เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Better DaySopon Supamangmee
จุดเชื่อมต่อของเวลากับความฝันที่หายไประหว่างทาง
  • ประมาณปลายเดือนก่อนผมมีโอกาสได้นั่งคุยกับบรรณาธิการของสำนักพิมพ์มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง บอกตามตรงว่าทั้งรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์จากทางนู้น เขาบอกว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งที่อยากลองคุยกันดูว่าผมสนใจอยากลองเขียนรึเปล่า เสร็จแล้วก็นัดเวลาเจอกันหลังจากนั้นอีกสามวัน

    หลังจากทักทายตัวเองกันเสร็จเรียบร้อย เขาก็เริ่มถามเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวว่าไปไงมาไงถึงกลับมาอยู่ประเทศไทยได้หลังจากใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกกว่าสิบปี ผมเล่าถึงเหตุการณ์ที่แม่ล้มป่วยไม่สบายและทางบ้านต้องการคนช่วยดูแลธุรกิจ มีทางเลือกอยู่แค่สองทางคือตัดขาดครอบครัวหันหลังให้และเดินหน้าทำตามความฝันต่อ และอีกทางหนึ่งคือทิ้งทุกอย่างกลับบ้านเกิด แน่หล่ะครับมันเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนแผนการอนาคตที่วางเอาไว้ ผมจบชีวิตของโปรแกรมเมอร์ที่บริษัทไอทียักษ์ใหญ่และซื้อตั๋วเที่ยวเดียวบินข้ามหาสมุทรแปซิฟิกกลับไทยในเวลาต่อมา

    การสนทนายังวนกลับไปหาชีวิตช่วงทำงาน เขาถามต่อว่าเสียดายงานที่ทิ้งไปไหม ได้เรียนรู้อะไรบ้าง มีประสบการณ์อะไรน่าสนใจรึเปล่า เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้ทำงานในบริษัทแห่งนี้ มาถึงตรงนี้ผมเริ่มเอะใจแล้วว่าหนังสือที่เขาสนใจอยากให้เขียนคงเป็นช่วงเวลาเหล่านั้นแน่นอน ผมเล่าถึงประสบการณ์ต่างๆนานาที่เกิดขึ้นตามความทรงจำที่ยังชัดเจนในหัวสมอง จากเรื่องหนึ่งไปยังอีกเรื่องหนึ่งไปเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกว่าเฮ้ยเรามีเรื่องน่าสนใจพวกนี้อยู่เต็มหัวแต่ไม่เคยได้เล่าให้ใครฟังเลย หลายเรื่องพอได้พูดออกมาก็รู้สึกว่ามันเป็นความทรงจำที่ดีๆทั้งนั้นและคงมีใครหลายคนสนใจอยากอ่าน บก.เองก็นั่งฟังอย่างตั้งใจและถามไปเรื่อยๆจนเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงที่ผมพูดจ้อไม่ยอมหยุด จนสุดท้ายก่อนจากกันเขาเลยบอกว่างั้นให้ผมไปเขียน outline หนังสือมาแล้วค่อยลุยกันต่อ

    หลังจากวันนั้นมา ผมกลับมายุ่งวุ่นวายกับโปรเจคหนังสือใหม่เล่มนี้อีกครั้งหนึ่ง มีอีกหลายโปรเจคที่ดองเค็มเอาไว้กลางทาง ยังไม่เสร็จแต่ขอลงมือจัดการกับเล่มนี้ให้เต็มที่ก่อน ระหว่างที่นั่งเขียน outline หนังสือ เกิดเหตุการณ์ประหลาดๆ ผมนั่งยิ้มไปกับเรื่องราวที่พิมพ์ลงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ประสบการณ์ที่ถูกกลบเอาไว้ค่อยๆถูกรื้อฟื้นขึ้นมาทีละเล็กละน้อย ทั้งเรื่องราวน่าเศร้าชวนผิดหวัง การต่อสู้ดิ้นรนของเด็กนักเรียนต่างชาติตาดำๆ ชีวิตรักอันน่าบัดซบ เพื่อนฝูงที่คอยเป็นกำลังใจ เพื่อนร่วมงานป่วนๆชวนเมาท์ บอสที่คอยชวนไปดื่มเบียร์และเกรียนยิ่งกว่าเด็กวัยรุ่น ประสบการณ์การทำงานที่หนักหน่วงและเฮฮา นั่งพิมพ์ไปด้วยก็หัวเราะไปด้วย เหมือนการนั่งคุยกันในโต๊ะอาหารยังไงยังงั้น

