เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[Fan fic ตัวร้ายอย่างข้าจะหนีเอาตัวรอดอย่างไรดี]impuniltd
Have you ever seen a ghost? [ฟิคตัวร้ายฯ Originalลั่วปิงเกอxเสิ่นจิ่ว]
  • หอพักแห่งนี้มีเพิ่งคนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ที่ชั้น3 ตรงข้ามกับห้องว่างที่ไม่ปล่อยให้ใครเช่า เพื่อนบ้านต่างพากันชะเง้อมองด้วยความใคร่รู้ แต่ผู้เช่าหน้าใหม่กลับมีนิสัยประหลาด แทบไม่ได้โผล่หน้าออกมาให้เห็นในตอนกลางวันเท่าใดนัก คนในหอพักได้แต่รู้จากยามกลางคืนและผู้ดูแลตึกเท่านั้นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายหน้าตาดีดูภูมิฐาน อายุราวยี่สิบกว่าปีได้ และจากคำยืนยันพ่อค้าแม่ค้ากลางคืนที่ได้บอกว่าผู้เช่าคนใหม่นั้นหล่อเหลาดูดีเป็นอย่างมาก ยิ่งส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นของคนย่านนั้นเข้าไปใหญ่   


    แต่ไหนแต่ไรคนเช่าหอพักที่นี่ส่วนใหญ่มักเป็นคนวัยทำงานรายได้ไม่มากนักจึงต้องเช่าหอพักราคาถูก หากเป็นห้องชุดก็มักจะเป็นครอบครัวเล็กๆมากกว่า ทั้งย่านนี้ยังไม่ใกล้เขตมหาวิทยาลัยหรือใจกลางเมืองแม้แต่น้อย


    ถ้าเช่นนั้น คนที่ราศีจับราวกับพระเอกในละครหลังข่าวที่เหล่าภรรยาแม่บ้านในหอพักชอบพูดถึงกันแบบนั้นมาทำอะไรในที่แบบนี้กัน ข้อนี้เป็นคำถามที่ทุกคนได้แต่สงสัย แต่ไม่มีใครได้มีโอกาสถามเจ้าตัวตรงๆหรือแม้แต่ปฏิสัมพันธ์กับผู้เช่าใหม่อย่างจริงจังด้วยซ้ำ


    จนกระทั่งวันหนึ่ง


    เย็นวันนั้นกลุ่มเด็กในชุมชนพากันเล่นตามประสา ใครคนหนึ่งในกลุ่มได้ท้าหนิงอิงอิงน้อย วัยเก้าขวบเศษให้ไปเด็ดใบไม้จากต้นไม้ใหญ่ด้านหลังหอพักที่ร่ำลือกันว่ามีผีสิงสู่อยู่ ว่ากันว่าชาวบ้านที่เข้ามาขอหวยได้เลขกลับไปหลายราย การท้าทายในแบบเด็กๆจึงเกิดขึ้นตามวิสัย


    หนิงอิงอิงน้อยรับคำท้าเพราะไม่อยากเสียหน้าแม้ในใจจะแอบหวั่นอยู่บ้าง ครั้นเมื่อสองขาคู่สั้นพาเด็กหญิงมาหยุดตรงหน้าต้นไม้สูงตระง่าก็ยิ่งใจเสียมากขึ้น


    ต้นไม้นั้นแผ่กิ่งก้านไพศาลอยู่ต้นเดียวท่ามกลางลานกว้างชวนรู้สึกวังเวง ผูกผ้าสามสีหนาแน่นราวกับจะประกาศศักดา ลมพัดแรงนผ้าเหล่านั้นพลิ้วไหวราวมีชีวิตอย่างน่าขนลุก ทั่วทั้งบริเวณไร้ซึ่งเสียงนกร้องหรือจิ้งหรีดเรไรที่ควรมี ท้องฟ้ามืดครึ้มหากไม่เป็นเพราะแสงยามสนธยา แต่นั่นยิ่งนำพาให้เด็กน้อยรู้สึกถึงเหงื่อเย็นๆที่ผุดตามไรผม ขาคู่สั้นค่อยๆก้าวเข้าหารุกขชาติตรงหน้าจนยืนอยู่ใต้กิ่งหนึ่งที่มีใบไม้หนาแน่น เด็กน้อยพยายามเอื้อมสุดแขนหมายจะเด็ดสักใบเพื่อที่จะได้ออกไปจากที่นี่เสียที แต่ไม่ว่าจะเอื้อมอย่างไรก็ไม่ถึงช่อกิ่งที่โน้มมาต่ำสุดอยู่ดี หนิงอิงอิงกำลังจะกระโดดพลันมีมือหนึ่งวางลงบนศีรษะ


    เธอขวัญเสียจนหลุดกรี๊ดออกมาดังลั่น เมื่อหันไปด้านหลังจึงพบชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เด็กน้อยไร้เดียงสาเกินกว่าจะล่วงรู้อารมณ์ซับซ้อนที่สื่อในรอยยิ้มนั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่มีเลือดหรือแผลตามตัวแบบผีที่เห็นในหนังก็มีเพียงความอุ่นใจขึ้นโขจากเมื่อครู่ ใจที่เต้นแรงราวกับกระต่ายตื่นตูมเริ่มกลับมาสงบ


    ชายแปลกหน้าคนนั้นเอ่ยทัก “มาทำอะไรที่นี่คนเดียว เพื่อนไปไหนหมด”


