เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ในฐานะนักท่องเที่ยว : 16 วัน ใน อินเดียRocket man
1. “จะไปอินเดียแล้ว ตื่นเต้นไหม”
  • ใกล้จะไปอินเดียแล้ว ตื่นเต้นไหม

    นี่คือคำถามที่ผมพบเจอบ่อยที่สุดในช่วงครึ่งหลังของเดือนกุมพาพันธ์2018 หลังจากที่เอาเวลาชีวิตหลายเดือนที่ผ่านมาไปโฟกัสกับกิจกรรมอย่างอื่นเป็นเวลานาน การได้ยินคำถามนี้จากใครหลายๆคน ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองโดนข้อศอกกระทุ้งที่ท้องซ้ำไปซ้ำมา เหมือนเป็นสัญญานที่ทำให้รูที่ทำให้เรารู้สึกตัวและต้องเบนโฟกัสมาใส่ใจกับการเดินทางร่อนเร่ในครั้งนี้เสียที การเดินทางท่องเที่ยวเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมและไลฟ์สไตล์ที่โปรดปรานที่สุดของผมในชีวิตนี้อีกอย่างหนึ่ง การได้หลีกหนีออกจาความคุ้นเคยในชีวิตประจำวันเพื่อไปเฝ้าดูกิจวัตรจำเจและชีวิตประจำวันของคนอื่นในอีกมุมของโลก การหลบหนีจากความจริงของตัวเอง ก่อนจะหลบเข้าไปในความจริงของคนอื่นเป็นการชั่วคราวคือความตื่นเต้นของชีวิตที่มนุษย์ที่เราพอจะซื้อหาได้และยังให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับความหมายของคำว่า ผจญภัย” อีกหนึ่งความโรแมนติกของชีวิต ที่หลายๆคนใฝ่ฝันที่จะล่องลอยไปกับการตามลายแทงสมบัติหรืออาชีวิตรอดจากมังกรพ่นไฟ

    อย่างไรก็ตาม แผนการร่อนเร่ในอินเดียของผมคราวนี้ไม่ได้มีเจตนาว่ามันจะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและโลดโผนอะไรมากมาย นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการแสวงหาในการเดินทางครั้งนี้ ที่เอาจริงๆแล้วเราไม่ได้คิดจะออกไปแสวงหาอะไรเลย ไม่มีสิ่งที่อยากดูเป็นพิเศษ ไม่มีการพกคำถามใดๆใส่กระเป๋าออกจากบ้านเพื่อหาคำตอบ เราเพียงอยากออกไปพบเห็นชีวิตในมุมนึงที่ห่างไกลจากบ้านก็เพียงเท่านั้น 

    ซึ่งพอเราไม่ได้มีการตั้งจุดประสงค์ของการรอนแรมอย่างชัดเจนมันทำให้เราตอบคำถามที่ว่า ใกล้จะไปอินเดียแล้ว ตื่นเต้นไหม” ยากอยู่เหมือนกันด้วยความตั้งใจส่วนตัวที่อยากจะไปทำตัวลอยๆอยู่ต่างบ้านต่างเมืองทำให้เราไม่ใส่ใจกับการเตรียมตัวและหาข้อมูลอะไรนัก สิ่งที่รู้มีเพียงวันเดินทาง จุดหมายปลายทางจุดแรกและวันเดินทางกลับและจุดหมายสุดท้ายก่อนเดินบินกลับประเทศในไทยในอีกสองอาทิตย์ให้หลังซึ่งระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด กินระยะทาง 1,513 กิโลเมตรโดยประมาณผมมีเวลา 2สัปดาห์ในการเดินทางท่องเที่ยวและไปให้ถึงสนามบินเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพ

    ที่หลายๆคนถามว่า ตื่นเต้นไหม? ไม่เลย เพราะช่วง2-3เดือนหน้านี้มันยุ่งมากจนไม่มีเวลามาสนใจชีวิตส่วนนี้สักเท่าไหร่ แค่ระลึกอยู่เสมอตลอดมาว่าซื้อตั๋วเครื่องบินไปกลับรอไว้แล้วและตระหนักอยู่เสมอว่าชีวิตนี้ยังมีทริปนี้ที่ต้องไปในช่วงสอบสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม แค่นั้นเลย พอว่างเว้นจากภารกิจหน้าที่การงานด้านดนตรีทุกอย่างแล้วถึงได้เริ่มมากังวล ซึ่งไม่ได้เริ่มกังวลเพราะตัวเองด้วย ความกังวัลต่างๆล้วนเริ่มจากคนรอบข้างที่จากการถามไถ่ ของผู้คนรอบตัวผมและเชื่อว่า ผู้คนที่มีความเกี่ยวพันกับนักเดินทางที่มีแผนจะเดินทางได้อินเดียจากเกือบทุกประเทศ มักจะมีภาพจำเมื่อเราต้องจินตนาการถึงประเทศอินเดียไว้ไม่ค่อยดีนัก จากการถามไถ่ความเห็นของนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่ได้พบปะพูดคุยในโฮสเทลความเป็นห่วงเป็นใยจากผู้ปกครองและคนในครอบครัวดูเหมือนจะเป็นสิ่งสากล เหมือนพี่ป้า น้า อา จากทั่วทุกมมุมโลกต่างร่วมใจกันกังวลไปกับจินตภาพลแบบเดียวแทบไม่มีผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสกปรกขั้นสุด กลิ่นฉุนของเครื่อง รวมถึงความหัวหมอและเจ้าเล่ห์ของชาวอินเดียเจ้าบ้านล้วนเป็นการคาดการณ์ของคนทางบ้าน ไม่ว่าบ้านคุณจะอยู่ในมุมไหนของโลกความกังวลอันได้รับอิทธพลมาจากคนรอบข้างเช่นนี้เปรียบเสมือนสิ่งที่นักท่องเที่ยวที่ตัดสินใจไปอินเดียมีร่วมกันและมันก็ทำให้เราแต่ละคนต่างเอาใจใส่เพื่อนร่วมทางด้วยความเข้าอกเข้าใจที่ต้องเผชิญความเป็นห่วงนี้เหมือนกัน ทำให้การร่อนเร่ในอินเดียไม่น่ากลัวอย่างที่หลายๆคนคิด  

    พอคนเริ่มถามไถ่เยอะๆ จากความรู้สึกที่ว่า ก็แค่ไปเที่ยวเริ่มถูกสั่นคลอน คุณแม่ของผมเป็นห่วงถึงขั้นให้ตังค์เพื่อไปนัดฉีดวัคซีนและขอคำปรึกษาทางการแพทย์ที่คลินิกนักท่องเที่ยว ลามไปถึงคุณหมอที่ให้คำปรึกษายังแสดงความเป็นห่วงอย่างออกนอกหน้าและให้คำแนะนำอย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อได้ยินว่าที่มาหาหมอเพราะกำลังจะเดินทางไปอินเดีย

    ระวัง สุนัขจรจัดนะ เพราะโรคพิษมีการระบาดที่นู่นค่อนข้างเยอะ”

    อาหารต้องเป็นอาหารร้อน ปรุงสุกต่อหน้าเท่านั้น ห้ามกินของค้างคืนที่นำมาอุ่น

    การดื่มน้ำ ต้องดื่มจากขวดเท่านั้น ห้ามดื่มจากแก้วหรือหลอด และที่สำคัญห้ามใส่น้ำแข็ง

    คุณหมอย้ำแล้วย้ำอีกก่อนที่ผมจะเดินออกจากคลินิก จบจากเลคเชอร์เรื่องการอุปโภค/บริโภคในอินเดีย101 ยังมีอีกสารพัดแห่งความกังวลจากผู้ชมทางบ้าน ซึ่งก็คือ คนในครอบครัว แฟนและเพื่อนฝูง การที่เราตอบคำถามอะไรเกี่ยวกับการเดินทางครึ่งนี้ไม่ค่อยได้เพราะเราไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นทำให้ที่บ้านถึงกับกุมขมับ สมาชิกในครอบครับท่านหนึ่งกล่าวว่า กลับไทยมาถ้าไม่มีเงินค่อยมาบอกนะแต่ไม่ให้ไปก่อน ต้องกลับมาเอา กลัวไม่กลับมาคือทางบ้านกังวลในระดับที่ว่านี่จะเป็นการเดินทางที่ไม่มีเที่ยวกลับผมอาจจะหายสาบสูญ เข้าป่า ไปเป็นโยคีอยู่ที่นู่น อะไรทำนองนั้น คุณแฟนก็เตรียมซื้อยาสามัญที่ต้องใช้เดินทางและจัดเตรียมเสื้อผ้าคร่าวๆให้เพราะเธอรู้ว่าผมคงจะไม่ทำเองแน่ๆ เพราะผมมักจะจัดกระเป๋าในคืนก่อนหรือสองสามชั่วโมงก่อนเดินทางเสมอนอกจากนั้นเธอยังยอมแกะกล่องกระบอกน้ำที่มีระบบฟีลเตอร์ไว้ให้ไปใช้ที่นู่นอีกกระบอกน้ำที่เธอไม่เคยได้ใช้เลยสักครั้ง ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

