เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Better DaySopon Supamangmee
ระยะห่างของความใกล้
  • วันนี้เมื่อหลายปีก่อน...ผมกำลังนั่งเป็นวิตกกังวลอยู่ว่าจะหาอะไรมาเยียวยาความสัมพันธ์ที่เริ่มร้าวฉานของผมกับแฟนเก่า วันวาเลนไทน์ที่เต็มไปด้วยความรักสีชมพู มองไปทางไหนก็เห็นคู่รักที่กำลังกอดรัดหอมจูบ ป้ายโฆษณาตามห้างสรรพสินค้าลดราคาพิเศษสำหรับสินค้าแทนความรู้สึกทั้งหลายแหล่ ตั๋วดูหนังลดครึ่งราคาเผื่อไว้สำหรับคู้รักที่ควงแขนกันมาฉลองวันแห่งความรักด้วยหนังโรแมนติกหวานซึ้ง ดอกกุหลาบสีแดงสดถูกนำมาวางขายโก่งราคาโดยไม่แคร์สภาพเศรษฐกิจ มีเท่าไหร่วันนี้ก็ขายหมด แต่สำหรับผมแล้ววันวาเลนไทน์วันนั้น...ช่างหนักใจกว่าทุกครั้งที่เคยผ่านมา "หรือมันอาจเป็นวาเลนไทน์สุดท้ายของเราแล้วรึเปล่า?" ผมคิดในใจ แม้ลึกๆแอบคาดหวังว่าทุกอย่างคงกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ แต่ก็รู้อยู่เต็มอกแหละว่าหัวใจที่แปรเปลียนไปแล้วของเธอคนนั้นเป็นถนนวันเวย์ที่ไม่มีทางลอดใต้สะพานให้ยูเทิร์น ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนั้นหน่ะเหรอ? คงเพราะบทสนทนาสั้นๆประมาณสองอาทิตย์ก่อนหน้านั้นแหละมั้ง...

    "ขอเวลาอยู่คนเดียวสักพักได้ไหม?" เธอพูดกับผมคล้ายเป็นการออกคำสั่งมากกว่าที่จะเป็นคำถาม

    "ทำไมหล่ะ?" ผมถามทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเหตุผลทุกอย่างนั้นคือเธอไม่ได้รู้สึกกับผมเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

    "ก็ไม่มีอะไรหรอก...ช่วงนี้เรียนหนัก ต้องคิดเยอะ แถมทะเลาะกันตลอดเลยช่วงที่ผ่านมา ขออยู่คนเดียวสักพัก ทุกอย่างคงดีขึ้นเองแหละ เดี๋ยววันนี้ไปปาร์ตี้บ้านเพื่อนนะ ไม่ต้องโทรมาหรอก มีเพื่อนไปด้วยไม่ต้องห่วง แค่นี้นะต้องไปแล้ว" เธอวางสายโดยที่ไม่ได้รู้หรอกว่าคำพูดเหล่านั้นมันทำร้ายก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายมากขนาดไหน ไม่แน่ใจด้วยซ้ำวันมันยังเต้นอยู่รึเปล่า แต่มันไม่ใช่ความฝันแน่นอนเพราะความเจ็บปวดที่ไม่จำเป็นต้องมีคนหยิกหน้า บาดลึกรวดร้าวแม้ไม่มีบาดแผลที่มองเห็นด้วยสองตา

    เพื่อนเหรอ? เมื่อสติผมกลับคืนมาสู่ร่างกาย คำถามต่างๆเริ่มพรั่งพรูเข้ามาในหัวสมอง ตอนนี้เพื่อนที่เธอสนิทด้วยก็มีอยู่คนเดียว คนที่เธอมักพูดถึงบ่อยๆ คนที่เธอชอบชวนไปไหนมาไหนด้วยเสมอ คนที่เธอบอกว่าเขาเป็นคนตลก คนที่เธอบอกว่ารสนิยมเพลงของเขานั้นไพเราะ คนที่เธอเรียกว่าเพื่อนคนนั้น เป็นคนเดียวกันที่เป็นเพื่อนผมมาก่อนและผมเป็นคนที่แนะนำให้พวกเขารู้จักกัน เขาเป็นเพื่อนของผม...แต่เธอกับเขา...เป็นเพื่อนกันจริงๆเหรอ? ผมตัดสินใจส่งเมสเสสไปหาเพื่อนคนนั้นในเฟสบุ๊คส์

