เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I WRITE YOU SO MUCHJelly Pitipongpakdee
รีวิววิชาอักษรจุฬาปี 3 เทอม 2 (Version ซัฟเฟอร์เกือบตาย)

  •             เทอมนี้เป็นเทอมขายวิญญาณ เป็นเทอมแห่งความตาย เป็นเทอมที่บอกได้ว่าทรหดทดท้อใจที่สุดที่เคยเจอมาในชีวิตนิสิตอักษร เหตุผลหลักๆ ก็คือเจอแต่วิชาที่ไม่ชอบ ไม่มีตัวไหนสนุกทุกครั้งที่เรียน มีแต่ตัวที่แย่น้อยกับแย่มาก และแต่ละวิชาก็ขยันสั่งงานกันแบบไม่ปรานีเลย ช่วงมิดเทอมคือ mental breakdown อย่างสาหัส สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม ปวดหัวทุกวัน เครียด ๕๕๕๕๕๕๕๕๕  เรียกได้ว่าเป็นเทอมแห่งความเครียดที่นำให้ตัวละครเยลลี่ไปสู่สเตจ 'ช่างแม่ง' ได้ในตอนปลายเทอม สาบานได้ว่านี่คือลง 18 หน่วยกิตแล้ว y___y พิสูจน์ได้ว่าไม่จริงนะคะที่ว่าเรียน 6 ตัวสบายกว่าปกติ ขึ้นอยู่กับวิชาที่ลงว่า combine กันแล้วนรกแตกแค่ไหน


                เริ่มรีวิวจากวิชาที่แย่ที่สุด ไล่เรื่อยๆ ไปจนถึงวิชาที่รับได้ที่สุด เทอมนี้เรียน 6 ตัว วิชาเอกสายสกิล 1 วิชาเอกสายลิท 1 วิชาบังคับเอก 1 โท 1 และเจนแลง 1 ค่ะ 

    *คำเตือน: รีวิวเป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล และ "...คนที่อ่านรีวิวพึงตระหนักที่ส่วนนี้ แล้วถ้าเชื่อตามนั้นแล้วผลไม่ตรง อย่าโวยวาย ปัจจัยเยอะแยะที่จะทำให้ผลออกมาไม่เหมือนกัน รีวิวจะให้ผลซ้ำได้ใกล้เคียงสุดก็ต้องทำให้ทุกอย่างแทบจะเหมือนกัน...อย่าลืมว่าการใช้รีวิวเป็น inductive reasoning เท่านั้น" (อ.วศิน, 2017)


                * รายละเอียดวิชาอาจแตกต่างไปตามปีที่เรียนและอาจารย์ที่สอน







    1. Thai Professional Writing (ไทยโปร)



    เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ

    ✎ ข้อสอบมิดเทอมและไฟนอล,  งานเขียนสารคดี งานเขียนแผนธุรกิจ งาน Infographic, การบ้าน, คะแนนเข้าเรียน

    ✎ เรียนเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยเชิงวิชาชีพ เช่น เขียนแผนธุรกิจ เขียนโครงการไปเสนอ เขียนจดหมายราชการ จดหมายธุรกิจ จดรายงานการประชุม เรียกง่ายๆ คือทดลองเป็นเลขานุการ แล้วก็เรียนการเขียนเชิงสร้างสรรค์กับสารคดีนิดหน่อย แต่แทบไม่ได้ฝึกอะไร


    การเรียนการสอน

    แล้วแต่สัปดาห์เลย ส่วนมากจะเรียนเนื้อหาพื้นฐานเกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ ด้วยกันในห้องรวม 503 แล้วแยกย้ายไปทำแบบฝึกหัดส่งตามห้องหมู่ ในแต่ละหัวข้ออาจารย์ก็จะผลัดกันสอน วีคไหนเป็นอาจารย์พิเศษที่เชิญมาก็ดีหน่อยเพราะว่าอาจารย์สอนสนุก คาบทำอินโฟกราฟฟิกกับแผนธูรกิจคือดีมากกกกกกก ได้เรียนเกี่ยวกับว่าควรทำอินโฟกราฟฟิกยังไง ทำเพื่ออะไร ออกแบบยังไงให้ปัง อาจารย์แจกยันลิ้งเว็บที่ให้ใช้ภาพ ไอคอน เทมเพลตได้ฟรี เรียนสนุกๆ ชิลๆ ส่วนคาบแผนธุรกิจคือได้คิดกิจการนู่นนี่ขึิ้นมาเองเลย แต่พอวีคหลังๆ เรียนแต่งานทางการ ก็จะเป็นเลกเชอร์ล้วน น่า-เบื่อ-มาก แงงงงงงงงงงงงงงงงง

