เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Better DaySopon Supamangmee
(un)notify me!
  • ภาพโฆษณาของบริษัทให้บริการมือถือยักษ์ใหญ่ส่งแสงวูบวาบอยู่บนหน้าจอทีวีข้างโต๊ะทำงาน เส้นสายโครงข่ายอินเตอร์เน็ทเร็วแรงสี่จีเชื่อมโยงทั่วโลกเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน สโลแกนชวนเสพติดความเร็วแรงเพื่อชีวิตที่สุดกว่าเดิม หมดยุคของคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตแบบเชื่องช้าตามคนอื่นไม่ทัน งานที่ทำทุกอย่างทุกกิจกรรม productive ด้วยสปีดที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า ยั่วยวนชวนหลงใหลกับชีวิตที่เกาะติดข่าวสารทุกกระแสบนโลกออนไลน์โดยไม่มีติดขัด

    "ติ๊งงง" ผมก้มลงมองมือถือที่อยู่ในมือที่เด้งเตือน notification จากเฟสบุ๊ค กำลังกดเปิดอ่านคอมเม้นของเพื่อนที่ทิ้งเอาไว้เมื่อประมาณห้าวินาทีก่อน อ่านจบกำลังกดพิมพ์ตอบ "ติ๊งงง" Instagram แจ้งเตือนคนมากดถูกใจรูปภาพที่โพสต์ไปเมื่อเช้า เข้าไปดูปรากฎว่ามีคนกดหัวใจให้ไปแล้วกว่าห้าสิบกว่าดวง "ติ๊งงงง" เพื่อนอีกคนคอมเม้นโพสต์ที่ผมโดนแท็กเมื่อคืน "ติ้งงงง" ไลน์กลุ่มการลงทุนเด้งขึ้นมา มีข่าวด่วนอัพเดต "ติ้งงงงง" พี่สาวส่งวิดีโอแมวเลียไอศครีมแล้วเย็นขึ้นสมอง กดนิ้วโป้งให้ไป "ติ้งงงง" อีเมลแจ้งเตือนว่าถึงเวลาต้องไปจ่ายค่าไฟฟ้า "ติ้งงงง" มีคนรีทวีตบทความที่โพสต์ไปเมื่อวาน "ติ้งงงง" ลูกค้าบนอีเบย์สอบถามมาเกี่ยวกับเลนส์ที่ลงขาย "ติ้งงงงง" เพื่อน reply กลับบนคอมเม้นที่ผมทิ้งเอาไว้เมื่อกี้ "ติ้งงงง ติ้งงงงง ต้ิงงงงง ต้ิงงงงง....."

    ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู รู้ตัวเกือบเที่ยงวันเข้าไปแล้ว ยังไม่ได้ทำห่าอะไรเลย มัวแต่นั่งกดมือถือชีวิตจมจ่ออยู่บนจอสี่เหลี่ยม งานการไม่เขยื้อนร่างกายไม่ขยับ นี้มันไม่ไม่ใช่ชีวิตที่สุด productive กว่าเดิมเหมือนที่โฆษณาคุยโวเอาไว้เลยสักนิด ออกไปในทางตรงกันข้ามซะด้วยซ้ำ

    ชีวิตมันไม่ควรเป็นแบบนี้ ไม่ควรมีอะไรที่เยอะมากมายที่ต้องมีการ notify กันตลอดเวลาขนาดนี้รึเปล่า? ช่วงแรกที่ผมเริ่มใช้ smartphone เมื่อหลายปีก่อน มันเป็นส่วนเสริมเติมให้ชีวิตนั้นสะดวกสบาย มีอิสระในการทำงานได้ทุกที่ทุกขณะ ทำให้ผู้ใช้อย่างผมมีสิ่งหนึ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตเพิ่มมากขึ้นซึ่งก็คือ “เวลา”

    แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นซะแล้ว ยิ่งความเร็วบนคลื่นมือถือแรงเท่าไหร่ยิ่งดูเหมือนว่าเวลาที่ผมมีในมือนั้นน้อยลงไปเท่านั้น ยิ่งเร็วมากก็อยากทำหลายๆอย่าง ยิ่งแรงมากมันก็มีอะไรให้ติดตามติดต่อเยอะแยะตลอดเวลา วันหนึ่งมีเพียง 24 ชั่วโมงมันไม่มีทางมากไปกว่านี้ แต่สิ่งที่ดึงดูดเรียกร้องความสนใจเรากลับมีเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ แล้วเมื่อไหร่กันหล่ะที่ควรหยุดแล้วเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “นี้มันเยอะไปไหม?”

