึดพื้นที่ไหล่เขาไปหนุนนอนต่างหมอน

    “หันมาคุยกันดีๆ เร็ว” เขาลดแขนตัวเองออกจากโซฟา ขยับตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงจนสุดท้ายคนที่พยายามจะหลับต่อต้องหันหน้ามาคุยกับคนช่างถามอย่างจริงจัง

    “สรุปนอนไม่หลับเพราะฝันร้ายจริงๆ เหรอ”

    “อือ”

    “ละทำไมไม่บอกแต่แรก จะปิดไว้ทำไม”

    “ก็มันดูไร้สาระ โตขนาดนี้แล้วยังนอนไม่หลับกับเรื่องแค่นี้อีก”

    “ผมก็เคยนอนไม่หลับเพราะฝันร้าย  พี่ว่ามันไร้สาระเหรอ”

    “ม..ไม่ มันไม่เหมือนกันสิวะ” คราวนี้น้ำเสียงตะกุกตะกักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหัวคิ้วสองข้างขมวดเป็นปมจนเขาอยากจะแกล้งให้มันขมวดแน่นกว่าเดิม

    อยากมีความลับกับเขาดีนัก


    “ทำไมจะไม่เหมือนกัน ก็สาเหตุเดียวกันชัดๆ”

    “ก็กูโตกว่ามึงอะ”

    “แค่สองปี”

    “ก็โตกว่าอยู่ดี” เขาทำท่าจะเถียงต่อแต่เพราะสัมผัมแผ่วเบาที่บริเวณรอบดวงตาทำให้เขาสงบปากสงบคำได้ทันที ปลายนิ้วอุ่นยื่นมาเกลี่ยเบาๆ ที่ใต้ตาที่บวมน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคยืดยาวที่ทำให้
    หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

    “มีอะไรก็บอก  ต่อให้ดูเป็นเรื่องไร้สาระแค่ไหนก็บอกผมได้” เขานิ่งไปพักนึงแล้วพูดต่อ

    “ไม่ต้องเป็นพี่คนโตตลอดเวลาก็ได้  ผมดูแลพี่ได้น่า จริง ๆ นะนอนไม่หลับเพราะฝันร้ายไม่ใช่เรื่องแปลกสักหน่อย ใคร ๆ ก็เคยมีโมเม้นต์แบบนี้กันทั้งนั้น พี่ยังเคยบอกว่าฝันมันก็เป็นแค่ฝันไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย  อย่าเอามันเก็บไปคิดจนย้อนไปทำร้ายตัวเองกว่าเดิม”

    “มันก็ใช่..แต่ว่า”

    “เดี๋ยว ผมยังพูดไม่จบ”

    “ตอนนี้ผมมีวิธีป้องกันไม่ให้ฝันร้ายแล้วนะ  ก่อนนอนผมจะคิดถึงสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน หรือถ้าวันนั้นไม่มีสิ่งดี ๆ อะไรเกิดขึ้นเลยผมก็จะคิดถึงสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข”

    “เช่น ติ่มซ่ำ บิงซู ไอติมสตรอเบอรี่  หุ่นกันดั้ม กลิ่นวานิลลา วันพีซ” คนเป็นพี่เอ่ยพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ


    บทจะจริงจังขึ้นมาก็ทำได้เหมือนกันนี่ 
    แต่ถ้าให้พูดถึงเรื่องที่ทำให้ไอ้แม็กซ์มีความสุขก็หนีไม่พ้นพวกของกินแล้วก็ก็การ์ตูนแน่ ๆ

    “ทำไมไม่คิดว่าหนึ่งในความสุขผมอาจไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็นคนบ้างอะ”

    “งั้นใครล่ะ หลิวอี้เฟยเหรอ”


    “ไม่..พี่ต่างหาก

    ความสุขชิ้นใหญ่ของผม”

     

    ตอนนั้นเองที่ภากรคิดว่าหัวใจตัวเองเต้นเร็วไป1.5 จังหวะ

     

     

     

     


    (2.1) Home is where your heart beats much faster.