    "เฮ้ยมึง ช่วงนี้อยู่ห่างๆแฟนกูหน่อยได้ก็ดีนะเว้ย พอดีมีปัญหากัน อยากเคลียร์กันก่อน ไม่งั้นถ้าบานปลายเดี๋ยวมึงติดร่างแหไปด้วย"

    "เออ เข้าใจๆ ไม่ต้องห่วงเว้ย...มีอะไรบอกได้เสมอ" สักพักเพื่อนคนนั้นพิมพ์ตอบกลับมา

    "ขอบใจวะ แม่ง ใกล้วาเลนไทน์แล้ว ว่าจะพาไปกินข้าว เดี๋ยวโทรไปหาก่อน ไม่รู้ตอนนี้เรียนเสร็จรึยัง" ผมตอบกลับไป

    "อืมม..." คำตอบสั้นๆที่เหมือนไร้นัยแอบแฝง แต่ที่น่าปวดใจที่สุดคือผมมารู้ภายหลังว่าเขาและเธอนั่งอยู่ด้วยกันขณะพิมพ์คำพูดแสนบริสุทธิ์ใจเหล่านั้น (ที่รู้เพราะเพื่อนของเราอีกคนนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยและมาบอกผมในภายหลัง)

    งี่เง่าไร้สติ ผมยังพยายามสมานรอยร้าวลึกของแก้วแห่งความสัมพันธ์ เรานัดไปทานข้าวเย็นกันในวันวาเลนไทน์วันนั้นและทุกอย่างเป็นไปด้วยดี และเหมือนจะดีขึ้น หัวข้อสนทนาร่ายยาวย้อนไปตั้งแต่เดทครั้งแรกก็คือวาเลนไทน์เมื่อสี่ปีก่อน เราทั้งคู่ยังเด็กมากถ้าพูดกันตามตรง หลังจากนั้นก็ผ่านอะไรหลายๆอย่างมาด้วยกันมากมาย แต่ที่ผมสังเกตได้คือเธอคอยเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คอยู่บ่อยๆ หลังจากผมพาเธอไปส่งบ้านเราก็ร่ำลากันเช่นปกติ ในใจผมเริ่มมีความหวังแม้น้อยนิดก็ตามที แต่มันคล้ายเป็นเปลวเทียนที่ลุกติดในคืนวันลมพัดแรง วูบเดียวไฟที่ริบหรี่อยู่แล้วก็ดับไปง่ายดายจนบรรยากาศรอบข้างมืดสนิทลงอีกครั้งหนึ่ง

    ในที่สุดวันแห่งความจริงก็มาถึงเมื่อผมมีโอกาสได้เห็นความลึกซึ้งที่มากกว่าเพื่อนระหว่างเธอกับเพื่อนคนนั้น ปกติแล้วเธอเป็นคนหวงโทรศัพท์มือถือห้ามใครแตะต้อง ผมเองยังโดนว่าประจำเมื่อผมหยิบขึ้นมามอง แต่หลังจากวาเลนไทน์วันนั้นไม่มีวันไหนที่เราคุยจบกันด้วยดีและมีแต่แย่ลงไปเรื่อยๆ คืนหนึ่งผมสบโอกาสได้เห็นข้อความและบันทึกการโทรศัพท์ที่ยาวเหยียดนานมาแล้วหลายเดือน แต่ละข้อความช่างเจ็บแสบเหมือนมีทหารจิ๋วนับล้านคนถือหอกเล็กๆทิ่มแทงหัวใจที่เต้นแรงเพราะความโทสะ เชื่อเลยว่าผมไม่เคยโกรธแบบนี้มาก่อนในชีวิต ทั้งอกหักและเสียศักดิ์ศรีในเวลาเดียวกัน เตี่ยเคยสอนไว้ว่าลูกผู้ชายไม่ควรเสียน้ำตา แต่ไม่ทันแล้ว ความผิดหวังเสียใจแค้นเคืองโดนหักหลัง น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่อายใคร ความสัมพันธ์ที่บอบบางเต็มไปด้วยริ้วแห่งรอยร้าวแตกละเอียดเป็นผงธุลีจนเกินเยียวยา ผมตัดสินใจจบทุกอย่างลงระหว่างเรา และเพื่อนคนนั้น...ผมเข้าใจเลยว่าเขาไม่เคยเป็นเพื่อนผมมาแล้วตั้งแต่แรก