    สำหรับผมคือเมื่อสองอาทิตย์ก่อนตอนที่มาถึงที่ทำงาน พอนั่งโต๊ะทำงานแล้วกดอ่าน notifications ทั้งหลายไปเรื่อยๆ กดตอบบ้าง คอมเม้นบ้าง อ่านข่าวพาดหัว ดราม่าเตียงหัก ฯลฯ จนมารู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลาทานข้าวเที่ยง นั้นเป็นจุดที่เริ่มคิดแล้วว่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเลย

    บ่ายวันนั้นหลังจากไปทานข้าวมาเสร็จเรียบร้อย ผมเริ่มต้นทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการทดสอบ หยิบมือถือขึ้นมาปิด data และ smartphone ก็ไม่ smart อีกต่อไป มันเหลือเพียงฟังก์ชันเดียวก็คือการเป็น phone โทรเข้าออกได้เพียงเท่านั้น เกิดอะไรขึ้นบ่ายวันนั้นรู้ไหมครับ? ผมนั่งเขียนบทความ 1500 คำเสร็จภายในเวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง สมองเข้าสู่ช่วง flow state หรือ in-the-zone ภายในเวลาเพียงสิบกว่านาที เปิดเพลงบรรเลงคลอไปเรื่อยๆ และเครื่องมันก็ค่อยๆแล่น ลื่นไหลและในหัวเบาสบาย ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว ได้นั่งเขียนบทความโดยไม่มีเสียงเตือนเด้งขึ้นมาสะบั้นเส้นสายแห่งความคิดที่กำลังคล้องเกี่ยวกันออกมาเป็นตัวอักษร เมื่องานเสร็จหมดเรียบร้อย ผมเปิด data กลับเป็นเหมือนเดิม มี notifications มากมายก่ายกอง แต่เชื่อไหมครับ ไม่ได้มีเรื่องคอขาดบาดตาย โลกไม่ได้กำลังจะแตก ไม่มีอุกกาบาตรวิ่งมาชนโลก พระเยซูยังไม่กลับมาเดินบนโลกมนุษย์ ไม่มีเหตุการณ์สะเทือนขวัญอะไร และ notifications เหล่านั้นสามารถ “รอได้” โดยผมไม่จำเป็นต้องไปตอบหรือรับรู้ถึงมันในขณะที่มันเกิดขึ้นด้วยซ้ำ

    เริ่มติดใจ เช้าวันต่อมาพอมาถึงที่ทำงาน ผมก็ทำแบบเดิมและผลมันออกมายอดเยี่ยม งานที่กองรอไว้เสร็จลงไปอย่างรวดเร็ว ผมมีสมาธิจดจ่อและใช้เวลาไม่นานในการสะสางสิ่งเคยใช้เวลาทั้งช่วงเช้าในการทำ จิตใจสงบและได้พูดคุยกับเพื่อนที่ทำงานและลูกค้าที่มาซื้อของ เฮ้ยแม่ง...ชีวิตดีหว่ะ

    ยัง....แค่นั้นยังไม่พอ ขอก้าวต่อไปอีกขั้น ผมปิดแจ้งเตือนทุกอย่างของแอพบนมือถือ ไม่มีตัวเลขสัญลักษณ์ที่บ่งบอกจำนวน notifications ที่ไม่ได้อ่าน ไม่มีแม้แต่แบนเนอร์การเตือน คือถ้าอยากรู้ว่าแอพไหนมีอะไรใหม่ ผมก็ต้องกดเข้าไปดูเองเมื่อต้องการ แต่สมองของมนุษย์เราก็แปลกดี เมื่อไม่มีตัวเลขบอก เมื่อไม่มีการแจ้งเตือน ความอยากรู้อยากเห็นคล้ายจะลดลงตามไปด้วยอย่างน่าเหลือเชื่อ