    เพื่อนฝูงดูจะเป็นกลุ่มคนที่มีความกังวลสวัสติภาพของตัวผมน้อยที่สุด พวกเขามักจะโฟกัสไปที่สถานที่ที่ผมจะไปและกิจกรรมที่คิดว่าผมจะไปทำซึ่งผมก็ไม่สามารถหาคำตอบมาตอบคนกลุ่มนี้ได้เช่นกัน ช่วงปีที่ผ่านมาจนก่อนออกเดินทาง ชีวิตผมนั้นประกอบและต้องดำเนินตามแผนการต่างๆเต็มไปหมด ทั้งที่เป็นแผนการที่ตัวเราเองเป็นวางไว้ให้กับตัวเราเอง รวมถึงบทบาทของเราเป็นแผนการชีวิตของคนอื่นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทำให้ช่วงที่ผ่านมาเรากลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตวิ่งไล่ตามกำหนดการณ์และต้องคอยคำนึงถึงผลลัพท์ที่กำลังตามมาตามลำดับเวลา นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาเดียวของปีที่ผมจะได้มีโอกาสหยุดพักจาก “แผนการชีวิต” และความเร่งรีบในกำหนดการณ์เล่านั้น ไปใช้ชีวิต ไปหายใจ ใช้เวลามองพระอาทิตย์และตก บนดินแดนที่ขนานนามว่า ชมพูทวีปเป็นครั้งแรก

    ความคิด/ความอยากเดินทางไปสัมผัสประเทศอินเดียผุดขึ้นมาในหัวครั้งแรกในช่วงที่ใกล้เรียนจบมหาวิทยาลัยมันคือความฝันที่จินตการไปถึงการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีความโรแมนติกเกินจริงไปมาก ความใฝ่ฝันที่จะได้ออกผจญภัยและท่องไปกับอารยธรรมอันเก่าแก่และการเดินป่าท่ามกลางทิวทัศน์ภูเขาหิมะเป็นฉากหลังอยู่ไกลๆ ในการเดินทางไกลหลังเรียนจบไปยังประเทศอินเดียและเนปาลทริป ที่ผมเคยคิดเป็นจริงเป็นจังถึงขึ้นที่ว่าผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในระหว่างสัมภาษณ์งานครั้งแรกว่าเป้าหมายของการมาสมัครงานคือทำงานการเก็บเงินให้มากพอสำหรับการผจญภัยครั้งนี้แม้ว่าสุดท้ายหลังจากเรียนจบมาร่วม 4 ปี ความฝันที่ค้างคานี้ก็ยังคงห่างไกล ผมไม่เคยเก็บเงินได้ พอตั้งใจจะเก็บก็มักจะมีสิ่งสำคัญอื่นๆที่เราต้องจ่ายเสมอ นี่อาจจะเป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับคนที่มี่ความฝันมากมายแต่กลับมีเพียงหนึ่งชีวิต แต่ไม่ว่าจะยังไง ไอเดียของการเดินทางไปยังอินเดียยังคงอยู่ในห้วงคำนึงเสมอจนช่วงปลายปีที่ผ่านมาผมจึงตัดสินใจทำงานบางอย่าง

    ผมยัดความตั้งใจที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปในประเทศอินเดียเข้ามาในแผนการชีวิตอย่างดื้อๆด้วยการจองตั๋วเครื่องบินไปก่อนโดยที่ยังไม่ได้เก็บเงินสำหรับการท่องเที่ยวแม้แต่บาทเดียวแล้วมาคิดทีหลังว่าจะทำยังไงต่อดี เพื่อการันตีกับตัวเองว่า เออ กูต้องไปแน่ๆแล้วล่ะคราวนี้ การเริ่มตั้งหมุดหมายแห่งการเดินทางทำให้เราต้องพยายามจัดสรรเวลาให้กับชีวิตส่วนนี้และสามารถจับยัดมันใส่กำหนดการณ์ชีวิตจนสำเร็จในที่สุด ส่วนค่ากินอยู่ก็เอาเงินเดือนๆล่าสุดไปใช้เป็นงบการกินอยู่เลยแล้วกัน

    พอเอาเข้าจริง พอถึงวันเดินทางและลากสังขารตัวเองมาอยู่บนแท๊คซี่เพื่อมุ่งหน้าไปสนามบินจนเรียบร้อยแล้ว ความตื่นเต้นมันก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ มันอาจจะไม่ได้เป็นทริปใหญ่อย่างที่ฝันไว้ในตอนแรก เราไม่สามารถมีเวลา 1-2 เดือนจากการลาออกจากงานประจำเพื่อไปทำตรงนี้อีกแล้ว จาก 2จึงเหลือเพียง 1 ประเทศ แต่มันก็เพียงพอที่จะเรียกความตื่นเต้นจากการได้กลิ่นของการเดินทางไกลที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่นี้ต่อไปเป็นเวลา15วัน จะเป็นยังไงวะ จะรอดไหม อาหารจะกินได้ไหม ลงเครื่องตอนตี2แล้วจะเดินทางไปที่พักยังไงต่อจากแผนการสู่เหตุการณ์เฉพาะหน้าการเดินทางไปสู่ที่ๆไม่คุ้นเคยทำให้เราต้องจดจ่อกับปัจจุบันและชักนำเราเข้าไปสู่การกลับมาทำความรู้จักตัวเองและผู้อื่นอีกครั้ง 

    March 2nd 2018 : Sunset :  Viphavadi Rangsit Rd. Bangkok,Thailand  photo by Krit Promjairux  © 2018 All Rights Reserved

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in