    ระหว่างที่นั่งอ่านทวนตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งงาน ผมเริ่มนึกถึงสุนทรพจน์ของ Steve Jobs ที่กล่าวไว้ในปี 2005 ที่ Stanford University (ถ้าใครยังไม่เคยผ่านตาผมแนะนำให้ลองตามหามาอ่านเพราะมันอัดแน่นไปด้วยเชื้อเพลิงแห่งความฝันชั้นเยี่ยม เชื่อเลยว่าถ้าใครได้อ่านหรือได้ฟังคงมีแรงฮึดขึ้นสู้เดินหน้าต่ออย่างแน่นอน) ในวันนั้นมีเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมากเป็นพิเศษคือเรื่องของ “การเชื่อมจุด” จากปัจจุบันไปยังอดีต หลังจากที่เขาเริ่มต้นชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยได้เพียงหกเดือนเขาก็ตัดสินใจลาออก เหตุผลคือเขายังไม่รู้ว่าตนเองนั้นต้องการอะไรกับชีวิตและใบปริญญาก็ไม่สามารถให้คำตอบนี้กับเขาได้ อีกอย่างหนึ่งคือรู้สึกว่ากำลังถลุงเงินที่พ่อแม่หามาด้วยความยากลำบากกับบางสิ่งที่ยังไม่เห็นประโยชน์ของมันเลย เขายอมรับว่าตอนนั้นน่ากลัวอยู่เหมือนกันเพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่เขาเชื่อว่าทุกอย่างนั้นจะโอเคในท้ายที่สุดแล้ว และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆซะด้วย นาทีที่เขาลาออกจากการเป็นเด็กนักศึกษาเขาก็ถูกปลอดปล่อยจากภาควิชาบังคับที่ตนเองไม่สนใจทั้งหมด เขาไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนวิชาที่น่าเบื่อเพื่อเอาเกรด แต่ไปนั่งเรียนแบบไม่เอาคะแนนกับวิชาที่น่าสนใจแทน

    แต่ชีวิตของเขาก็ไม่ได้สวยงามอะไรนัก ต้องนอนบนพื้นห้องของเพื่อนๆ นำขวดโค้กไปแลกเอาเงินคืนขวดละห้าเซนต์เก็บเงินไปซื้อข้าว แต่เขากลับรักชีวิตในช่วงนี้เป็นอย่างมาก เขาปล่อยตัวเองไปตามความอยากรู้อยากเห็น อยากทำอะไรก็ทำ อยากเรียนอะไรก็เรียน มีวิชาหนึ่งที่เขาลงเรียนเพราะความสนใจคือคอร์สการคัดลายมือ (calligraphy) เขาเรียนรู้วิธีเขียนอักษรแบบเซริฟ (sarif) แซนส์เซริฟ (sans sarif) การเว้นช่องไฟ เทคนิคการเรียงพิมพ์ มุมมองทางประวัติศาสตร์และศิลปะ เขาบอกว่าเป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งมากเลยทีเดียว และตอนนั้นเขาไม่เคยคิดเลยว่าความรู้ที่ดูเรื่อยเปื่อยแบบนี้จะกลับมามีประโยชน์กับเขาในอนาคต

    สิบปีต่อมาตอนที่เขากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นแรก ความรู้เหล่านั้นถูกนำกลับมาใช้ลงในเครื่องแมคทั้งหมด มันทำให้แมคเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวพิมพ์สวยงาม สิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้ใช้กลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างสินค้าของเขาและคู่แข่งในตลาด ถ้าวันนั้นเขาไม่ตัดสินใจลาออก เขาก็คงไม่ได้ลงเรียนคอร์สคัดลายมือ ถ้าเข้าไม่ได้ลงเรียนคอร์สคัดลายมือ เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะอาจจะยังไม่มีตัวพิมพ์ที่สวยขนาดนี้ ทุกอย่างมันเชื่อมต่อกันหมด จากจุดหนึ่งในปัจจุบันย้อนไปยังอีกจุดหนึ่งในอดีต

    เมื่อย้อนกลับมามองดูตัวเองในเวลานี้ก็เริ่มเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างตอนนี้ที่ผมได้มีโอกาสได้เริ่มต้นอาชีพการเป็นนักเขียนเพราะผมตัดสินใจกลับมาเมืองไทย ถ้าตอนนั้นผมเดินไปอีกทางหนึ่งและตัดสินใจทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ต่อ ผมคงไม่มีโอกาสได้ก้าวมายืนตรงจุดนี้ที่ได้ทำงานที่ตนเองรัก อาจจะยุ่งเกินไป อาจจะเหนื่อยล้าเพราะงานหนัก เหตุผลต่างๆนานา อีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนกว่าคือเรื่องของความรัก ถ้าวันนั้นผมยังตัดสินดื้อดึงใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ผมก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จัก ได้รัก ได้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของหัวใจอย่างเช่นทุกวันนี้ และคงไม่มีโอกาสได้อุ้มลูกสาวที่น่ารักในอ้อมกอดอีกเช่นกัน

    มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเชื่อมจุดจากปัจจุบันไปยังอนาคต เมื่อหลายปีก่อนผมไม่มีทางรู้ได้ว่าประสบการณ์ชีวิตการเป็นโปรแกรมเมอร์จะกลายมาเป็นเนื้อหาชั้นเยี่ยมในการเขียนหนังสือเล่มต่อไป ไม่มีทางรู้อีกว่าเมื่อกลับมาเมืองไทยแล้วผมจะได้เป็นนักเขียน มีภรรยาที่น่ารัก มีครอบครัวที่อบอุ่น จากตรงนี้มองจุดเชื่อมต่อของเวลาจากปัจจุบันไปยังอดีตนั้นชัดเจนเสมอ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผลในตัวของมันเอง ขอเพียงเรากล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด ทำในสิ่งตนเองรักและเชื่อมั่นว่าอนาคตทุกอย่างจะโอเค และถึงแม้ว่ามีความฝันบางอย่างสูญหายไประหว่างทาง ตราบใดที่ยังมีลมหายใจผมเชื่อว่าความฝันครั้งใหม่ยังคงเกิดขึ้นได้เสมอ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in