    ในส่วนของห้องหมู่ อาจารย์เปลี่ยนชีวิตเปลี่ยน ครึ่งเทอมแรกกับครึ่งเทอมหลังเราได้เรียนกับอาจารย์คนละคน ครึ่งเทอมแรกได้ทำงานกลุ่ม ดูตัวอย่างงานด้วยกันในห้อง ครึ่งเทอมหลังอาจารย์แจกงานแล้วไม่อธิบายอะไรเลย ให้งมต่อเองเฉย... แถมบางเซคใส่ไปรเวทแล้วโดนด่า บางเซคปล่อยเร็ว บางเซคปล่อยช้า บางเซคได้ทำงาน บางเซคไม่มี โคตรจะล้านมาตรฐาน ๕๕๕๕๕๕๕


    ความคิดเห็นส่วนตัว

     ความยาก

    ส่วนมากเน้นจำฟอร์มไปใช้ ซึ่งไม่รู้จำทำไมเพราะในความเป็นจริงดูฟอร์มได้... แล้วก็ฝึกด้านการใช้ภาษา ถ้าคลุกคลีกับภาษาราชการบ่อยๆ น่าจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยสนใจงานด้านนี้มาก่อนอย่างเราก็รู้สึกว่าภาษาไทยยิบย่อยน่ารำคาญ ๕๕๕๕๕๕๕๕ ไม่ยากเท่าวิชาบังคับตัวพีคๆ อย่างแมนจ๊อก ถ้าเปรียบเทียบแล้วก็ประมาณยูสไทยแลงที่สนุกกว่านิดนึง แต่รู้สึกว่าเป็นหนึ่งในวิชาที่แล้วแต่พื้นฐานคน บุญเก่าให้มายังไงผลลัพธ์ก็เป็นอย่างนั้น เรียนให้ผ่านๆ ไปไม่ยาก แต่ถ้าไม่ได้ถนัดทางนี้แต่หวัง A ก็อาจจะยากเพราะตอนเรียนก็ไม่ได้พัฒนาสกิลอะไรจริงๆ เท่าไหร่


     ความชอบ

    เบื่อมากกกกกกกกกกก มากกกกกกกกถึงมากท่ี่สุด เป็นวิชารวมตัวแรกที่โดด เพราะเข้าไปก็รู้สึกเสียเวลา ๕๕๕๕๕๕๕๕ แถมงานเยอะแยะไม่มีจบสิ้น แต่ตรวจทันมั้ย ก็แทบไม่ทัน คืนวันสอบ คือเพื่ออะไรถามก่อน มีความรู้สึกว่าวิชานี้ควรเป็นแค่วิชาเลือกพอ ไม่ก็ยุบรวมกับไทยแลงไปเลย ให้คนที่สนใจเป็นเลขาฯ มาเรียน บางหัวข้ออะรู้ไว้ก็ดีนะ แต่บางอย่างไม่รู้รู้ไปทำไม เนื้อหาแค่ไม่กี่หน้าสอนไปเลยจ้า 3 ชม ขอโทษนะแต่ไม่ appreciate การเรียนวิชานี้เท่าไหร่จริงๆ ฮือ เกือบทุกคาบคือทรมาน


    ❥  ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้

    สนับสนุนให้วิชาบังคับภาคไทยยุบวิชารวมกันไปเลย...







    2. Background to British Literature (แบคบริท)



    เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ

    ✎ ข้อสอบมิดเทอมและไฟนอล (essay writing ล้วน), 3-4 reading responses , group presentation, 2 quizzes, คะแนนเข้าเรียน

    ✎ เรียนเกี่ยวกับประวัติศาตร์ของประเทศอังกฤษควบคู่ไปกับ literary movement ต่างๆ และงานเด่นๆ ดังๆ ในแต่ละยุคสมัยว่ามันใช้เทคนิคอะไร สำคัญยังไง 


    การเรียนการสอน

    เราได้เรียนกับอาจารย์ฐาปนัจฉร์ และเคยเรียนด้วยมาแล้วตอนอินโทรลิท ข้อดีคืออาจารย์สำเนียงบริติชเพราะมากกกกกกกก เพราะที่สุดที่เคยฟังมาในคณะ และจะตีความงานเขียนแต่ละอย่างให้โต้งๆ เลย แบบป้อนเต็มที่ ไม่ต้องคิดเยอะ แต่ข้อเสียคือเป็นเลกเชอร์ 100% ดังนั้นมันน่าเบื่อมากกกกกกกกกกกกก มากแบบเรียนแปดโมงต้องมีหลับอะ เรารู้สึกว่าเนื้อหาวิชานี้สนุกนะ ส่วนตัวชอบความแตกต่างหลากหลายของ British literature ในแต่ละช่วงเวลา และสบายดีที่เรียนไปฟังไปก็พอ ไม่ต้องอ่านล่วงหน้า ไม่ต้องทำการบ้านมาก เอาง่ายๆ คือไม่เหนื่อย ๕๕๕๕๕๕ เทียบกับการเรียนแบคแอมที่ดิสคัสแหลก อาจารย์ให้ไปคิดต่อเองบ้างอะไรบ้าง แต่ทั้งหมดนี้แลกมากับการไม่รู้สึกว้าวหรือตื่นเต้นเลย ถ้าได้เรียนกับ อ.นิดา ที่ลือกันว่าสอนดีมากๆ อาจจะตื่นตัวกว่านี้