    “ไปร้านดอกไม้กัน”

    “ไปทำไม”

    “เอ้า ไปร้านดอกไม้ก็ต้องไปซื้อดอกไม้สิจะให้ไปซื้อขนมปังเหรอ”

    “กวนตีนนะมึงอ่ะ”

    “ก็พี่ถามคำถามประหลาดอ่ะ”

    “งั้นเปลี่ยนคำถามใหม่ก็ได้ไปร้านดอกไม้จะไปซื้อดอกไม้ให้ใครครับคุณณัฐพล” ปลายประโยคเจือเสียงหัวเราะ เขาคว้ากุญแจและโทรศัพท์จากโต๊ะแต่งหน้าแล้วหันไปยิ้มใหคุณป้าแม่บ้านก่อนจะเดินออกจากสตูดิโอพร้อมกับอีกฝ่ายแต่พอเดินมาถึงที่จอดรถก็กลับกลายเป็นว่าเจ้าน้องชายตัวดีแย่งกุญแจรถในมือของเขาไปถือไว้เองกดปลดล็อคแล้วเข้าไปนั่งในที่นั่งของคนขับเสร็จสรรพ

    “นี่รถกูนะแม็กซ์เผื่อมึงลืม” ปากก็พูดไปแต่ขาก็เดินอ้อมมาเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับเรียบร้อยแล้ว

    ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องขับรถเอง สบายจะตาย

    “ไม่ได้ลืม แต่วันนี้ผมจะขับ”

    “ละรู้เหรอว่าร้านดอกไม้อยู่ที่ไหนอะ”

    “รู้ ไปเสิร์ชมาแล้ว”

    “มีการทำการบ้านคนที่จะได้ดอกไม้นี่คงสำคัญมากสิท่า”

    “มาก....สำคัญโคตรๆ” พูดจบก็หันมายิ้มกว้างให้เขาจนดวงตาสองข้างยิบหยี


    ชั่ววูบหนึ่งที่หัวใจเขาเต้นเร็วกว่าปกติด้วยความหวังว่าว่าที่เจ้าของดอกไม้อาจจะเป็นเขาเองหรือเปล่า
    แต่เมื่อสายตาคู่นั้นหันกลับไปมองที่ถนนตรงหน้า  เอื้อมมือไปเปิดวิทยุในรถให้เสียงเพลงดังขึ้นมาท่ามกลางห้องโดยสารที่เงียบสนิท ราวกับว่ารอยยิ้มที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไม่ได้แฝงด้วยความหมายอันใด

    ความหวังก็ค่อยๆ ริบหรี่ลงก่อนจะมอดไหม้ไปในที่สุด


    เขาน่ะ

    คงไม่ได้สลักสำคัญอะไรขนาดนั้นหรอก

     


    ตลอดทางจากสตูติโอเขาไม่ได้พูดอะไรสักคำในรถมีแค่เสียงเพลงจากวิทยุคลอด้วยเสียงร้องของอีกฝ่ายตาสองข้างมุ่งให้ความสนใจกับทิวทัศน์นอกกระจกทั้งทีตัวเองก็เคยขับรถผ่านแถวนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ทุกอย่างจะดูน่าสนใจและน่าพิสมัยกว่าการหันไปคุยกับคนข้าง ๆ

    เขาได้แต่คิดว่าตัวเองจะหายเศร้าหายหงุดหงิดก่อนที่แม็กซ์จะสังเกตได้
    แต่พอมาคิดว่าอีกฝ่ายไม่หันมาคุยอะไรกับเลยทั้ง ๆ ที่เขาเงียบมาตลอดทางก็ยิ่งสร้างความหงุดหงิดใจให้มากขึ้นกว่าเดิม


    เขารู้ว่าตัวเองกำลังทำตัวงี่เง่าและไร้เหตุผลแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
    ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาจะอยากได้ดอกไม้มากเท่าครั้งนี้
    ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะรู้สึกอิจฉา ‘คนสำคัญ’ ของใครคนใดคนหนึ่งเท่าที่เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้
    และที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่เคยคิดเลยว่าการรักใครจะทำให้ความรู้สึกในหัวใจปั่นป่วนได้มากขนาดนี้ 

