ใครๆเค้าก็บอกว่าการจราจรเวียดนามมันเหี้ยมโหด ซาดิส และเลือดเย็น
ไม่เหมือนที่ไทย ที่ปล่อยให้ ติดแหงก ตายอยู่ในรถอย่างช้าๆ
คือบางทีก็สงสัยว่านี่ทางด่วนหรือลานจอดรถ
และอีกอย่างที่เหมือนจะเป็นประเพณีคู่บ้านคู่เมืองการจราจรเวียดนาม นั่นคือการบีบแตร
บีบแตรกันอยู่นั่นแหละ บีบกันอย่างกะยกมือไหว้สวัสดีทักทาย บีบกันจนคิดว่ามันเป็นภาษา
เวลาเดินข้างถนนแต่ละที.....
อีแท๊กซี่ บีบแตรทัก ประมามว่า แท็กซี่มั้ยน้อง
อีมอไซค์ บีบแตร ใส่ ประมาณว่า ระวังมอไซค์ กูกำลังมา
อีรถคันนั้น บีบแตรใส่ทางแยก ประมาณว่า ฉันกำลังจะเลี้ยวนะ
อีรถเมล์ บีบแตร ประมาณว่า กูรถใหญ่ หลบไป
อีรถถจอดอยู่เฉยๆ มันก็บีบ!
ปัดโธ่เอ้ย! กูตกใจ! รู้บ้างมั้ย!!
นี่ถ้ากูท้องอยู่เนี่ย ลูกกูทะเล็ดออกมากลางถนนแล้วนะ
วุ่นวายชิบ.. ในแต่ละวันถนนเวียดนามวุ่นวายอย่างกับสงครามเวียดนามยังมีอยู่ทั่วทุกท้องถนน
ส่วนเรื่องความน่ารำคาญไม่ต้องพูดถึง การได้ยินเสียงรถบีบแตรมันทำให้ประสาทเสียเหมือนอยู่ๆก็มีคนตะโกนคำหยาบคายใส่รัวๆ ให้เราได้ยินเป็นชุด ไม่รู้ทำไมมันต้องเดือดกันขนาดนี้ ให้ความรู้สึกที่ ทำไมต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ด้วยวะ และมันด่าใครอยู่ เอ๊ะ หรือมันแค่เตือน ...กูไปทำอะไรให้มันเคืองรึป่าว
ปิ๊นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สัด! ใครบีบ? ล้อชื่อพ่อกูหรอ! (เริ่มหลอน ภาษาแตรไปเอง)
ครั้งหนึ่งตอนเดินอยู่ข้างถนนเวียดนาม เราเดินผ่านรถบรรทุกคันนึงที่จอดอยู่เฉยๆ ในจังหวะที่เรากำลังเดินผ่าน อยู่ๆอีคนขับก็บีบแตรใส่ซะงั้น แล้วแตรรถบรรทุกนะ มันดังระดับจะทำเราตกใจขี้หูกระเด็นออกมาเต้นระบำได้เลย
ด้วยความตกใจ เราหันไปมองหน้าคนขับแบบไม่ได้ตั้งใจ
เป็นจังหวะสบตากัน ถ้าเป็นฉากในหนังมันคงเป็นจังหวะที่ตัวเอกสบตากับตัวร้าย ที่กำลังจะขับรถหนีไป เป็นสายตาที่สื่อได้ประมาณว่า
“ทำม้ะ ..ก็ผมบีบแตรไง..หรือจะไม่ให้ผมบีบก็ได้นะ เอามั้ยครับ? ”
…
นี่มันพวกปากร้าย สันดานเทวดาชัดๆ
ต่อให้เป็นผู้ชายชาติทหารใจกล้า ขนาดไหน ถ้าต้องข้ามถนนที่เวียดนามสักครั้ง ก็คิดว่าน่าจะเกิดอาการไข่หด ขมิบตูดเล็กๆ เสียวสันหลังกันขึ้นมาทั้งนั้น
เหมือนเวรกรรมที่ทำมาตอนอยู่ไทยทั้งหมดตั้งแต่ ไม่ยอมใช้สะพานลอย ข้ามถนนไม่ตรงทางม้าลาย
มันจะส่งผลออกมา ในรูปแบบ ถนนเวียดนาม
ถนนไม่มีเลนไม่พอ ฝูงมอเตอร์ไซค์มันวิ่งเร็วอย่างกะฝูงกระทิงตื่นถิ่น
โอ๊ย นี่ถ้ากูโดนรถชนตายไป จะมีใครจำศพกูได้มั้ย !