    ความคิดเห็นส่วนตัว

     ความยาก

    ยากตรงต้องจำประวัติศาสตร์อันยาวนานของอังกฤษไปด้วย และมีงานที่ต้องอ่านหลายชิ้นมากๆ จนอยากจะไปรวมเล่มให้ใหม่ ควรตัดบางกลอนออกเพราะรบกวนเวลาเรียนจนเรียนยุคหลังๆ ไม่ทัน อีกจุดคือยากที่ข้อสอบควิซ เพราะแทบไม่รู้เลยว่าจะออกอะไร อาจารย์ชอบหยิบประวัติศาสตร์มาออกเพียวๆ บ้าง หรือถามอะไรที่ยากและยาวแต่เวลาทำนิดเดียว ส่วนข้อสอบมิดเทอมและไฟนอล เรารู้สึกว่าโจทย์ไม่ได้ทุบแรง แค่ต้องเตรียมตัวดีจริงจัง อ่านแบบครอบคลุม และที่สำคัญ ต้องจำตัวอย่างและคำบางคำที่อาจารย์สอนไปตอบ เพราะอาจารย์ชอบให้ซัพพอร์ตเคลียร์ๆ ชัดๆ เสริมบารมีด้วยตัว text  ๕๕๕๕๕๕ ในส่วนการคิดวิเคราะห์อาจารย์ก็ไม่ได้เน้นให้ออกมาล้ำ แค่ตอบคล้ายๆ ที่เค้าสอน เค้าก็โอเคแล้ว 


     ความชอบ

    ช่วงต้นเทอมไปจนถึงมิดเทอมคือเกลียดมากกกกกกก เกลียดแบบไม่อยากเข้าเรียน ส่วนหนึ่งเพราะมันไม่สนุก ทั้งการสอน และตอนสอบ เนื้อหาเยอะมากๆๆๆๆๆๆ จนแบ่งตารางอ่านสอบแทบไม่ถูก อ่านไปก็เครียด เพราะอ่านแล้วก็เหมือนจำไม่ค่อยได้ไม่ก็จำสลับกัน เนื้อหาเยอะอะ T w T วนไปวนมาอยู่แบบนั้น แต่ปรากฏว่าครึ่งเทอมหลังเนื้อหาสนุกขึ้น อาจเพราะส่วนตัวชอบตั้งแต่ Modernism เป็นต้นไป ชอบที่ได้เรียนกลอนสงคราม เรียน Virginia Woolf เรียน T.S. Eliot การใช้เทคนิค Stream of consciousness มาสะท้อนความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างของผู้คนยุคหลังสงคราม เฮ้ยยยยย มันล้ำๆ ดี  รวมๆ แล้วความชอบส่วนใหญ่จะมาจากตัววรรณคดีอังกฤษเองที่ถูกจริตเราค่อนข้างมาก ก็เป็นวิชาที่ทำให้ได้ค้นพบว่าตัวเองสนใจ British literature มากกว่า American literature แต่นอกจากชอบตัวเนื้อหากับชอบเวลาเพื่อนพรีเซ้นแล้วก็ไม่ชอบอะไรอีกเลย T____T ในแง่บรรยากาศการเรียน กิจกรรมต่างๆ ความรู้ที่ได้ แบคแอมยังเหนือกว่าเยอะ 


    ❥  ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้

    แบคบริท = วิชาฝึกความอดทนในการไม่หลับอย่างแท้จริง 






    3. Translation T-E I (ทรานส์ไทยอิ๊ง)



    เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ

    ✎ ข้อสอบแปล 4 ครั้ง, ข้อสอบไฟนอล, คะแนนเข้าเรียน

    ✎ เรียนแปลข่าวทั่วไป ข่าวเศรษฐกิจ สารคดีไทย สารคดีทั่วไป เรื่องแต่ง


    การเรียนการสอน

    เรียนเซค อ. ณัฐมา ปกติอาจารย์ก็จะแบ่งข่าวให้แต่ละกลุ่มเอาไปแปลแล้วมาตรวจด้วยกันในห้อง จากนั้นก็จะสอนตามเฉลย ค่อนข้างเน้นแกรมม่า แล้วก็สอนสำนวนแปลต่างๆ ที่ใช้แล้วดูเก๋ๆ มากขึ้น รวมๆ แล้วก็ถือว่าโอเคเลย รู้สึกว่าได้ความรู้มากขึ้นทั้งศัพท์และแกรมม่า เสียดายตรงที่อาจารย์น่าจะเอางานเดี่ยวเราไปตรวจบ้างอะไรบ้าง