    เกือบสองสัปดาห์ผ่านมาตั้งแต่วันนั้น ผมบอกได้คำเดียวครับว่าทุกอย่างดีขึ้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ในด้านของการทำงาน แต่รวมไปถึงการชีวิตส่วนตัวกับคนรอบข้างอีกด้วย

    มีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ออกมายืนยันว่า ระหว่างที่เรากำลังทำงานอยู่ในช่วง flow state แล้วเกิดมีอะไรบางอย่างมาทำให้สะดุด เช่นอีเมลเด้งเข้ามา เพื่อนมาทัก เจ้านายเรียก หรือว่าลุกไปเข้าห้องน้ำ เราต้องใช้เวลา “อย่างน้อย” อีก 10 นาทีกว่าจะเข้าสู่ช่วงเวลา productive โซนนั้นอีกครั้ง ลองคิดดูสิครับว่าถ้ามี notification มาทุกๆสิบนาที วันนั้นทั้งวันก็คงไม่มีอะไรเสร็จเป็นชิ้นเป็นอันอย่างแน่นอน

    ช่วงหลังมาผมบอกภรรยาว่าถ้ามีอะไรให้โทรเข้ามาหาเลย เพราะผมไม่ได้เช็กโทรศัพท์บ่อยเหมือนแต่ก่อน เธอทำหน้าแปลกใจและถามว่าทำไมเหรอ ผมบอกแค่เพียงว่าพอปิดพวก notifications ต่างๆ ผมสามารถโฟกัสทุ่มเทให้กับงานตรงหน้าได้มากขึ้น ความคิดอ่านที่อยู่ในสมองก็ประกอบร่างและลื่นไหลกว่าแต่ก่อนมาก ผมยกตัวอย่างงานเขียนที่ปกติแล้วผมต้องใช้เวลากว่าสองวันในการเขียนบทความอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้กลับมาใช้เพียงสองชั่วโมงเท่านั้น แถมไม่พอยังรู้สึกโล่งใจและสบายตัวบอกไม่ถูก

    ชีวิตคนเราไม่ได้ต้องการให้ notify มากขนาดนี้ เรามีเวลาในแต่ละวันที่จำกัดเกินกว่าจะเอาไปทิ้งขว้างกับสนใจเสียงแจ้งเตือนเหล่านั้น คิดดูให้ดีว่าถ้ามีเรื่องไหนที่สำคัญมากจริงๆ คนที่อยากติดต่อเราเขาก็ต้องยกหูโทรศัพท์กดโทรมา ไม่ใช่แคส่ง “:-)” มาทักทายเพราะเห็นเราออนไลน์อยู่ บางครั้งมันก็โอเคที่จะผ่อนคลายและทำแบบนั้น แต่ถ้าเจอแบบนั้นบ่อยๆนอกจากจะไม่ได้ความผ่อนคลายแล้วความเครียดยังจะตามมาเพราะงานที่ท่วมหัวอีกด้วย

    ไม่ว่าความเร็วของคลื่นโทรศัพท์จะเปลี่ยนเป็นกี่จี มันไม่เห็นจำเป็นว่าเราต้องไปเร็วตามเขาสักหน่อย กลับมาสู่จังหวะของตัวเองและปล่อยให้ notifications ต่างๆได้หายไปจากชีวิตบ้างก็คงไม่เลวร้ายอะไรมากนักหรอก ไม่ต้องให้โทรศัพท์มัน smart เท่าไหร่ unnotify ตัวเองออกจากอะไรหลายๆอย่างบนโลกออนไลน์ และ 24 ชั่วโมงต่อวันจะกลับมาเพียงพออีกครั้งหนึ่ง
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in