นี่ถ้าโดนรถชนที ศพกูคงกระเด็นไปถึงสิงคโปร์เลยมั้ง
แต่วงการข้ามถนนเวียดนามจะรู้ดีว่า วงการนี้ไม่เหมาะกับคนใจมนุษย์ ไม่มีรถคันไหนชะลอเปิดทางให้คนอย่างมึงข้ามทั้งนั้น
สิ่งที่เราต้องทำคือ คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า ถ้าอยากข้ามก็ต้องก้าวขาเดินไป ไม่มีทางงั้นเรอะ นี่แหละเดี๋ยวมึงเดินไปเดี๋ยวทางมันมาเอง รถจะชะลอให้เรา ทางจะเปิด แล้วเราจะเดินข้ามกันได้
เรียกได้ว่าทุกครั้งที่เราข้ามถนน เราจะต้องโชว์อภินิหารเบ่งพลังโมเสสแยกฝูงรถกันตลอดเวลา
รู้สึกใต้ตีนมีแสงทุกครั้งที่ก้าวข้ามถนน
...
เย็นวันสุดท้ายที่เวียดนาม เราแวะกินอาหารเย็นกัน ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวปูแห่งหนึ่ง ที่พนักงานโฮมสเตย์ที่เราพักแนะนำมา
เป็นร้านเล็กๆขนาดหนึ่งห้องเช่า
แต่มันอร่อยมากเลยอะ เป็นก๋วยเตี๋ยวที่เราไม่คุ้นหน้าตาอีกแล้ว
ความอร่อยมันอยู่ตั้งแต่ให้เนื้อปูเยอะ น้ำซุปอร่อย เส้นก็อมน้ำสะใจ อร่อยแทบขาดใจ นี่ถ้ามาโฮจิมินห์อีกครั้งแล้วไม่ได้กินคงใจแทบขาด…
ในระหว่างที่กำลังโกยก๋วยเตี๋ยวเข้าท้องกันอยู่ ก็มีคุณยายคนนึงเดินเข้ามาขายล็อตเตอรี่ให้กับพวกเรา
แม่อีฟจึงหยิบเงินซื้อคุณยายคนนั้น แต่ไม่เอาล็อตเตอรี่มา แม่อีฟจับมือคุณยายแล้วพยายามสื่อสารบอกคุณยายว่า
‘ยายเก็บไว้นะ เราถือว่าเราซื้อล๊อตเตอรี่ให้ยายแล้วกัน ‘
คุณยายทำท่า งงๆอย่างไม่เข้าใจ
เป็นจังหวะเดียวกับที่เรากำลังจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วเดินออกจากร้าน ข้ามถนนเพื่อจะไปอีกฝั่ง
แล้วอยู่ๆ ปาฏิหาริย์ดาวเหนือก็เกิดขึ้น
ไฟแดง ปรากฏตอนเราจะข้ามถนนพอดี๊..