    หนิงอิงอิงลังเล พ่อแม่สอนเธอว่าอย่าพูดกับคนแปลกตาเวลาพ่อแม่ไม่อยู่ด้วย สถานการณ์ตอนนี้มันเข้าเค้าเลยนี่หน่า แต่เด็กน้อยไม่อยากอยู่คนเดียว และที่นี่น่ากลัวมากสำหรับเธอ เมื่อความกลัวชนะไปเต็มๆเด็กหญิงจึงตอบเสียงเจื่อยแจ้ว “พวกนั้นบอกว่าถ้าอิงอิงไม่มาเด็ดใบต้นผีดุอิงอิงจะเป็นคนขี้ขลาด ไม่คบด้วย อิงอิงไม่อยากเป็นคนขี้ขลาดตาขาว”


    หนิงอิงอิงตอบแก้มป่อง โดยปกติแล้วเมื่อมีคนเห็นท่าทางนี้มักเกิดความรู้สึกรักใคร่เอ็นดูเด็กคนนี้ไม่ใช่น้อยพาหัวเราะหรือยิ้มแย้มให้ไปตามกัน แต่คนตรงหน้ากลับดูไร้ปฏิกิริยา เพียงแค่รักษารอยยิ้มที่ไปไม่ถึงตาให้กว้างขึ้นอย่างเสแสร้งเท่านั้น เคราะห์ดีที่เขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมและคนตรงหน้ายังเด็กอยู่ หนิงอิงอิงจึงไม่เข้าใจ เขาย่อตัวลงจนอยู่ระดับใกล้เคียงกับเด็กตรงหน้า


    “ต้นผีดุหรือ” เขาถาม มองไปยังที่ต้นไม้นั้นด้านหลังหนิงอิงอิง แววตาประกายบางอย่างที่เด็กน้อยไม่เข้าใจ แต่กระนั้นก็ยังเล่าประวัติต้นไม้นี้จากที่ได้ฟังมาอย่างออกรสตามประสาคนช่างพูด


    ชายหนุ่มคนนั้นทำท่าทีรับฟังหากแต่สายตากลับจดจ่อที่บางอย่างด้านหลังเด็กน้อย หนิงอิงอิงเล่าเรื่องเล่าจนหมดเปลือกจึงเพิ่งสังเกตถึงสายตาผู้ใหญ่ตรงหน้าและเพิ่งตระหนักว่าคนคนนี้คือผู้เช่าที่เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่เป็นแน่ ในชีวิตน้อยกว่าทศวรรษของเด็กหญิง เธอเคยเห็นคนที่ดูดีขนาดนี้เพียงแค่ในโทรศัพท์เท่านั้น พี่ชายตรงหน้าหล่อเหลากว่าดาราที่แม่เธอชื่นชอบเสียด้วยซ้ำ แต่กลับแฝงไอบางอย่างไม่น่าเข้าใกล้


    ชายหนุ่มเอ่ยเรียกความสนใจก่อนที่เธอจะได้มีโอกาสมองตามสายตาเขาไป “นี่ก็ใกล้มืดแล้วรีบกลับบ้านเถอะ ออกไปพร้อมพี่เลยละกัน” เมื่อพูดจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยื่นมือมาให้ร่างเล็กกว่าจูง


    หนิงอิงอิงชั่งใจ “แต่เพื่อนหนูเขา..”


    ชายหนุ่มเอ่ยขัด “ไม่ต้องกลัวว่าเพื่อนจะล้อว่าขี้ขลาดแล้วเลิกคบหรอก ถ้าเขาแกล้งเราหรือไม่สนใจ เราก็แค่ต้องเอาชนะเขาให้ได้ เมื่อเขาไม่เหลือทางเลือก เขาก็ทิ้งเราไม่ได้แล้ว จำไว้นะ”


    หนิงอิงอิงไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่พี่ชายคนนี้พูดเท่าไหร่แต่สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกว่าไม่ควรขัด จึงพยักหน้ารับ แล้วยื่นมือไปกุมมือใหญ่ที่ยื่นค้างไว้


    ทั้งคู่หันหลังให้ต้นไม้แล้วเดินออกไป


    ระหว่างที่เดินออกห่างจากต้นไม้นั้นไปเรื่อยๆ พี่ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เวลาแบบนี้เขาเรียกกันว่าผีตากผ้าอ้อม วันหลังอย่าออกมาเล่นเวลานี้นะ”


    หนิงอิงอิงส่งเสียงรับคำใส แม้ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนไว้ค่อยไปถามแม่ดีกว่า




    ชายคนนั้นส่งเธอแค่สุดลานกว้างโดยบอกว่าตนจะสูบบุหรี่ เด็กไม่ควรอยู่ใกล้ มองเด็กน้อยคนนั้นโบกมือลาแล้ววิ่งไปรวมกลุ่มกับเพื่อนที่รออยู่ เมื่อพ้นสายตา สีหน้าของชายคนนั้นกลับมาราบเรียบ หันกลับไปทีต้นไม้ต้นนั้น เขายังคงพบเงาดำที่นั่งห้อยขาอยู่บนก้านใหญ่ที่สุดของต้นเช่นเดียวกับตอนที่อยู่กับเด็กหญิง สองตาผิดมนุษย์ทั้งคู่สบกันอย่างท้าทาย คู่นึงดำสนิทไร้แววและตาขาว อีกคู่แดงฉานเรืองรองในแสงที่กำลังจะหมดวัน จ้องกันอยู่นาน บรรยากาศโดยรอบไร้สิ้นเสียงสิ่งมีชีวิต ลมพัดแรงจนไม่ได้ยินเสียงใด ในที่สุดตาคู่นึงศิโรราบหลบตาแต่ยังคงส่งเสียงแหลมขู่ฟ่อด้วยเสียงร้องแหลมประหลาด คนก็ไม่คล้ายเดรัจฉานก็ไม่เหมือนบาดเข้าแก้วหู


