เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Better DaySopon Supamangmee
Turning Thirty - ปีนี้ที่ไม่โสด
  • 30 ขวบปี เป็นหลักกิโลแห่งชีวิตที่น่าสนใจ

    สำหรับผมมันเป็นเหมือนจุดกึ่งกลางระหว่างทาง เป็นจุด "ห้องน้ำสะอาด" เพื่อจอดพักเครื่องรถที่เดินทางมาบนถนนระยะทางไกล ให้เราได้ลงยืดเส้นยืดสาย ปลดทุกข์ พักหายใจ ได้มองย้อนกลับเพื่อคิดทบทวนถึงหนทางยาวไกลกว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ สำหรับบางคนเป็นเส้นทางที่ยากลำบากและคดเดี้ยวขึ้นเขาลงห้วย (ไม่มีใครสักคนมาช่วยสองบาท - นี้เป็นมุขหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าผมได้พ้นวัยสามสิบมาแล้ว) หรือบางคนอาจจะมาถึงจุดนี้แบบไม่ทันรู้ตัว งงๆว่าอ่าวเฮ้ยนี้กูมายืนตรงนี้ได้ยังไง ก็เคยเห็นมาบ้างเหมือนกัน แต่เวลานั้นสำหรับผมแล้วสิ่งที่สำคัญกว่าการมองย้อนกลับยังเส้นทางที่ผ่านมาคือการมองไปข้างหน้าว่าต่อจากนี้มีอะไรรออยู่บ้างต่างหาก

    ครั้งที่ผมยังอายุ 29 ย่าง 30 ชีวิตถือว่าอยู่ในระดับที่วุ่นวายมากพอสมควร มันเป็นช่วงเวลาที่ผมเพิ่งย้ายกลับมาจากการใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศถึงสิบปี การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ทั้งที่เป็นสภาพแวดล้อมเก่านั้นไม่ง่ายนัก (อย่าหาว่าแรดเลยนะครับ แต่การเติบโตในประเทศอื่นเป็นเวลาสิบปี ทั้งๆที่กลับมาบ้านเกิดเมืองนอน มันก็ต้องใช้เวลาปรับสภาพกันพอสมควร) แถมไม่พอกำลังเตรียมตัวจัดงานแต่งงานกับแฟน (ซึ่งตอนนี้ก็คือภรรยานั้นแหละ) โดยเราทั้งคู่พยายามช่วยกันจัดสรรค์งบประมาณรายจ่ายที่มากโขของพิธีการต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่พอจะนอนหลับได้ในช่วงกลางคืนโดยไม่ต้องห่วงเงินในกระเป๋ามากเกินไปนัก แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าพยายามมากจนเลือดตาแทบกระเด็น ทุกอย่างก็ต้องบานปลายและมีรายจ่ายมากมายที่ไม่คาดคิดโผล่ขึ้นมาให้เครียดอยู่เสมอ

    ตอนนั้นผมไม่ได้คิดถึงตัวเลขอายุที่กำลังเปลี่ยนหน่วยจากสองไปเป็นสามด้วยซ้ำ พูดให้ถูกว่าไม่มีเวลาไปกังวลกับมันซะมากกว่า มีเรื่องอื่นให้ต้องคิดอีกเยอแยะมากมายที่เต็มหัวไปหมด พอรู้ตัวอีกทีก็อ้าวกูมายืนอยู่บนเลขสามแล้วเหรอเนี้ย (ผมเป็นหนึ่งในพวกคนเหล่านั้น) ถามว่ารู้สึกยังไงนอกจากแปลกใจนิดหน่อย ก็คงจะเป็นการตั้งคำถามหนึ่งกับตัวเองว่า "ต่อจากนี้จะเป็นยังไงกัน?"