เป็นภาพเหตุการณ์เพียงเสี้ยววินาที สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้อีคนไทยห้าคนวิ่งไม่คิดชีวิต เพื่อข้ามถนนให้ทันปรากฏการณ์ไฟแดง ในช่วงจังหวะแย่งชิง ทุกคนต่างวิ่งกันเอาชีวิตรอด ตอนนั้นเหมือนสิ่งรอบด้านเป็นภาพช้า ความเงียบเข้าครอบงำโลกทั้งใบอยู่พักหนึ่ง ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงแตรรถ
จังหวะใกล้ถึงถนนอีกฝั่ง ทุกคนเริ่มหันไปมองด้านหลังของแต่ละคนเพื่อเช็คว่า ทุกคนนั้นรอดปลอดภัย ครบกันทุกคน
พี่ต้าถึงฝั่งเป็นคนแรก..ตามด้วยมิ้นท์..เรา...อีฟ..และแม่อีฟ…
...และคุณยายขายล๊อตเตอรี่คนนั้น
ในจังหวะภาพช้า ภาพที่เราหันไปมองเห็นคือ แม่อีฟผู้ที่วิ่งข้ามถนนมาเป็นคนสุดท้าย แกวิ่งจูงมือคุณยายที่ขายล๊อตเตอรี่มาด้วย คุณยายอายุราวแปดสิบกึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามถนนมองหน้าแม่อีฟมาอย่างงงงวย
ประมวลจากรอยย่นบนหน้าคุณยายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อ้าปากค้างโชว์เหงือก จนฟันปลอมแทบกระเด็นหลุดออกจากปากเพราะแรงวิ่ง อีกมือหนึ่งยังถือไม้เท้า สายตาคุณยายมองหน้าแม่อีฟอย่างไม่เข้าใจ...
พวกเราก็ไม่เข้าใจ
กะ..เกิดอะไรขึ้น
ทุกคนถึงถนนอีกฝั่งอย่างปลอดภัย แล้วคุณยายก็ควบไม้เท้าหนีไปอีกทาง
อีฟ: คุณยายเค้าจะข้ามถนนเหรอ แม่
แม่อีฟ: เปล่า..แม่ไปจูงเค้ามา..
อีฟ: เอ้า แม่ไปจูงเค้ามาได้ยังไง!
แม่อีฟ: ฮ่าๆๆ แม่ก็ไม่รู้ ก็แม่เห็นว่าเราเดินออกมาพร้อมกัน แม่เลยคิดว่ายายแกน่าจะอยากข้ามด้วย
คุณแม่ไปจูงยายเค้ามาได้ยังง๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
คืองี้นะฮะ การที่คุณแม่ไปช่วยคุณยายข้ามถนนเป็นเรื่องดีน่ายกย่องนะฮะ แต่ว่าการอยู่ๆไปจูงมือยายชวนมาข้ามถนน ผิดนะฮะ ไม่ใช่นะฮะ ทำยายเค้าหน้าตื่นมากนะฮะ เล่นเอาซะยายวิ่งลืมแก่เลยนะฮะ นี่อะไร เคยเห็นแต่วิ่งกระชากสร้อย นี่วิ่งกระชากยาย
...
นี่มันฉากดราม่าบีบคั้นอารมณ์อย่างที่สุดดด
สรุปแล้ว เราหัวเราะท้องแข็ง ตลกไปกับความหวังดีของแม่อีฟที่ลากคุณยายข้ามถนนแบบอุฉกรรจ์ ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้หรอกว่าคุณยายแกเป็นใคร แต่เชื่อมั้ย พวกเรายังพูดถึงคุณยายท่านนี้กันอยู่เลย พูดถึงกี่ทีก็ตลก หวังว่าจะสบายดี สุขภาพแข็งแรง และข้ามถนนเก่งขึ้นนะ
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนกลับไทย พี่ต้าได้รับมอบหมายภารกิจจากทางบ้านให้มาตามหาของสิ่งหนึ่ง
พี่ต้า: เดี๋ยววันนี้เรา แวะหาไอ้นี่กันหน่อยนะ พอดีคุณป้าพี่ฝากซื้อ
อีฟ: อะไรหรอ
พี่ต้า: มันคือ เออ.. ที่ตัดผักบุ้ง..นี่ๆ ป้าส่งมาหน้าตามันเป็นแบบนี้ ป้าบอกที่เวียดนามมี
…
และนี่คือ ที่ตัดผักบุ้งที่พี่ต้าพูดถึง
เอาจริงดิ!