    ชายคนนั้นยิ้มเหยียด มองเงาดำนั่นไม่ต่างจากมดปลวก เอ่ยเสียงราบเรียบ “อย่ากังวลไปเลย พวกแกไม่ใช่สิ่งที่ฉันตามหา ฉันไม่เสียเวลาหรอก”


    เขาเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองต้นไม้ที่มีเงาดำปรากฏเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางกิ่งถูกจับจองจนไม่เหลือที่ว่าง ดวงตาดำสนิทนับสิบมองแผ่นหลังเขาโดยไม่อาจทำสิ่งใดได้



    หลังจากเหตุการณ์นั้น หนิงอิงอิงคอยลอบสังเกตพี่ชายคนนั้นเสมอ ห้องของพี่ชายคนนั้นถึงก่อนห้องของเธอการซุ่มดูจึงเป็นไปไม่ยาก ทุกครั้งที่เดินเข้าบ้านเธอจึงมักพยายามมองเข้าไปในประตูหรือเงี่ยหูฟังเสียงจากห้องเขาเสมอ แต่ไม่เคยพบหรือได้ยินอะไร ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่เดินสวนกันพี่ชายคนนั้นก็มักยิ้มให้เสมอ เขาบอกเธอครั้งหนึ่งที่เจอกันโดยบังเอิญว่าเขาชื่อลั่วปิงเหอ แต่เธอก็ยังเรียกเขาว่าพี่ชายจนติดปาก  


    เธอสังเกตว่าลั่วปิงเหอมักมองห้องตรงข้ามของเขาเสมอโดยไม่พูดอะไร มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่ชายคนนี้เข้ามาคุยกับเธออย่างเป็นเรื่องเป็นราวเป็นครั้งที่สองหลังจากเหตุการณ์วันนั้น


    “อยู่ที่นี่มานานหรือยัง”

    หนิงอิงอิงกระพริบตาคู่ใส ฉงนอย่างเห็นได้ชัด


    ลั่วปิงเหอเอ่ยถามย้ำ “เราน่ะ อยู่ที่นี่มานานหรือยัง”


    เด็กน้อยได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า ยิ้มกว้างให้ “อื้อ พี่ชายเพิ่งย้ายมาอยู่ใช่มั้ย ถามอิงอิงได้ตลอดเลยนะ”


    ชายตรงหน้ายิ้มมุมปากอย่างถูกใจ “ถามได้ทุกอย่างเลยหรือเปล่า”


    เด็กน้อยใจลิงโลด หวังไปอวดคนอื่นว่าได้สนิทกับพี่ชายลึกลับข้างบ้านเธอได้แล้ว จึงตอบไป “ได้สิ ถามมาได้หมดเลย อิงอิงรู้ทุกอย่างเลยนะ”


    “ห้องตรงข้ามห้องพี่เจ้าของเขาไปไหน” เมื่อสบตาเห็นความงุนงงในดวงตาเด็กหญิง เขาจึงรีบเอ่ย “พี่เห็นว่ามันไม่ได้ปล่อยเช่าแต่ก็ไม่เคยเห็นคนเข้าออกห้องนั่นสักทีเลยสงสัยน่ะ”


    หนิงอิงอิงร้องอ๋อ “ห้องนั้นว่างมานานแล้วนะ คุณแม่เคยบอกว่าห้องนั้นไม่ดีอย่าไปเข้าใกล้ มีคนมาเช่าต่อกี่คนก็ย้ายออกไม่ถึงเดือนสักคนจนเจ้าของห้องปล่อยไว้แบบนี้แหละ”


    ใบหน้าหล่อเหลาทำสีหน้าใคร่รู้ สนอกสนใจเต็มที่ “ทำไมห้องนั้นถึงไม่ดีล่ะ”


    หนิงอิงอิงมองซ้ายมองขวา ก่อนจะกระซิบ “ได้ยินคุณแม่คุยกับเพื่อนว่าห้องนั้นมีคนเช่าเก่าเป็นคนชอบเครื่องรางของขลังน่ะ คุณแม่บอกว่าเขาเลี้ยงผีแล้วทิ้งไว้ในห้อง ใครมาเช่าต่อเลยอยู่ไม่ได้กัน”

    ลั่วปิงเหอทำหน้าครุ่นคิด “แล้วคนเช่าเก่าไปไหน เราเคยเจอหรือเปล่า หน้าตาเป็นยังไง”


    เด็กน้อยพยักหน้า “อื้อ เป็นคนแก่ท่าทางน่ากลัว ไม่คุยกับใครเลย อยู่ๆเขาก็หายไปทำเอาทุกคนแปลกใจหมดเลย เห็นว่าค่ามัดจำก็ไม่เอาไป”


    “งั้นเหรอ” ลั่วปิงเหอจมอยู่ในความคิดตัวเองครู่หนึ่งก่อนจะหันมายิ้มอบอุ่นแล้วลูบหัวหนิงอิงอิง “ขอบใจมากนะ”