    ประมาณสองอาทิตย์ก่อนผมสั่งซื้อหนังสือ "Turning Thirty - ปีนี้ไม่อยากโสด" ของ Mike Gayle นักเขียนชาวอังกฤษ (แปลโดย ภูมิชาย บุญสินสุข สนพ.abook) ที่บอกเล่าเรื่องราวของชายชาวอังกฤษจากเมืองเบอร์มิงแฮมที่กำลังจะย่างเข้าสู่วัยเลขสามในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เขาเคยคิดเอาไว้ว่าเมื่อถึงวัยนี้อยากจะมี "ชั้นไวน์" เป็นของตัวเอง เพราะแสดงออกถึงการเติบโตบางอย่างในชีวิตของเขา ทำงานมีเงินเก็บได้สักพักก็สามารถมีไวน์ดีๆมาเก็บเอาไว้บนชั้นกับเขาได้บ้างประมาณนั้น แต่นอกจากหน้าที่การงานที่ดีแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่เขาต้องการคือคนรักที่ดี แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวังเอาไว้เลยสักนิด คนรักที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย อยู่ๆกลับมาบอกเลิก ระหว่างที่รอการเปลี่ยนงานเป็นเวลาสามเดือน เขาตัดสินใจใช้เวลาช่วงนั้นกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ย้ายกลับเข้าไปอยู่บ้านหลังเดิมที่เติบโตขึ้นมากับพ่อและแม่ พบเจอเพื่อนซี้สมัยมัธยมปลายที่ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันเดินไปบนเส้นทางชีวิตของตนเอง ไปเยี่ยมเยือนสถานที่เก่าๆในความทรงจำ ได้เจอผู้หญิงที่เป็นแฟนก็ไม่ใช่/เป็นเพื่อนก็ไม่เชิงอีกครั้งหนึ่ง ความรู้สึกเก่าๆเริ่มกลับมาเยือนในหัวใจอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าชีวิตนี้มันไม่มีอะไรที่แน่นอนเลยทีเดียว ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้และจบลงได้ในเวลาเดียวกัน การก้าวย่างสู่วัยสามสิบของเขาดูยุ่งเหยิงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มากมาย

    เรื่องราวแนวโรแมนติกคอมเมดี้อันอบอุ่น ทำให้ผมต้องแอบยิ้มตั้งแต่ต้นจนจบความหนากว่าห้าร้อยกว่าหน้า พระเอกเป็นชายช่างคิด และมักตั้งคำถามกับหลายๆสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาอยู่เสมอ และตอนจบของหนังสือเล่มนี้ก็ช่างหักมุม ผิดจากสิ่งที่ผมคาดคิดเอาไว้ไปซะหมด เอาเป็นว่าไม่เล่าต่อเผื่อใครอยากหาอ่านกันจะได้ไม่สปอย :-)

    แต่มีประเด็นหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ ไอ้การเป็นคนช่างตั้งคำถามกับชีวิตของตัวเอกที่ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับด้านหนึ่งของตัวผมในช่วงวัยนั้นเป็นอย่างมาก เพราะผมเองก็มีคำถามมากมายในหัวเช่นเดียวกัน และเชื่อไหมครับว่าจากเวลานี้มองย้อนกลับไปดูผมก็คิดมากไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว

    อย่างที่บอกว่าตอนนั้นผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ชีวิตที่เมืองไทยนั้นต้องบอกว่าไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดเอาไว้เลยสักนิดเดียว อย่างแรกเลยสภาพอากาศที่ร้อนเหนียวเหนอะหน่ะตลอดเวลา เดินออกไปข้างนอกเจอแดดเลียปุ๊บอยากกลับเข้าไปอาบน้ำใหม่ภายในเวลาห้านาที อย่างที่สองนิสัยใจคอของคนไทยที่ เอ่อ....จะพูดไงดี....ชอบความ "สะดวกสบาย" และบางครั้งเลยเถิดข้ามเส้นไปถึงสิ่งที่เรียกว่า "มักง่าย" ด้วยซ้ำ ขอยกตัวอย่างง่ายๆแค่การเข้าคิวซื้อของหรือแม้แต่ที่จอดรถสำหรับคนพิการหรือคนท้อง มารยาทพื้นฐานทางสังคมนั้นยังถือว่าน้อยมาก (ขอไม่อธิบายเพิ่มเดี๋ยวยาว) อย่างที่สามคือความเหลื่อมล้ำในสังคมระหว่างคนจนกับคนรวยที่ขัดหูขัดตาจนน่าเกลียด ประเทศไทยเป็นประเทศที่ว่าถ้าคุณขับรถชนคนตาย แล้วคุณเป็นนายคำนางมาไร้นามสกุลยาวเหยียดที่ร่ำรวยเม็ดเงินคุณก็เข้าคุก แต่ในทางกลับกันเงินสามารถซื้อทางออกจากคุกให้คุณได้ถ้ามีเลขศูนย์มากพอในธนาคาร (จบ...ไม่บ่นต่อ เดี๋ยวยาวอีก) อย่างที่สี่การเมือง (เข้าใจตรงกันว่าพูดต่อไม่ได้) และสุดท้ายหน้าที่การงานที่ไร้อิสระเหมือนแต่ก่อนซึ่งไม่มีแม้เวลาตอกบัตรเข้าออก แค่มีงานส่งตรงตามกำหนดก็ถือว่าโอเคแล้ว