     
    ส่วนเรื่องการสอน อาจารย์มักใช้เสียงโมโนโทน ออกน่าเบื่อไปนิด เพราะคลาสก็เหมือนเดิมตลอด เข้าบ้างไม่เข้าบ้างเพราะบางทีอ่านเองก็ได้ ๕๕๕๕๕๕๕  แต่อาจารย์ใจดีมากกกกกกกกก น่ารัก บรรยากาศในคลาสค่อนข้างสบายๆ เป็นกันเอง เรียนได้ไม่อึดอัด



    ความคิดเห็นส่วนตัว

     ความยาก

    ส่วนตัวตอนเรียนไม่รู้สึก struggle เท่าอินโทรทรานส์ อาจารย์ไม่ได้ตรวจแบบทุบเละ แต่ต้องใช้ศัพท์ถูก แกรมม่าถูก ซึ่งบางครั้งก็เผลอผิดไปหลายจุดเพราะเวลาที่จำกัดมากๆๆ u__u เรียนไปเรียนมา วิชานี้ดันชิลที่สุดในเทอมเพราะไม่มีงาน อ่านสอบก็น้อย และพอใช้ดิกในห้องสอบได้ก็ช่วยเยอะเลย มีข้อสอบไฟนอลนี่แหละที่เรารู้สึกว่าเพิ่มระดับความยากขึ้นมาจริงๆ แล้วต้องพยายามบริหารเวลาให้เสร็จทัน 


     ความชอบ

    แปลกดีที่เรียนไปเรียนมาเริ่มจะชอบการแปลไทยเป็นอิ้งมากกว่าอิ้งเป็นไทย ๕๕๕๕๕๕๕ รู้สึกสนุกเล็กๆเวลาเรียนหรือทำข้อสอบ แต่ถ้าคลาสสนุก อาจารย์มีทริคการสอนดีๆ อาจจะได้อะไรมากกว่านี้และเอนจอยมากขึ้น ตอนนี้เหมือนมีแค่เนื้อหาและความชิลที่เราชอบ และยังไม่คิดจะต่อตัว 2 เพราะไม่ได้คลิกอะไรขนาดนั้น 


    ❥  ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้

    ตัวอย่างข้อสอบไฟนอลที่อยากแชร์ =  "แม่เจ้าโว้ย หญิงแกร่งอีกคนแล้ว" ตัวละครชายสูดปาก 





    4. Vietnamese II (เวียดนามสอง)



    เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ

    ✎ สอบมิดเทอมและไฟนอล (grammar, group presentation), การบ้าน, ควิซ, คะแนนเข้าเรียน

    ✎ เรียนไม่ค่อยต่างจากเวียดนามตัวแรก แกรมม่าร์ บทสนทนา ศัพท์ และบทอ่านเกี่ยวกับโรงพยาบาล การค้าขาย ไปเที่ยว งานอดิเรก ฯลฯ ทั่วๆ ไปเลย 


    การเรียนการสอน

    เรียนกับอาจารย์ชาวไทยและชาวเวียดนามคนเดิม วิธีการเรียนต่างๆ ก็เหมือนเดิม แต่การบ้านเรียงความเยอะขึ้นมากกกก มีงานทุกวีค วีคละ 2 งาน แล้วก็ศัพท์ใหม่เยอะมากๆๆๆๆๆๆ จนใครที่ไม่มีเวลาจะทวนศัพท์ไรงี้ต้องคิดดีๆ ก่อนลงเลยอะ ๕๕๕๕๕๕๕

    แต่พอคลาสเล็กลง รู้สึกเอนจอยกับการเรียนมากขึ้น โกสาว (ครู in Vietnamese) เป็นกันเอง คาบที่เรียนเกี่ยวกับปีใหม่เวียดนามคือเอาขนมเทศกาลมาหั่นแจกในห้อง ครึกครื้นกันไปอี๊กกก ๕๕๕๕๕๕ แล้วทุกคนก็จะได้พูดได้สื่อสารภาษาเวียดนามมากขึ้น เป็นคอร์สที่ exclusive จริงอะไรจริง เรียนจนเริ่มพูดเวียดนามได้เป็นธรรมชาติ อ่านตัวเขียนคล่อง แล้วก็เขียนเรียงความได้แบบไม่ต้องเปิดดิกแล้วเพราะโดนมันทุกวีค ๕๕๕๕๕๕๕๕ 

    ชอบที่การสอบพูดคือให้ทำพรีเซ้นเป็นกลุ่ม แล้วให้เพื่อนๆ ถามคำถามแทน ไม่ต้องเข้าไปสอบพูดกับโกสาวสองต่อสอง อันนั้นน่ากลัวไป i__i  บรรยากาศช่วงสอบเลยถือว่าไม่เครียด คลาสช่วยเหลือกันดีมาก ประทับใจ และพอคลาสขนาดกำลังดีแบบนี้ โกสาวก็เล่าประวัติศาสตร์กับวัฒนธรรมเวียดนามให้ฟังบ่อยๆ  ยิ่งทำให้เป็นหนึ่งในวิชาที่สนุกของเทอมนี้เลย