    หนิงอิงอิงใบหน้าแดงก่ำ ตั้งแต่นั้นมาเธอยิ่งรู้สึกอยากสนิทกับพี่ชายคนนี้มากขึ้นเป็นเท่าตัว


    ครั้งหน้าที่เธอพบพี่ชายคนโปรด กลับทำให้เธอเปลี่ยนใจกับความคิดนั้นอย่างสิ้นเชิง


    วันนั้นเธอยืนอยู่หน้าห้องเช่ารอผู้เป็นแม่ลงไปเอาของที่รถในลานจอดรถ หนิงอิงอิงไม่อยากลงไปจึงขอรออยู่ข้างบน แต่เพราะลืมขอกุญแจบ้านจากแม่จึงต้องรอหน้าประตูห้องพัก เด็กน้อยยืนพิงประตูอยู่ขณะที่ได้ยินเสียงลิฟต์ดังขึ้น เธอหันไปมองพี่ชายข้างห้องคนนั้นที่เดินออกมาจากลิฟต์ ในมือถือกล่องบางอย่าง เขาไม่ได้สังเกตถึงตัวตนของเด็กผู้หญิงแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะเขาดูจะจดจ่อกับอะไรบางอย่างเกินกว่าจะมาสนใจร่างเล็กๆที่มีวงกบประตูทรงลึกบดบังร่างจนเกือบหมด ณ สุดทางเดินมากกว่า


    เขาหยุดอยู่ที่หน้าห้องตัวเองแต่กลับหันหน้าไปทางห้องตรงข้าม ในทางเดินคับแคบขายาวของเขาก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงประตูห้องนั้น เขายืนอยู่ครู่หนึ่งราวกับรอคอยบางอย่าง ประคองกล่องขนาดกะทันรัดขึ้นแล้วเปิดมันออกก่อนจะหยิบบางอย่างออกมา


    หนิงอิงอิงที่เฝ้าดูพยายามเพ่งมองเมื่อเห็นพี่ชายคนนั้นนำสิ่งนั้นออกมา ลักษณะมันเป็นแท่งยาวหนาดูคล้ายบางอย่างแต่เมื่อมองจากสุดทางเดินเธอไม่อาจรู้ว่าคืออะไร เธอเบิกตากว้างเมื่อเห็นเขาเอาสิ่งนั้นมาเคาะกับประตูห้องตรงข้าม


    ฉับพลันที่สิ่งนั้นกระทบประตูไม้ เสียงเคาะดังก้องไปทั่ว ทั้งชั้นเงียบสงัด ไร้เสียงสิ่งมีชีวิตใดๆราวกับคนละโลกที่เด็กน้อยรู้จัก บรรยากาศโดยรอบเย็นลงโดยพลัน อากาศแน่นราวกับถูกกดไว้ทำเอาเธอหายใจลำบาก ไอเย็นแผ่มาจากห้องนั้นไปทั่วชั้น เสียงนกร้องและเสียงจราจรที่เคยมีกลับหายเงียบไม่ต่างจากป่าช้า


    ทันใดนั้นประตูที่นิ่งสนิทกลับมีเสียงเคาะอย่างรุนแรงหนักหน่วงติดต่อกันจากด้านในของห้องที่ว่างเปล่าจนเสียงนั้นดูดกลืนทุกสิ่งที่เงียบนิ่ง


    หนิงอิงอิงขนลุกชัน หวาดกลัวจนไม่กล้าส่งเสียง ตาเบิกกว้างจ้องมองพี่ชายคนนั้นไม่กระพริบ


    พี่ชายคนนั้นทำสีหน้าประหลาดชนิดที่หากเธอโตขึ้นมาอีกหน่อยเธอคงรู้ว่านั่นคือความพึงพอใจ หากเธอโตขึ้นอีกสักนิดเธอจะรู้ว่านั่นเป็นสีหน้าของคนที่ได้สิ่งที่ต้องการอย่างละโมบ


    น่าเสียดายที่เธอยังเด็กเกินไป หนิงอิงอิงในยามนี้รับรู้แค่ว่าเป็นสีหน้าที่น่ากลัวไม่น่าเข้าใกล้เท่านั้น


    พี่ชายพูดบางอย่างที่ก้องกังวานไปทั้งชั้นและบางอย่างในน้ำเสียงเขาทำให้หนิงอิงอิงตัวแข็งทื่อ    


    “ไม่มีผมแล้วคุณก็ไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไรทั้งนั้นเลยนี่” น้ำเสียงทุ้มแสดงถึงความรื่นรมย์แปลกประหลาด


    ประตูตรงหน้าพี่ชายคนนั้นสั่นอย่างรุนแรงราวกับอีกด้านของประตูมีคนกระแทกแผ่นไม้นั้นอย่างโกรธแค้น ราวกับใครบางคนข้างในห้องว่างนั้นพยายามพังประตูออกมาเพื่อจะทำร้ายคนพูดให้ถึงที่สุด เสียงกระแทกที่ดังสนั่นกว่าเดิมทำให้เด็กน้อยยิ่งเสียขวัญ แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำจากอีกคนในทางเดิน


    ลั่วปิงเหอพูดประโยคถัดมาด้วยเสียงที่ราวกับกำลังพูดปลอบโยนคนรัก น้ำเสียงนั้นหวานเชื่อมราวกับยาพิษ ล่อลวงให้ดื่มกิน “ไม่มีผมอยู่ได้กินบ้างหรือเปล่าครับ เลือดน่ะ”