    การจัดงานแต่งงานก็วุ่นวายน่าดู เราไม่ได้จ้าง organizer เพราะต้องการประหยัดเงิน ผลลัพธ์ที่ออกมาแม้จะพอใช้ได้ไม่น่าเกลียด แต่ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด สุดท้ายพอมานั่งกดเครื่องคิดเลขดูกันจริงๆแล้ว บางทีการเหนียวเงินไว้กับตัวอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดก็เป็นได้

    หลังจากกลับมาจากฮันนีมูนและเริ่มต้นทำงาน ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งมารู้ตัวว่าตัวเองอายุขึ้นเลขสามเข้าไปแล้ว เกิดอะไรขึ้นมากมายตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กเริ่มจำความได้ การได้ไปใช้ชีวิตต่างถิ่น ลองผิดลองถูกมากมายจนกลายเป็นประสบการณ์เรียนรู้ ความผิดหวังในความรักหลายครั้งจนเข้าใจว่าผู้หญิงแบบไหนคือคนที่ใช่กับชีวิต การทำงานที่แสนเหนื่อยและท้าทายหลายต่อหลายที่ เพื่อนดีๆมากมายที่เข้ามาคงอยู่และบางคนก็ได้หายออกไปจากชีวิต ช่วงอายุนี้อย่างที่บอกว่ามันเป็นเหมือนจุดพักรถครึ่งทาง สามสิบปีเหมือนครึ่งชีวิตวัย active จุดกึ่งกลางบนสุดของเส้นกราฟรูประฆังคว่ำ คิดในอีกแง่มุมหนึ่งมันคล้ายกับเราอยู่บนยอดสูงสุดของภูเขาที่ใช้เวลา 30 ปีในการเดินขึ้นมาถึง ประสบการณ์ที่สั่งสมมาระหว่างทางจะช่วยทำให้การตัดสินใจเลือกทางเดินข้างหน้านั้นมีโอกาสผิดพลาดน้อยลงไปด้วย

    แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะเฝ้าถามตัวเองว่า “จากนี้ไปจะเป็นยังไง?” อยู่นานพอสมควร ไม่ใช่เพราะไม่มั่นใจในทางที่เลือกเดิน แต่มันเป็นการอยากรู้ว่าปลายทางที่ไปนั้นจะสวยงามอย่างที่เคยคาดหวังเอาไว้รึเปล่าซะมากกว่า

    ซึ่งถึงตอนนี้เวลาผ่านมาสามปีทุกอย่างเหมือนจะเข้าที่เข้าทางดี การปรับตัวของผมเป็นไปอย่างเชื่องช้าแต่ในที่สุดก็อยู่ในจุดที่ไม่รู้สึกรำคาญกับทุกสิ่งที่พบเจอเหมือนเมื่อก่อน พยายามมองสังคมไทยให้เป็นสังคมไทยและหาด้านบวกดีๆมาเติมให้มันน่าอยู่มากขึ้น ส่วนเรื่องครอบครัวความรักก็มีความสุขดีมาก เรียนรู้ปรับตัวในการใช้ชีวิตคู่อยู่สักพักก่อนตัดสินใจมีเจ้าตัวน้อยมาเสริมทัพอีกหนึ่งเมื่อต้นปี ชีวิตก็วุ่นวายใช้ได้เลยทีเดียว

    ถ้าเป็นไปได้อยากกลับไปบอกตัวเองตอนนั้นว่า “อย่าไปเครียดมากนัก” เพราะชีวิตตอนนี้ก็ไม่ได้เลวร้าย ออกจะดีซะด้วยซ้ำ อีกอย่างหนึ่งที่จะบอกโสภณในวัยสามสิบคือ “มันเป็นเรื่องที่ดีในการมองไปข้างหน้า ความอยากรู้นั้นไม่ผิดหรอก ใครๆก็เป็นกัน แต่อย่าไปจดจ้องปลายทางจนไม่ใส่ใจสิ่งรอบๆตัวในเวลานั้น เพราะสามสิบปีก่อนหน้านี้เราอาจจะก้าวเดินมาคนเดียวก็จริง แต่หลังจากนี้จนแก่เฒ่า เราต้องคอยดูแลคนที่เดินข้างๆเราด้วย ส่วนปลายทางนั้น มันจะทำหน้าที่ดูแลตัวมันเอง” 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in