    ราวกับว่าเขาในตอนนี้ไม่ใช่เขาคนเดิมที่ตัวเองเคยรู้จักอย่างไรอย่างนั้น
    ความรักจะน่ากลัวเกินไปแล้วจริง ๆ

    เปิดโอกาสให้ใครเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

     


    ยี่สิบนาทีผ่านไปหลังจากจอดรถที่ริมถนนเรียบร้อยณัฐพลก็ดับเครื่องยนต์ก่อนจะก้าวลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูให้อีกฝ่ายที่ดูไม่มีท่าทีตื่นเต้นกับเขาสักนิด

    “ถึงแล้ว ร้านสวยไหม” คนฟังเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกกระจกรถแล้วก็พบกับร้านดอกไม้ร้านเล็กๆที่กรุด้วยกระจกรอบด้าน ข้างในมีดอกไม้หลากหลายพันธุ์ ทั้งดอกไม้ที่เป็นที่นิยมและคุ้นเคยอย่างกุหลาบ ลิลลี่ คาร์เนชั่น ทิวลิป ทานตะวัน และดอกไม้ชนิดอื่น ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

    ริมฝีปากเขาเผลอยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
    จากความร้สึกมัวหมองและหงุดหงิดปริมาณมหาศาลตอนที่อยู่ในรถดูจะลดลงเป็นเพียง
    ความหน่วงใจเล็ก ๆ เท่านั้น

    ดอกไม้เยียวยาคนได้จริง ๆ สินะ

     

    เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งตอนที่ประตูร้านถูกเข้าไปหญิงสาวที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ยิ้มต้อนรับ

    “เลือกดูได้ตามสบายเลยนะคะสนใจอะไรสอบถามได้เลยค่ะ”  คนเยาว์กว่าเป็นฝ่ายยิ้มรับก่อนจะหันไปมองอีกคนที่ตอนนี้เดินเข้าไปส่วนในของร้านเรียบร้อยแล้ว

    “ผมมารับออเดอร์ดอกไม้ที่สั่งไว้น่ะครับออเดอร์ที่ 52”

    “สักครู่นะคะ”เธอเว้นระยะไปครู่หนึ่งขณะที่เช็คข้อมูลในคอมพิวเตอร์

    “ออเดอร์ที่ 52คุณแม็กซ์ ช่อดอก Eustoma*  ใช่ไหมคะ ”

    “ครับ” 


    พนักงานสาวหันไปหยิบเอาช่อดอกไม้ช่อโตที่แช่ไว้ในตู้เก็บความเย็นเธอคว้าฟ็อกกี้มาพรมน้ำอีกนิดก่อนจะยื่นส่งให้ เขาหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาคว้าแบงค์พันไปให้สามใบพร้อมกับบอกว่าไม่ต้องทอน

    ดอกไม้ช่อโตในมือส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ เขายิ้มด้วยความพึงพอใจและแอบหวังว่าคนรับก็จะมีความสุขเหมือนกัน ขาสองข้างก้าวเร็วๆ เข้าไปในตัวร้านก่อนจะเอ่ยเรียกคนที่กำลังยืนดูดอกไม้อยู่พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า


    “พี่ตุลย์”

    “หืม”

    “เสร็จแล้ว ไปกัน”

    “ทำไมเลือกได้เร็วจัง”

    “อื้อ ไปเหอะ เดี๋ยวผมไปส่งบ้าน”

    “อ้าว ละไม่ต้องเอาดอกไม้ไปให้เหรอคนสำคัญมึงอะ”
    ปลายประโยคเสียงแอบแผ่วลงจนคนพูดกลัวว่าจะผิดสังเกตถึงได้รีบก้าวขาเดินออกจากร้าน  แต่พอเดินมาถึงรถกำลังจะเปิดประตูถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่มีกุญแจ

    “ผมฝากพี่ถือไว้ได้ไหม เดี๋ยวผมขับรถเอง”คนเดินตามมาทีหลังเอ่ยถามโดยไม่รอฟังคำตอบ เขายื่นดอกไม้ช่อโตให้อีกฝ่ายแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถทันที


    ภายในรถเงียบสนิทมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังเบา ๆ ภากรก้มลงมองช่อดอกไม้ในมือมันเป็นดอกไม้ชนิดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน รู้แต่ว่าสวยแปลกตาดี

    ความรู้สึกมัวหมองกลับมาเล่นงานหัวใจอีกครั้งอดไม่ได้ที่จะนึกอิจฉาคนที่จะได้เป็นเจ้าของดอกไม้ช่อนี้
    คนที่เป็นคนสำคัญโคตร ๆ ของอีกฝ่าย

     “ชอบไหม” เสียงของคนที่กำลังขับรถอยู่ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ความคิดแล้วหันหน้าไปที่ต้นเสียงด้วยความสงสัย

    “ถามทำไม  ไม่ใช่คนรับซักหน่อย แค่คนถือ”

    “พูดแบบนี้คือน้อยใจเหรอ  งั้นอยากเป็นคนรับไหมล่ะครับ”  น้ำเสียงนั้นยียวนจนเขาแทบอยากจะปาดอกไม้ในมือทิ้งซะให้รู้แล้วรู้รอดแต่อีกใจก็กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายโกรธจนไม่ยอมยกโทษให้


    ในเมื่อคนที่จะได้เป็นเจ้าของดอกไม้ช่อนี้เป็นคนสำคัญมากๆ นี่นา


    “ไม่ได้น้อยใจโว้ย ขับรถไปเลย”

    “ตอบผมก่อนสิว่าชอบไหม”

    “ก็ดี สวยดี”

    “แค่นั้นเองเหรอ”

    “ก็สวยดีไง คนได้รับก็ต้องชอบอยู่แล้วผู้หญิงชอบดอกไม้สวยๆ ทุกคนนั่นแหละ”

    “รู้ได้ไงว่าคนได้รับจะเป็นผู้หญิง”

    “...”

    “งั้นเปลี่ยนใหม่ก็ได้ ก็ดอกไม้มันสวยไงใครๆ ก็ชอบของสวยๆ ทั้งนั้น”

    “หนึ่งใน ‘ใครๆ’นั่น มีพี่รวมอยู่ด้วยไหม”

    “หมายความว่าไง”

    “ก็หมายความว่าดอกไม้ช่อนี้ที่ผมซื้อมาเนี่ยพี่ชอบไหมครับ  สวยถูกใจเหรอเปล่า” เขาหันมาถามอย่างจริงจัง ดวงตาจับจ้องมาที่เขาและช่อดอกไม้ในมือ พร้อมกับยิ้มจางๆ

    ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงสัญญาณเวลาขึ้นเวลา 60 วินาที

    ช่วงเวลาก่อนที่จะสัญญาณไฟจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอีกครั้ง
    ภากรแอบคิดชิงชังเวลา 1 นาทีนี้เหลือเกิน เขาอยากให้มันผ่านไปเร็วๆเพือที่อีกฝ่ายจะได้ละสายตาไปจากเขาแล้วหันไปให้ความสนใจกับท้องถนนอย่างเดิม


    “ตอนแรกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะซื้ออะไรดีแต่มีพี่ที่รู้จักเขาแนะนำมาว่า ยูสโตมาเป็นดอกไม้ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่แต่ว่าสวยมากความหมายก็ดี ผมก็เลยลองไปเสริชดูแล้วก็เห็นว่ามันสวยจริง ๆ  ลองโทรมาถามที่ร้านว่ามีดอกไม้พันธุ์นี้ไหมเขาบอกว่าเป็นดอกไม้พันธุ์ที่ไม่ค่อยดังในไทย หายาก ราคาต่อช่อ
    ก็เลยแพง  แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจสั่ง...”