    ความคิดเห็นส่วนตัว

     ความยาก

    ถ้าผ่านเวียดนาม 1 มาได้แล้วเวียดนาม 2 ก็เหมือนคอร์สเดิมที่แอดวานซ์ขึ้นมาหน่อย ยากตรงศัพท์ใหม่ๆ เยอะมาก ถึงจะข้อสอบแนวเดิมแต่เจอศัพท์เยอะขนาดนี้ก็มีลืมบ้างมั่วบ้าง T v T แต่โดยรวมแล้วไม่ใช่วิชาที่เรียนหนักสอบหนัก แต่งานอาจจะเยอะและถี่ไปหน่อย แต่ภาษาเวียดนามก็คล้ายไทยมากๆ อยู่แล้ว ดังนั้นได้เปรียบตรงแกรมม่าร์ไม่ได้เข้าใจยาก ขอแค่อ่านบ้าง ทบทวนมาสอบ ทำการบ้าน ตอนเรียนในห้องก็ตั้งใจ ก็น่าจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น (มั้ง../ตัวสั่น)


     ความชอบ

    ค้นพบแล้วว่าในบรรดาภาษาที่ 3 ท่ี่เรียนมาชอบเวียดนามมากที่สุดจริงๆ เพราะมันเข้าใจง่าย จำง่าย แต่ศัพท์เยอะเลยต้องเหนื่อยในส่วนนี้ แต่ก็น่าจะเป็นกันทุกภาษา T v T ชอบมากขึ้นอีกเพราะคลาสนี้มันเล็กๆ เรียนแบบเป็นส่วนตัว โกสาวใจดี ตรงไหนไม่เข้าใจก็จะพยายามอธิบายจนเข้าใจ ๕๕๕๕๕๕๕ การเรียนการสอนไม่กดดันเกินไป ปริมาณเนื้อหาสมเหตุสมผล มีส่วนที่ซ้ำกับเวียดนาม 1 เป๊ะเลย เหมือนทวนไปในตัว แนะนำให้ทุกคนลงเรียนเลย!


    ❥  ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้

    เรื่องเนื้อหาอะไรจำไม่ได้แล้ว แต่ประทับใจหมูยอเวียดนามที่ได้กินในคลาส /ปาดน้ำตา






    5. Sight and Sound (ภาพและเสียงบนเวที)



    เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ

    ✎ วิเคราะห์ภาพในบทละคร 3 เรื่อง, การบ้านเสียง 3-4 ชิ้น, งานคู่ 2-3 ชิ้น, final project 

    ✎ เรียนเกี่ยวกับภาพที่เกิดขึ้นบนเวทีทั้งหมด การมิกซ์ซาวน์ การปรับแต่งเสียง การเลือกเพลงประกอบภาพและภาพที่เหมาะกับเพลง ฯลฯ



    การเรียนการสอน

    การเรียนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือเรียนภาพและเสียง ส่วนที่เป็นภาพก็จะมีงานอ่านบทละครทุกวีค วีคละ 1 เรื่อง แล้วสรุปฉาก เวลา เซ็ตติ้ง ตัวละคร และภาพที่เห็นทั้งหมดมาดิสคัสในห้อง ซึ่งก็คือโดนทุบดีๆ นี่เอง orz ครูหงจะชอบให้คิดอะไรล้ำๆ ตื้นไปก็โดนด่า ออกนอกลู่นอกทางไปก็โดนด่า เรียนทีเหมือนเล่นเกมตอบคำถาม ตอบถูกใจครูหงเมื่อไหร่เพื่อนปรบมือให้ทั้งห้อง ๕๕๕๕๕๕๕ เหมือนๆ ฝึกทักษะการเดาใจมากกว่าการอ่านวิเคราะห์ แต่พอฟังครูหงอธิบายแนวคิดตัวเองแล้วก็จะรู้สึกว้าวววววววววววจริงๆ นะเพราะครูหงมองภาพบนเวทีแบบอ่านขาด เก่งจัด ตัวแม่มาก ฟังครูหงพูดแล้วภาพละครในหัวสนุกขึ้นมากๆ เช่น เรามองเห็นแค่ฉากเลดีแมคเบธกำลังอ่านจดหมาย แต่ว่าครูหงเห็นภาพเลดีแมคเบธวิ่งขึ้นเวทีแล้วไล่ปิดหน้าต่างทุกบานจนห้องมืด เพื่อแสดงให้เห็นความตื่นเต้นปนหวาดผวาในซีนเดียว หรือเราเห็นแค่ฉากภูตราชินีนอนข้างๆ มนุษย์ที่โดนเสกให้เป็นควาย ครูหงก็วิเคราะห์ให้ล้ำไปอีกว่าจริงๆ คือผู้หญิงถูกผู้ชายบังคับให้มีอะไรกับสัตว์... ฟังจบแล้วคำนับเลย orz ละครที่ได้เรียนก็มี Macbeth, Midsummer Night's Dream, The Visit (สนุกมาก พีคมากกกกกก เดอะเบส), Anna in the Tropics ด้านงานกลุ่มก็โดนสั่งให้คิดเซ็ตติ้งบนเวทีให้ละครที่อ่าน ซึ่งก็เหมือนเดิมคือโดนทุบเละเทะ ๕๕๕๕๕๕๕