    เมื่อได้ยินเสียงประตูด้านในดังเป็นเสียงทุบหนักๆ เขาพูดต่อ “คงหิวแย่สินะ เจ้าของคนใหม่ดูแลคุณไม่ดีเลย”


    เขาเอาใบหน้าคมคายแนบไปกับประตูราวกับกำลังสัมผัสใครบางคนอยู่ ส่งเสียงชู่วปลอบโยนให้อีกฝ่ายเงียบแต่กลับได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม


    เสียงสั่นกระแทกของประตูบานนั้นดังไม่หยุดราวกับกลองศึกที่บ้าคลั่งโดยมีเสียงพึมพำแผ่วเบาแทรกเป็นระยะ


    หนิงอิงอิงกำลังจะร้องไห้เมื่อเธอไม่อาจทนต่อเหตุการณ์นี้ได้อีกต่อไป พี่ชายคนนั้นทำท่าเหมือนจะทำอะไรบางอย่าง พลันมีเสียงดังที่คุ้นเคยมาขัดจังหวะ


    เสียงลิฟต์ดังขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศทุกอย่างพลันกลับสู่เป็นปกติ ราวกับโทรทัศน์ที่ถูกเปลี่ยนช่อง เสียงทุกอย่างจากโลกข้างนอกที่ควรมีกลับมาตามเดิม ไอเย็นชวนเสียวสันหลังหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน แม่ของหนิงอิงอิงเดินออกมาจากลิฟต์ ก้าวมาอย่างเร่งรีบหาลูกสาว เอ่ยอย่างร้อนใจ “รอนานมั้ยลูก แม่หาของนานไปหน่อยหิวหรือยังคนเก่ง”


    เด็กน้อยโผกอดมารดาทันทีที่อยู่ในระยะที่เอื้อมถึง หลบสายตาพี่ชายคนนั้นที่มองมาอย่างประหลาดใจ หนิงอิงอิงซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดแม่จนแม่เธอไขกุญแจเข้าห้องได้ จึงรีบใช้ร่างกายน้อยๆดันร่างผู้เป็นแม่เข้าห้องไปแล้วร้องไห้จ้าอย่างเสียขวัญ แม่ของเธอได้แต่ปลอบโยนด้วยความฉงนเมื่อถามถึงสาเหตุเด็กน้อยกลับตอบเพียงแค่คำว่า ‘น่ากลัว’ ซ้ำไปซ้ำมาจนไม่ได้ความ จนเด็กน้อยผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน





    ตั้งแต่วันนั้น หนิงอิงอิงก็หลบหน้าพี่ชายคนนั้นตลอดมา เมื่อเห็นลั่วปิงเหอพยายามจะเดินเข้ามาทักเธอก็รีบวิ่งไปหาผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆทันที เธอแทบไม่แยกจากกลุ่มเพื่อนหรืออยู่คนเดียวเลยนับจากเหตุการณ์นั้น



    ครั้งสุดท้ายที่เด็กหญิงเห็นลั่วปิงเหอเกิดขึ้นกลางดึกวันหนึ่ง


    ห้องนอนของหนิงอิงอิงอยู่ติดกับทางเดิน เธอชินชากับเสียงคนเดินไปมาตอนกลางคืนไปแล้วแต่คืนนั้นบางอย่างปลุกเธอให้ตื่นขึ้น แม้ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นเวลาเท่าใดแล้วแต่เด็กน้อยรู้สึกได้ว่านี่เป็นเวลาดึกที่สุดที่เธอเคยตื่นมา ทุกอย่างเงียบเชียบ ไร้เสียงทีวีจากห้องโถงข้างนอก เสียงน้ำจากท่อ คนเดินจากชั้นบน หรือเสียงพ่อแม่คุยกันเหมือนทุกที แล้วเธอก็รู้สึกได้ถึงเหตุผลที่ทำให้เธอตื่นขึ้นมา


    เธอได้ยินเสียงบางคนกำลังวิ่งดังอยู่ไกลออกไป


    เธอสังเกตบางอย่างได้หลังจากสามารถระบุที่มาของเสียงได้เพราะเสียงฝีเท้านั้นแผ่วเบาและไกลเกินกว่าจะปลุกเธอที่คุ้นกับเสียงคนเดินให้ตื่นได้


    อากาศตอนนี้เป็นเหมือนวันนั้นไม่มีผิด


    บรรยากาศเย็นเยียบที่แตกต่างจากความเย็นของเครื่องปรับอากาศในห้อง กลิ่นอายบางอย่างลึกลับแผ่เข้ามาจากด้านนอกผ่านหน้าต่างติดทางเดินในห้อง ชั่วขณะนั้น ราวกับมีความกล้าบางอย่างเข้ามาในจิตใจของเด็กหญิง หนิงอิงอิงลากเก้าอี้ในห้องไปที่หน้าต่างก่อนจะปืนขึ้นไปเลิกผ้าม่านขึ้นดู


    แสงจ้าจากไฟทางเดินทำให้เธอหรี่ตา เมื่อปรับสายตาได้จึงเห็นว่าทางเดินว่างเปล่า เงียบราวกับถูกหยุดเวลาไว้ กระนั้นความผิดปรกติกลับชัดเจนในอากาศ เสียงวิ่งนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