    “มาเล่าให้กูฟังทำไม” เขาเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด


    ตอนแรกก็ลากมาที่ร้านดอกไม้ด้วยกันพอได้ของมาก็บอกให้เขาถือให้
    ตอนนี้ยังจะมาเล่าให้เขาฟังถึงความใส่อกใส่ใจที่อีกฝ่ายมีให้กับเจ้าของดอกไม้ช่อนี้อีก

    จะทำร้ายกันไปถึงไหน


    ไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าขณะที่เขาเบนสายตามองไปที่กระจกข้างขวา

    เริ่มมืดแล้ว


    “ก็อยากให้คนรับเขารู้ว่าผมตั้งใจเลือกให้”

    “มาบอกกูเขาก็ไม่รู้หรอก”

    “ทำไมจะไม่รู้ ก็คนรับก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ผมนี่ไง” น้ำเสียงเรียบเอื่อย รอยยิ้มยังปรากฏบนใบหน้า กลับเป็นคนฟังเองที่เริ่มอยู่ไม่สุข

    “เล่นอะไรของมึง กูไม่ตลก”

    “ก็ไม่ได้อยากให้ตลกสักหน่อย ก็พูดจริงๆ” เขาหัวเราะตอนที่เห็นว่าคิ้วของอีกคนขมวดเป็นปมดูคล้ายโบว์เล็กๆ กลางหน้าผาก

    “ไม่ต้องทำหน้างงขนาดนั้นหรอก  ผมซื้อมาให้พี่”

    “...”

    “ดอกไม้ช่อนี้อ่ะ ของพี่   ลองเปิดการ์ดดูสิว่าเขียนถึงใคร” 

    คนฟังรีบพลิกการ์ดที่ร้อยอยู่กับเชือกเส้นเล็กรอบช่อดอกไม้

     

     

    To. คุณ ภากร (:
    you inspire me not just to be a good person,
    but a better person
    I’m grateful to be your other half. It’s truly a privilege to meet you and work with you, and most importantly to love you.

    you are my better half, you complete me.

    “หลอกกันเล่นหรือไง บ้าไปใหญ่แล้ว” น้ำเสียงเขาสั่นเล็กๆ อย่างที่ตัวเองไม่อยากจะเชื่อ
    น้ำที่คลอหน่วยอยู่ที่นัยน์ตาก็อยากจะปฏิเสธเหลือเกินว่านั่นไม่ใช่น้ำตา  แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือ
    ถือช่อดอกไม้ในมือให้แน่นขึ้น จับจ้องทุกรายละเอียดของกลีบดอกแต่ละดอก  สีที่ตัดกันระหว่างขาว ชมพูและม่วงอ่อน  สีเขียวของใบไม้ที่ประดับแซมรวมถึงความหยาบเล็ก ๆ ของกระดาษสาที่หุ้มช่อดอกไม้ไว้

    คนเยาว์กว่าเพียงยิ้มเขาจอดรถที่จุดเดิมที่เคยจอดเป็นประจำใต้คอนโด

    “ถึงบ้านแล้วครับ”  คนพูดเอื้อมมือมากุมมือข้างๆ ที่ว่างอยู่ ลูบที่หลังมือแผ่วเบาก่อนจะใช้ปลายนิ้วลากเป็นตัวอักษรหนึ่งพยางค์สั้นๆที่ทำให้

     

    หัวใจ
    ระเบิดเป็นจุณ

     

    tbc. (maybe)

    _________________

     

    อินหลอพอสมควรกับประโยคนี้ของพี่ตุลย์
    มันเป็นฟิควูบนะคะ(แต่ก็วูบหนักพอสมควรเพราะได้มาสิบหน้าเอสี่)
    อย่าถามหาสาระเพราะมันไม่ค่อยมี ฮือ แต่ถ้ามีคนอยากอ่านต่อก็อาจจะแต่งต่อเด้อ
    เพราะจริงๆก็ยังมีพล็อตเหลือในหัว อ่านให้สนุกลุกนั่งให้สบายเด้อ
    สวัสดีลาค่า (:

    ปล. เมนชั่นมากรี๊ดใส่ได้ที่ทวิตเตอร์ @ bmbayah_ นะคะ 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
dddd (@fb1479139878828)
ระเบิดโบ้มๆยิ่งกว่าโกโก้ครั้นไปเลยค่ะ อุแงง เนมากและแสนจะอบอุ่น ขอบคุณนะคะ ;-;