การตัดผักบุ้งมันเป็นปัญหาระดับที่ ต้องคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ออกมาเลยหรอวะ
แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อเค้าฝากซื้อมา เราก็มีหน้าที่ซื้อกลับไปก็พอ
เรามีรูปแล้ว ไม่น่ายาก แค่เรายื่นให้คนเวียดนามดูก็น่าจะได้อยู่
ภารกิจตามหา ที่ตัดผักบุ้งจึงเริ่มต้นขึ้น
เริ่มจาก สถานที่ที่น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด
ซุปเปอร์มาร์เก็ต..
เดินตรงไปถามพนักงาน
พี่ต้า: I would like to buy..this.. (โชว์รูปให้ดู)
พนักงาน: ….. (ก้มมองโทรศัพท์...โอ๊ะ เคสโทรศัพท์สวยจัง ว้าว)
พี่ต้า: … ที่นี่มีมั้ย
พนักงาน: …..(ให้คำตอบเรา เป็นหนึ่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ)
ความไม่รู้เคยปราณีใครที่ไหน
เอาใหม่ พี่เค้าอาจเป็นแค่พนักงานแคชเชียร์ลองไปถามพนักงานข้างในเลยดีกว่า
พี่ต้า: มีอันนี้ ขายมั้ย (โชว์รูปให้ดู)
พนักงานคนใหม่: ?!
ทำหน้าเหมือนไม่เคยเห็นสิ่งสิ่งนี้มาก่อน นี่มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษยชาติหรือนี่ !
มันคือ ที่ตัดผักบุ้งไงละ ไม่รู้จักหรอ ว๊าย เชย เราก็เพิ่งรู้จักเมื่อสิบนาทีที่แล้วเอง :P
...
ปรากฏว่า การตามหาที่ตัดผักบุ้งยากกว่าที่คิด เพราะไม่มีคนไหนรู้จักสิ่งประดิษฐ์ชนิดนี้สักคน
สรุป มึงออกมาจากกระเป๋าโดเรมอนใช่มั้ย!
จากซุปเปอร์มาเก็ตเริ่มย้ายออกมาถามตามร้านอาหาร ยันคนที่กำลังหั่นผักอยู่ จนรู้สึกเหมือนไม่มีคนเวียดนามเริ่มอยากสบตาพวกเรา บวกกับเวลาที่ใกล้จะหมด อีกไม่กี่นาทีพวกเราจะต้องเตรียมตัวไปสนามบินกันแล้ว อีสัด บอกกูมา ที่ตัดผักบุ้งอยู่ที่ไหน!!!!
อีฟ: ทำไมไม่มีใครรู้จัก ที่ตัดผักบุ้งเลย
พี่ต้า: นั่นดิ แต่ป้าพี่บอกว่ามีนะ
อีฟ: หรือจะลองไปดู ซุปเปอร์มาเก็ตอีกที่..
ปรากฏว่า กางแผนที่ดู ซุปเปอร์มาเก็ตอีกแห่งอยู่ไกลมาก คำนวนเวลาแล้วไปกลับไม่น่ามีเวลาพอ
พี่ต้า: ..เอางี้ เดี๋ยวพี่ซ้อนมอไซค์ไปดูคนเดียวเอง เรากลับไปเก็บของที่โรงแรมกันก่อนเถอะ
อยู่ๆ พี่ต้าก็ทำตัวเป็น คนดีกอดระเบิดวิ่งขึ้นมอเตอร์ไซค์ไประเบิดตัวตายซะงั้น
พี่ไม่หล่อ แต่พี่มีความพยายามมาก.