    พี่ชายข้างห้องที่เธอหลบหน้าเป็นอาทิตย์วิ่งขึ้นมาทางบันไดอย่างรวดเร็วแล้วหยุดอยู่ที่หน้าห้องว่างห้องนั้น เขาดูเหนื่อยหอบ สีหน้าไม่อาจอ่านได้จากมุมที่หนิงอิงอิงอยู่ เขาไขแม่กุญแจที่ล็อกห้องนั้นไว้ ปามันทิ้งอย่างไม่ไยดี หยิบแผ่นบางอย่างแปะที่ประตูไม้ ปากพึมพำบางอย่างที่เด็กน้อยไม่เข้าใจราวกับภาษาอื่นพลางก้าวถอยหลังมาเรื่อยๆจนห่างกับประตูห้องของตนแค่คืบ


    หนิงอิงอิงเห็นประตูห้องร้างค่อยๆเปิดออก เสียงครูดของประตูไม้ดูจะดังเข้าไปในจิตใจแม้จะได้ยินผ่านกระจกก็ตาม เด็กน้อยเบิกตากว้างน้ำตารื้น ปากไม่กล้าส่งเสียงเมื่อประตูที่เปิดออกมีกลุ่มเงาดำรูปร่างคล้ายคนเดินออกมา ไอดำห้อมล้อมจนเห็นเพียงเงาเลือนรางที่โปร่งใสและทึบในที  อากาศเย็นเหยียบจนถึงกระดูก


    คนที่ยืนอยู่บนทางเดินที่เธอมองเห็นสีหน้าไม่ถนัดยกมือขึ้น ชี้นิ้วไปที่เงาดำนั้น แล้วตะโกนบางอย่างออกมา


    “....”


    หนิงอิงอิงไม่อาจรู้ว่าพี่ชายคนนั้นตะโกนว่าอะไรแต่แรงสั่นสะเทือนจากคลื่นเสียงนั้นสามารถสัมผัสได้จากกระจกหน้าต่างของเด็กหญิงจนเธอนึกว่าเสียงนั้นจะปลุกคนทั้งชั้นแต่กลับไม่เกิดขึ้น สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นคือเงาดำนั้นราวกับถูกดูดเข้าไปอยู่ที่มือของพี่ชายคนนั้น เพราะเมื่อเขาแบมือออก หนิงอิงอิงเห็นกลุ่มเงาสีดำกระจุกเป็นกลุ่มก้อนอยู่เหนือมือคนนั้น ก้อนเงาดิ้นพล่านราวกับพยายามหนีแต่ไม่อาจกระทำได้ พี่ชายข้างห้องมองดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปิดประตูเข้าห้องไป


    ทุกอย่างกลับมาเงียบเช่นเดิม เสียงหวีดร้องขณะที่เงานั้นถูกดูดยังดังก้องอยู่ในหูอย่างเป็นปริศนาเพราะเธอไม่ควรได้ยินเสียงนั้นชัดขนาดนี้เมื่อฟังผ่านกระจกบานเลื่อน หนิงอิงอิงจำได้เลือนรางถึงตัวเองที่กระโดดขึ้นเตียงและคลุมโปงจนหลับไป


    วันรุ่งขึ้นเธอไข้ขึ้นอย่างหนักจนแม่ให้หยุดเรียนพร้อมกับบอกเธอว่าผู้ชายข้างห้องย้ายออกไปอย่างกะทันหัน หนิงอิงอิงได้ยินเสียงแม่คุยกับใครสักคนข้างนอกห้องนอนเธอถึงห้องร้างที่ประตูเปิดค้างไว้ทั้งที่ไม่มีใครยุ่ง สงสัยเด็กหนุ่มคนนั้นเจอดี ใครสักคนที่คุยกับแม่เธอพูด เธอได้ยินเสียงแม่เธอเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่าหรือเธอนอนซมเพราะเจอด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะหลับไปเพราะฤทธิ์ยาลดไข้เธอได้ยินใครสักคนบอกว่าเจ้าของหอพักจะทำบุญครั้งใหญ่ล้างความอัปมงคลไป







    เนิ่นนานมาแล้ว ลั่วปิงเหอพลั้งมือฆ่าเสิ่นชิงชิวไป เขาไม่อาจเอ่ยได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ เขารู้ตัวดีว่าหากลงไม้ลงมือด้วยแรงเท่านั้นสังขารที่อ่อนแอย่อมไม่อาจรับไหว เขารู้ดีว่าเสิ่นชิงชิวจะเป็นอย่างไรเมื่อเขาทรมาณอีกฝ่ายในสภาพนั้น


    ที่เขาไม่รู้คือเมื่อเขาได้ลงมือเป็นครั้งสุดท้ายกับเสิ่นชิงชิวไปแล้วเขาจะเป็นอย่างไร


    เขาไม่รู้ตัวว่ากำลังกอดร่างเย็นซีดไร้รยางค์นานเท่าใด ไม่รู้ว่าบางอย่างที่ตรึงเขาไว้จากความบ้าคลั่งของโลกใบนี้และของซินหมัวกำลังขาดผึง เขารู้สึกถึงซินหมัวที่กำลังกลืนกินเขาผู้เป็นราชาไร้พ่ายทีละนิด

    ในช่วงบั้นปลายชีวิตแสนสั้นผิดวิสัยมารฟ้าของลั่วปิงเหอ เขาได้จองจำวิญญาณของเสิ่นชิงชิวไว้ในถ้วยดินเผาใบหนึ่งสำเร็จ ปิดยันต์ป้องกันอีกฝ่ายหนี ฝังไว้ในที่ที่มีเพียงเขาที่รู้ ทั้งยังผูกติดดวงจิตอีกฝ่ายจากการไปสู่สุขคติด้วยพัดด้ามจิ้วของอีกฝ่ายเมื่อครั้งยังมีชีวิตที่ ลงอาคมแรงกล้าเพื่อควบคุมวิญญาณตามปรารถนา  