    พอย้ายมาเรียนเสียงกับครูบูม เหมือนเป็นคนละวิชา ๕๕๕๕๕๕๕ ครูบูมเน้นเรียนเสียงแบบจริงๆ จังๆ เริ่มตั้งแต่โหลดโปรแกรม Cubase มาปรับแต่งเสียง เรียนลูกเล่นต่างๆ ที่ใช้ทำงานด้านเสียงโดยเฉพาะ เรียนวิธีการใช้มิกเซอร์ในโรงละคร ดูเทคนิคเสียงในหนังบ้าง รวมถึงไปดูงานที่สตูดิโอจริงๆ งานเยอะโคตรรรรรร แต่ก็สนุกมาก มีตั้งแต่ทำเสียง ambience ให้เสียงพูดตัวเอง ปรับเพลงที่ครูบูมร้องให้เป็นเพลงที่เพราะ (งานนี้ยากมาก๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕) คือเหมือนได้ลองเป็น Sound engineer เอง นั่งปรับคีย์ให้นักร้อง ลบเสียงหายใจกับเสียงริมฝีปาก พยายามทำให้เพลงคมกริ๊บ บอกเลยว่าตาย ตายอย่างเดียว แต่เป็นการตายที่มีความสุข (?) ส่วนกิจกรรมในห้องก็จะมีทั้งฟังเลกเชอร์และปฏิบัติจริง ชอบกิจกรรมที่ได้วิ่งไปอัดเสียงตามที่ต่างๆ ในคณะแล้วให้เพื่อนกลุ่มอื่นทายกันว่านี่คือเสียงอะไร กับกิจกรรมหาดนตรีให้ตรงกับภาพ หาภาพให้ตรงกับดนตรี ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจวิธีคิดของคนออกแบบซาวน์มากขึ้น ต้องมองทั้งอารมณ์ สีของภาพ ความหมายที่อยากสื่อ และทำให้เรารับรู้ความละเอียดซับซ้อนของการทำเสียงประกอบด้วย

    แม้จะไม่มีสอบ แต่งานโปรเจคเยอะมากกกกกกก เช่นหาภาพให้ดนตรี หาดนตรีให้ภาพ ทำเสียงประกอบ ทำ spot วิทยุโฆษณาละคร และทำ Final project คือแต่ละกลุ่มจะได้ละครเวทีมา 1 เรื่อง แล้วต้องตัดต่อเลือกเพลงเฮาส์ ดนตรีเชื่อมฉาก ambience สร้างบรรยากาศ และ sound effects แล้วไปพรีเซ้นเชิงดิสคัสกับอาจารย์ 


    ความคิดเห็นส่วนตัว

     ความยาก

    ตอนเรียนภาพจะรู้สึกว่างานมันยากเพราะเราคิดล้ำๆ แบบที่ครูหงต้องการไม่ได้ ๕๕๕๕๕๕ ส่วนการเรียนเสียงจะยากตรงช่วงเรียนรู้วิธีใช้เทคโนโลยีนี่แหละ อีกอย่าง สกิลการฟังเสียงหรือเลือกดนตรีคือสกิลที่แต่ละคนสั่งสมมาไม่เท่ากัน สุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานประสบการณ์คนด้วยส่วนนึง แต่รวมๆ แล้วอาจารย์ก็ไม่ได้ปล่อยให้เรางมกันเอง เวลาเรียนใช้โปรแกรมก็จะไปพร้อมๆ กัน และสอบถามอาจารย์ได้ตลอด งานส่วนใหญ่เป็นงานกลุ่ม ช่วยกันทำได้ ไม่ตายตามลำพัง ๕๕๕๕๕๕ และการเรียนละครก็ไม่เคยได้เห็นคะแนนตัวเอง เท่ากับว่าเราจะไม่กดดัน เครียด รู้สึกว่ายากเว่อร์ๆ ไรงี้ มีแต่งานเยอะเฉยๆ ซึ่งให้ความหนักของตัวนี้สิบกะโหลกเลย!!!!!!!!!! เป็นตัวที่งานหนักกว่าวิชาภาคละครบางตัว เป็นรองแค่พวกกำกับ แสดง หรือสเตจเมเน