    เมื่ออาทิตย์ก่อนผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "ระยะห่างของความใกล้" เขียนโดย "ภู่มณี ศิริพรไพบูลย์" (สามารถอ่านรีวิวได้ใน blog นะครับ) เรื่องราวความร้าวฉานของตัวเอกกับผู้หญิงที่คบหากันอยู่ เมื่อเธอขอเวลาไปตัดสินใจว่าควรทำยังไงกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ และนั้นเองทำให้ผมนึกย้อนหาเรื่องในอดีตเมื่อหลายปีก่อน สิ่งที่ผมเรียนรู้จากประสบการณ์แสนโหดร้ายครั้งนั้นคือระยะห่างของหัวใจไม่สามารถทดแทนได้ความใกล้ของร่างกาย ความพยายามเหนี่ยวดึงกายของอีกฝ่ายหนึ่งมาอยู่ชิดติดไม่ได้การันตีความใกล้ชิดของหัวใจ ไม่เพียงแต่ไร้คุณค่าในสายตาของคนที่หมดรักแล้วเท่านั้น แต่ยังรั้งให้เขาลำบากใจมากขึ้นไปด้วย คล้ายการยื่นมือมาจับกัน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถอยหนีอีกฝ่ายก็ต้องวิ่งตาม ฟังดูน่ารักพ่อแง่แม่งอนแต่ในความเป็นจริงนั้นช่างเป็นไปได้ยากในระยะยาว

    โชคดีที่ระหว่างที่ผมกำลังจมปลักกับความเจ็บปวดในความคิดโทษตัวเอง "เราไม่ดีตรงไหน?" เป็นคำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุดและไร้ซึ่งคำตอบ ฟ้าประทานผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในชีวิต ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้นจากความเป็นไปไม่ได้ แค่ทางกายภาพเราอยู่ห่างกันคนละทวีป ผมใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาส่วนเธอทำงานอยู่ในมหานครกรุงเทพฯ แต่พรหมลิขิตไม่ได้แค่ชักพาให้เรามารู้จักและจากกัน แต่ขีดเส้นให้เธอเริ่มจากเพื่อนเป็นแฟนเป็นภรรยาและตอนนี้กำลังจะเป็นแม่ของลูก...

    สมัยเด็กเราเคยวิ่งแล้วหกล้มร้องไห้เสร็จก็ลุกขึ้นมาปัดหัวเข่าเช็ดแผลถลอก วิ่งครั้งหน้าเราก็อาจล้มอีกแต่เราก็ยังคงลุกขึ้นมาใหม่ ความรักก็เป็นเช่นนั้น แม้ผมแอบอิจฉาคนที่มีรักเดียวแล้วอยู่ด้วยกันไปจนความตายมาแยกจากกัน แต่ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกขอบคุณความรักที่ไม่ได้ดั่งหวัง ที่ทำเราเจ็บช้ำเสียน้ำตา เพราะสีขาวที่ไม่มีสีดำก็ไม่มีความหมาย ถ้าไม่รู้จักรักไม่แท้เป็นยังไงการเห็นคุณค่าในรักแท้คงเป็นเรื่องยากมากเหมือนกัน

    ตั้งแต่วาเลนไทน์ครั้งนั้นเป็นต้นมาเมื่อวันที่ 14 กุมภาฯ กลับมาเยือนอีกครั้งผมก็พูดได้เต็มปากว่า "Happy Valentine" <3 จริงๆซะที
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in