    ราชาสามภพผู้เกรียงไกรหมดลมหายใจด้วยเสียงหัวเราะบ้าคลั่งในแบบที่ตัวเขาเองก็ไม่อาจเข้าใจ เขาเพียงแค่รู้สึกว่าใบหน้าโปร่งใสไร้ชีวิตของเสิ่นชิงชิวที่แสดงสีหน้าพยาบาทและมือไร้สัมผัสที่บีบคอเขาอย่างไร้ผลเป็นสิ่งที่เขายินดียิ่ง เขาเรียกวิญญาณเสิ่นชิงชิวสำเร็จก่อนที่ซินหมัวจะกลืนกินเขาโดยสมบูรณ์เพียงไม่กี่วินาที คนคนนั้นถูกผูกติดกับเขาชั่วนิรันดร์ เรื่องเช่นนี้จะไม่น่ายินดีได้อย่างไร



    ลั่วปิงเหอเกิดใหม่ในตระกูลที่เชี่ยวชาญด้านอาคมและไสยศาสตร์ เขามีครอบครัวที่รักเขา มีเงินทองพอใช้โดยไม่เดือดร้อน ทุกอย่างควรเป็นไปด้วยดี เขาอาจได้ดำเนินชีวิตเฉกเช่นคนทั่วไป แต่งงาน มีลูก และตายไปตามวัฏจักรชีวิต หากไม่ใช่เพราะวันหนึ่งเขาบังเอิญเจอกล่องไม้เก่าแก่หนึ่งในมรดกที่ตกทอดของบรรพบุรุษ ในกล่องนั้นมีพัดด้ามจิ้วผุพังแทบใช้งานไม่ได้วางอยู่ เขาหยิบพัดนั้นขึ้นพิจารณา กลิ่นไผ่จางยังติดค้างอยู่ราวกับเจ้าของยังไม่หายไปไหน ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเขาในชาตินี้พลั่งพรูเข้ามาราวกับสายน้ำที่ทะลักไหลหลาก เขาลืมตาขึ้นพร้อมกับน้ำตาและแววตาที่เปลี่ยนไป


    เขาตามหาถ้วยดินเผาที่บรรจุวิญญาณของเสิ่นชิงชิว ภาชนะนั้นหายสาบสูญไปจากตระกูลหลายศตวรรษ ตกสู่มือแล้วมือเล่าของผู้คนมากมายเพราะชื่อเสียงของมัน ครั้งที่เขาพยายามซ่อมแซมจิตของเสิ่นชิงชิวที่ฉีกขาดเพราะการตายอย่างทรมาณและจาการถูกกระชากจากปรโลก เขาได้สังเวยเลือดมารฟ้าของตัวเองให้เศษเสี้ยววิญญาณของเสิ่นชิงชิวได้ดื่มกินจนมีจิตมารผสานอยู่ถึงเจ็ดส่วน เพราะเหตุนี้ทำให้วิญญาณเสิ่นชิงชิวมีฤทธิ์มากกว่าผีรับใช้ทั่วไปมาก หลายคนพากันแย่งชิงเพื่อใช้งานจนกลายเป็นสินค้ามูลค่าสูงในตลาดมืดของผู้ที่ฝักใฝ่ด้านนี้


    ลั่วปิงเหอสืบหาจนได้ความว่าคนสุดท้ายที่ได้ครอบครองนั้นอาศัยอยู่ในหอพักแห่งนี้ แต่เมื่อเขาไปถึงกลับพบเพียงห้องว่างที่ถูกปิดตายที่มีกลิ่นอายไผ่อ่อนของเสิ่นชิงชิวเจือจางแทบสัมผัสไม่ได้ ไร้วี่แววผู้เช่าอยู่อาศัย เขาตัดสินใจปักหลักที่นี่เพื่อหาร่องรอยเพิ่มเติม คำบอกเล่าของเด็กผู้หญิงข้างห้องและคนละแวกนี้ทำให้เขาลองเสี่ยงเรียกวิญญาณด้วยพัดของอีกฝ่ายดู สภาพของพัดด้ามจิ้วแทบไม่อาจใช้งานได้แล้ว น่ากลัวว่าใช้เรียกวิญญาณได้ไม่ถึงห้าครั้งก็จะพังเสียก่อน เขาจึงไม่อยากใช้นัก แต่เมื่อได้ยินการตอบรับของวิญญาณที่ตามหามาตลอด เขารู้สึกราวกับหาชิ้นส่วนบางอย่างในตัวเจอ


    เขานึกชิงชังคนพวกนั้นที่กล้าแตะต้องของของเขาแต่ไม่มีกระทั่งปัญญาจะหล่อเลี้ยงวิญญาณของเสิ่นชิงชิวให้ดี แม้อาจมีคนเซ่นไหว้วิญญาณอาฆาตด้วยเลือดบ้าง แต่จิตที่ถูกเลี้ยงด้วยเลือดมารฟ้าจะสามารถพึงพอใจกับเลือดมนุษย์หรือสัตว์ได้อย่างไร การที่อีกฝ่ายมีพลังมากพอให้ทุบประตูได้นั้นเพราะพัดที่เป็นของคู่กันเรียกหาก็เท่านั้น ไร้ซึ่งอิทธิฤทธิ์ที่ควรมีโดยสิ้นเชิง