     ความชอบ

    ชอบนะ ชอบที่ได้รู้จักเสียงมากขึ้น ปกติฟังเพลงแล้วไม่ค่อยใส่ใจคนที่ต้องมานั่งตัดเพลงปรับเพลง หรือคนที่ออกแบบเสียงให้หนัง แต่พอเรียนเองก็เข้าใจเลยว่านี่เป็นศาสตร์ที่ยากและใช้ความสามารถไม่แพ้ศาสตร์ไหนๆ บางครั้งเพลงเพราะเพราะ Sound engineer ฝีมือระดับเทพ บางครั้งหนังสนุกเพราะการใช้ซาวน์มันขับเน้นอารมณ์ไปด้วยกัน ประทับใจที่ได้ฝึกใช้โปรแกรม เรียกได้ว่าเปิดหูเปิดตามากกกกกกกกกก สนุกเกือบทุกคาบ แต่ขอบ่นว่างานเยอะไป ฮือๆ รุนแรงมาก แถมยังต้องแบกคอมไปเองทุกวีค เหนื่อยมากสำหรับใครที่ไม่ชอบเทคโนโลยีแล้วก็อุปกรณ์ไม่สะดวก


    ❥  ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้

    คำว่า "เห็นน้ำมั้ย" จะติดหัวตลอดไป เป็นประโยคเปรียบเทียบว่าเวลาดูหนังฟังซาวน์ต้องมองไปให้ไกลกว่าน้ำในขวด ต้องเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลังด้วย แต่อาจารย์เอามาใช้บ่อยจนตลกไปแล้ว ๕๕๕๕๕๕๕๕ 






    6. Fic Fact Prose (ฟิคแฟค)



    เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ

    ✎ 2 tests (4 essays), Final exam (5 essays), group presentation, group final paper, 10 quizzes, attendance = มีทุกอย่างแล้วที่เจอในวิชาอื่น แต่ combine กันหมด 
      
    ✎ เรียนวิเคราะห์เรื่องสั้นปัจจุบันธีมต่างๆ เช่น sexual harassment, lgbtq, refugee crisis, technology, racism, fantasy versus reality etc. แล้วเปรียบเทียบกับ fact ที่อาจจะเป็นเรื่องสั้น บทสัมภาษณ์ หรืออะไรก็ตามที่เป็นข้อเท็จจริงในธีมเดียวกัน


    การเรียนการสอน

    เราเรียนเซคไมเคิล ซึ่งเป็นเซคที่ดีที่สุดแล้ว ดีแบบดีจริงจังมากๆ (ไปนั่งมาครบทุกเซคเลย วีคที่ไมเคิลไม่อยู่ ได้คำตอบว่าวิชานี้เรียนกับคนอื่นรู้สึกเสียเวลาและไม่เอนจอย) ชอบที่เน้น discussion 100% ทุกคนต้องอ่านล่วงหน้ามาก่อน อาทิตย์ละ 1 ธีม 2 เรื่อง เรื่องละ 10-20 หน้า พอเข้าคลาสก็นั่งเป็นวงกลมแล้วสลับกันนำดิสคัส ใครที่รับผิดชอบธีมไหนก็จะคิดคำถามมาให้เพื่อนๆ ลองคิดและคุยกันว่าเห็นอะไรบ้างในเรื่อง คิดยังไงกับตอนจบ ช้อยส์ของคนเขียน หรือประสบการณ์ร่วม ฯลฯ ไมเคิลจะสอดแทรกเกร็ดความรู้หรือมุมมองใหม่ๆ ให้บ้างเป็นครั้งเป็นคราว ไม่ก็พาออกนอกเรื่องเลย orz แต่ส่วนมากเรารู้สึกว่าได้ความรู้และแนวคิดน่าสนใจจากไมเคิลนี่แหละ 

    ไมเคิลก็เป็นครูที่น่ารักมากกกกกกก คือพอเห็นใครไม่ค่อยได้ดิสคัส ก็จะเรียกชื่อให้ตอบ แต่บรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลายเป็นกันเอง ทำให้ไม่กดดันหรือรู้สึกอึดอัดเวลาโดนเรียก ไมเคิลใจดีด้วย เปิดกว้าง ความคิดจะไก่กาแค่ไหนก็รับฟัง ๕๕๕๕๕๕๕ ไม่บอกว่าถูกหรือผิด แต่จะไกด์ๆ ให้เราลองคิดในมุมอื่นดู แต่ใครที่ไม่ชอบการพูด การฟัง การดิสคัส ตอบคำถามไรงี้อาจจะไม่คลิก เพราะฟิคแฟคทุกคาบทำแบบนี้ ไม่มีเลกเชอร์