ก่อนที่พี่ต้าจะพลีชีพตัวเองเพื่อสิ่งประดิษฐ์ผักบุ้ง พวกเราก็ลองไปถามร้านอาหารร้านนึง จากการทึกทักเอาเองว่าร้านนี้เค้าหั่นผักสวย ออกมาแบบเครื่องในรูปที่เค้าใช้ที่หั่นผักเลย
คนขาย: โนว โนววว
อีฟ: แล้วมีที่ไหนขายบ้างมั้ย
คนขาย: ม่ายยยมี แถวนี้ไม่มีที่ไหนมีขายหรอก
พี่ต้าเกือบกอดระเบิดตายฟรี ซะแล้ว …
สุดท้าย ภารกิจตามล่าที่ตัดผักบุ้งก็ล้มเหลว พี่ต้าสั่งยกเลิกภารกิจยอมรับความพ่ายแพ้แล้วนั่งรถกลับโรงแรมไปเก็บของ
…
กลับไทยไปเมื่อไหร่จะเอามือกระชากผักบุ้งแดกแม่งทีละชิ้น ทีละชิ้น
ที่หั่นผงหั่นผักอะไร! ไม่ต้องการ!
แล้วเวลาหนึ่งวันในโฮจิมินห์ก็จบลง…
พวกเราถึงสนามบิน เช็คอินรอขึ้นเครื่อง แบบเวลาเหลือเฟือเดินเล่นใน Duty Free พยายามใช้เงินเวียดนามให้หมดก่อนกลับไทย (เพราะมันเป็นเศษ แลกกับเป็นเงินไทยไม่ได้)
เวลาสองทุ่มกว่า เครื่องบินออกจากสนามบินโฮจิมินห์อย่างไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ระหว่างบินกลับ ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยถึง 5วันที่ผ่านมา
ดูยังไง เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นที่เวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องซวย พังพินาศแค่ไหน เรื่องพวกนี้ก็เป็นได้แค่ภาพฟิลม์แผ่นเดียว ในม้วนฟิลม์ของทั้งชีวิต แน่นอนว่ามันไม่ตลกเอาซะเลยตอนที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้กับตัวเอง แต่กลับมาคิดย้อนไปอีกที ไอ้ทริปเวรๆนี่มันสนุกมากเลยนะ
ท้ายที่สุดไม่ว่าทริปไหน อะไรๆมันก็ไม่ได้สำคัญ ต่อให้ฝนมันจะตก ไปโดนเค้าโกง ไฟลท์บินดีเลย์ กล้องพัง ทำของหาย ยังไงก็แล้วแต่ แค่เรามีคนที่พร้อมจะไปด้วยกับเรา แค่นั้นมันก็คุ้มแล้วจริงๆ
‘ขณะนี้ เวลา สามทุ่ม ยี่สิบนาที เครื่องกำลังลงจอดที่ สนามบินดอนเมือง ประเทศไทย…’
เสียงประกาศวิ่งมาตามสายลำโพงในเครื่องบิน ปลุกมิ้นท์ตื่นอย่าง งัวเงีย
อีฟชะโงกหน้าหันหลังมาทักทาย
อีฟ: ถึงแล้วๆ
มิ้นท์: หืมมม..มม ถึงแล้วหรออ..อ (หาว)
..
เรา: นี่ ถ้ารอบหน้าให้มาเวียดนามกันอีกจะมาด้วยกันอีกมั้ย?
อีฟยิ้มด้วยแววตาซุกซนก่อนสบตากับมิ้นท์ แล้วทั้งสองก็หันมามองหน้าเรา
และพูดว่า
"ไปสิ.."
ขอบคุณที่มีทริปเวียดนามครั้งนี้เกิดขึ้น :)
“... And in this moment I swear, we are infinite.”
― Stephen Chbosky, The Perks of Being a Wallflower
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in