    เขาไปขอกุญแจไขห้องนั้นจากผู้ดูแลตึก หว่านล้อมและสร้างเรื่องสารพัดด้วยคารมจนได้มา การจะอัญเชิญอีกฝ่ายให้กลับมาอีกครั้งอาศัยฤกษ์ยามและช่วงเวลาเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงรีบวิ่งเพื่อไปให้ทันเวลาที่ดีที่สุดและเร็วที่สุดในการอัญเชิญ หากการคาดการณ์ของเขาไม่ผิดพลาด วิญญาณเสิ่นชิงชิวดุร้ายและมากกลไม่ต่างจากตอนที่อีกฝ่ายยังมีชีวิต คงหาทางทำลายผนึกในถ้วยดินเผานั้นสำเร็จไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สุดท้ายเมื่อผนึกถูกทำลายผู้เช่าเก่าคนนั้นที่มีความรู้ด้านนี้ติดตัวจึงทำได้เพียงผนึกอีกฝ่ายไว้ชั่วคราวในภาชนะที่ใหญ่กว่าซึ่งคือห้องนั้นแล้วหนีออกไป แต่เพราะวิญญาณเสิ่นชิงชิวขาดเลือดมารเลี้ยงมานานและได้ใช้พลังไปกับการทำลายถ้วยดินเผาไปมากโขจึงอ่อนแอจนแม้แต่ผนึกชั้นต่ำก็ยังไม่อาจทำลายได้  ลั่วปิงเหอคิดพลางพร่ำสวดคาถาและใช้วิธีการจากตระกูลในชาตินี้เพื่อคลายผนึกที่ผู้เช่าเก่ากักขังอีกฝ่ายไว้ในห้องนั้นออก


    พลังที่ติดตัวเขาจากชาติที่แล้วทำให้เขาสามารถเห็นร่างโปร่งใสของอีกฝ่ายชัดเจนทะลุจิตมารที่โอบล้อมอดีตเซียนไว้ เสิ่นชิงชิวดูย่ำแย่กว่าที่คิด อ่อนแอจนแทบไม่อาจปรากฏเป็นรูปเป็นร่างได้ กระทั่งยังส่งสายตาอาฆาตรุนแรงมาให้ ลั่วปิงเหอรู้สึกเบิกบานและหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน เศษเดนพวกนั้นที่เอาคนของเขาไปใช้งานโดยที่ไม่ดูแลอีกฝ่ายเลย


    ไม่เป็นไร จากนี้เขาจะดูแลเอง ลั่วปิงเหอคิดในใจขณะที่ชี้และตะโกนเรียกชื่อที่ติดอยู่ลึกในจิตใจตลอดไม่ว่าภพชาติไหน


    “เสิ่นชิงชิว!”


    กลุ่มก้อนสีดำเข้ามาอยู่ในความครอบครองเขา แม้ไร้พลังอิทธิฤทธิ์แต่ยังคงดิ้นรนหนีเขา กระแทกกรงที่มองไม่เห็นบนมือเขารุนแรงราวกับกำลังพ่นคำผรุสวาท เขายิ้ม อีกฝ่ายคือเสิ่นชิงชิวไม่มีผิดแน่ แล้วจึงเอาก้อนจิตนั้นเข้าห้องตนที่วางเขตอาคมกันวิญญาณออกไว้ ลั่วปิงเหอหยิบมีดที่เตรียมไว้มากรีดลงที่กลางฝ่ามือของตน กลุ่มก้อนสีดำที่ลอยเหนือฝ่ามือเขาค่อยๆลดตัวลงมาเพื่อดื่มกินเลือดที่ไหลซึมจากบาดแผลอย่างตะกละตะกลาม ยิ่งดื่มมากเท่าใดก้อนนั้นก็ยิ่งดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเท่านั้น

    ลั่วปิงเหอใช้มือข้างที่เป็นแผลนั้นกอบกุมคางอีกฝ่ายเมื่อร่างนั้นใกล้เคียงกับมนุษย์ เชยใบหน้าที่ตามหามาตลอดขึ้นมามอง เสิ่นชิงชิวผมเผ้ายุ่งเหยิง นัยน์ตาสีแดงฉานจากจิตมารสบตากลับอย่างท้าทายแม้ลิ้นจะยังไล้ละเลียดหารสเลือดที่ติดบนมือของคนที่ตนเคยเรียกขานว่าเดรัจฉานก็ตาม เสียงแฉะชื้นจากการดูดกลืนเลือดดังทั่วห้องชวนให้สะท้านและคิดเป็นอื่น


    “เท่านี้เราก็อยู่ด้วยกันตลอดไปแล้วนะครับ ซือจุน” มนุษย์คนเดียวในห้องเอ่ยเสียงนุ่มนวลราวกับคำสัญญาปลอบประโลม นัยน์ตาคมปลาบ เขาได้รับการกัดจากร่างทีไม่ใช่คนเป็นการตอบสนอง


    ลั่วปิงเหอหัวเราะ เสียงนั้นคล้ายคลึงกับเสียงในยามลมหายใจสุดท้ายของราชาสามภพในความทรงจำทั้งสองเหลือเกิน   



    ____________________________________________________________________________
    Talk
    อันนี้มาจากมีคนมาเล่าเรื่องผีแถวบ้านให้ฟังแล้วกลัวค่ะเลยเอากาวมาสู้(?) ออกมายาวกว่าที่คิดมากเลย555 ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in