    การควิซมีแค่เพื่อเช็กว่าอ่านมารึเปล่า แต่คำถามก็แอบต้องอ่าน 2 ครั้งขึ้นถึงจะเก็บได้ครบ  ส่วนการสอบทั้งเทสต์ทั้งไฟนอล รู้สึกว่าเหมือนกันเลย เป็นโจทย์กว้างๆ แต่ฟิกซ์เรื่อง คืออ่านปุ๊บรู้เลยว่าตอบได้แค่ฟิคตัวไหนกับแฟคตัวไหน แล้วก็เขียนเอสเสส่ง ช่วงท้ายเทอมมีให้นำเสนอเป็นกลุ่ม คือแต่ละกลุ่มได้เรื่องสั้นไปอ่าน ต้องหาแฟคมา แล้วก็เอาประเด็นที่จับได้ไปพรีเซ้นให้อาจารย์ฟัง เปเปอร์ก็คือเขียนสรุปๆ จากที่พรีเซ้นไปนั่นเอง



    ความคิดเห็นส่วนตัว

     ความยาก

    รู้สึกว่าแค่ต้องอ่านและเข้าดิสคัสอะ อาจจะโดดได้บ้าง แต่ว่าต้องอ่าน ไม่งั้นไม่มีอะไรไปตอบ ข้อสอบยากตรงการจัดสรรเวลา เราพลาดไปเทสต์นึงแบบทำไม่ทัน ดูเวลาผิด แล้วเป็นวิชาที่ให้เวลาน้อยมากเทียบกับโจทย์ที่อลังตอบได้กว้างเท่ามหาสมุทร orz ไฟนอล 3 ชม 5 เอสเสอะ บ้าไปแล้ว!!! แต่เรามีความรู้สึกว่าไมเคิลให้คะแนนแบบใจดี ใจกว้าง ไม่ได้หักแหลกเท่าวิชาสายลิทตัวอื่น เน้นแค่ว่าเราจับธีมเรื่องได้และมีเหตุผลซัพพอร์ต เรื่องแกรมม่าเค้าก็ไม่ได้ซีเรียส ตัวอย่างก็ไม่ต้องแจกแจงละเอียดเท่าสอบแบคบริทแบคแอม ส่วนตัวคิดว่าเป็นวิชาที่ไม่ได้ยากโหดหิน แต่อ่านเยอะ อ่านเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกก มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะตอนสอบไฟนอลที่สอบทั้งหมด 20 กว่าเรื่องเลยอะ แง อ่านจนเลือดตาแทบกระเด็น


     ความชอบ

    ไปๆ มาๆ รู้สึกว่าถูกจริตกับฟิคแฟคที่สุดแล้ว เริ่มต้นเลยคือดิสคัส ส่วนตัวเป็นคนชอบดิสคัสมากกกกกกกกกกกกกก ชอบฟังความคิดเพื่อน ชอบพูด ชอบที่ทุกคนทำให้งานเขียนที่ดูธรรมดามีอะไรน่าสนใจขึ้นมา อันดับต่อมา ชอบเรื่องสั้นท่ีไมเคิลเลือกมาให้อ่าน ชอบความหลากหลายและทันสมัย เราชอบแนว Asian จ๋า อย่างเรื่อง On This Side ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนตัวเอกไปแปลงเพศแล้วมาขออยู่บ้านด้วย เซ็ตติ้งญี่ปุ่น อ่านแล้วอินมากๆๆๆๆๆๆ ฮือ y y  แต่ก็มีเหมือนกันบางเรื่องที่งงว่าทำไมไมเคิลถึงเลือกมา มีอะไรดี อ่านก็งง ส่วนมากก็เป็นเรื่องที่อ่านแล้วไม่ค่อยถูกจริตนั่นแหละ (...) ต้องคิดซับซ้อนหลายตลบ ;-; สุดท้าย ชอบบรรยากาศในห้องและชอบไมเคิล รู้สึกว่าไมเคิลให้พลังบวก ทำให้ทุกคาบที่เรียนมีเสียงหัวเราะ ไม่เบื่อ และเพื่อนในคลาสก็ตั้งใจดิสคัสกันมากจนรู้สึกสนิทใจไปด้วย เป็นวิชาเดียวที่กระตุ้นความอยากเรียนของเราได้ในเทอมนี้ ;___; 


    ❥  ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้

    ยากนะที่จะหาวิชาที่ดิสคัสล้วนแบบนี้ ใครชอบ จงไขว่คว้า!




               แม้จะรู้สึกว่าชีวิตปี 3 เทอม 2 นั้นคิดผิดที่จับวิชาเหล่านี้มาชนกัน แต่ปลายเทอมกลับรู้สึกว่า เฮ้ย มันไหวว่ะ มันรอด เราจะรอด พอจัดเวลาดีๆ ทุกอย่างก็ผ่านไปได้นะ T v T  ขอให้ทุกคนที่แวะมาอ่านจงสู้ๆ และพักปิดเทอมกันให้เต็มที่ระหว่างรอเกรดออกค่ะ...










Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in