เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
โตเกียวเที่ยวแรกในแบบของเราSor Winchester
001 : ใครว่าโทไดเข้ายาก
  • หลังจากที่เตรียมตัวเสร็จหมดแล้ว  เปิดแพลนเที่ยวออกดูแล้วพบว่า  ทริปนี้ส่วนหนึ่งจะเป็นการตามรอยโลเคชั่นหนัง การ์ตูน  และเป็นการตามหาของกิน  ส่วนแลนมาร์คหรือที่เที่ยวดัง ๆ นั้นไม่ได้สนใจมาก (ยกเว้นฟูจิซัง) คือไปก็ได้  ไม่ไปก็ไม่เป็นไร  ส่วนซากุระก็คิดว่าถ้าเจอก็ดี  ไม่เจอก็ไม่ซีเรียส (ไม่งั้นคงเลือกช่วงฟูลบลูมไปแล้ว)

    ไฟลท์ที่เราเดินทางคือ NH808 บินกับ ANA เวลา 00:30 ในใจนี่ก็กรี๊ดเล็กน้อย  คาดหวังว่าจะได้เจอกัปตันหล่อ ๆ แบบโคไพลอทชินไค (จากละครเรื่อง Good luck ที่ทาคุยะเล่นเมื่อปี 2003) แต่พอระลึกได้ว่ากัปตันเขาก็อยู่ในเคบินป่าววะ  จะเจอได้ยังไง  ความตื่นเต้นก็หายไป  ในใจเหลือแค่ว่า  เออ ถึงเร็ว ๆ ก็ดี  อยากเที่ยวแล้ว



    ก่อนบิน : กะนอนให้เต็มคราบ  ตื่นเช้ามาก็เที่ยวเลย  บินฟูลเซอร์วิสต้องทับใจแน่นอน

    หลังบิน : แทบไม่ได้นอนเลย พอตั้งท่าจะหลับลูกเรือก็เสิร์ฟของว่าง  พออิ่มก็ตั้งท่าจะนอน  ปิดไฟละ  คนข้าง ๆ ก็ไม่รู้นึกขยันยังไงเปิดไฟข้างบนเขียนใบเข้าเมือง (ทำไมรีบ T___T) นางเขียนเสร็จก็ปิดไฟ  โอเค เริ่มเคลิ้ม ๆ จะหลับ  สักพักเด็กร้องอีก โอยยยย หุบปากเถอะ ขอนอนหน่อย  สักพักเงียบ  แล้วไฟจากจอของคนด้านหน้าแยงเข้าตาอีก  สรุปดู Big Short กับพี่เขาจนจบเรื่องเลย  ฮืออออ พองีบไปได้สักพัก  ตื่นขึ้นมา  อ่ะ นั่งดู Carol ไปกับคนข้าง ๆ ก็ได้  สรุปคือแทบไม่ได้นอน  ซอมบี้มาก  คืนก่อนเดินทางก็แทบไม่ได้นอนเลย  คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะไหวไหม  เราต้องไหวสิ  เราแข็งแรง  เรายังไม่แก่นะ (สะกดจิตตัวเองซ้ำไปซ้ำมา)



    ก่อนเดินทางก็โพสรูปนี้ลง IG ด้วย  เดี๋ยวผิดธรรมเนียมการท่องเที่ยวของชาวอินสตาเกรี้ยน


    ประมาณ 8:25 น. ตามเวลาของญี่ปุ่น  เราก็เดินทางถึงนาริตะโดยสวัสดิภาพ  แต่ยังกังวลนิดหน่อยเพราะยังไม่ได้ผ่าน ตม. ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฟังเพื่อนบ่นเรื่องความเข้มงวดของตม.เกาหลีมากไปหรือเปล่าเลยรู้สึกได้รับผลกระทบไปด้วย  ในใจก็คิดไปว่า เฮ้ย! ตรงช่องอาชีพเราเนี่ย lawyer นะ  บัตรก็มี คงไม่มีปัญหาง่าย ๆ หรอก  แต่ก็คิดเผื่อไว้แล้วว่าจะเอาไรโชว์ให้ดูบ้าง  แพลนเที่ยว  เอกสาร  ใบจองอะไรพร้อมหมด  สรุปเขาก็ไม่ได้ถามอะไรเลย  ให้ผ่านมาง่าย ๆ  แต่สะดุดตรงนิดนึงที่ศุลกากร  เขาอาจจะเป็นญาติกับเจ้าหนูจัมไม  คือสงสัยทุกอย่างที่อยู่ในกระเป๋า  หยิบสายชาร์จพาเวอร์แบงค์ขึ้นมา  ถามว่านี่อะไร  ใช้กับคอมพิวเตอร์เหรอ  เราบอกใช้กับพาเวอร์แบงค์  พี่แกทำหน้างง ๆ  สักพักหยิบพาเวอร์แบงค์ลายไม้ของอีลูปขึ้นมาถาม  นี่อะไร  แบตเตอรี่เหรอ  เราก็บอก  ใช่ ๆ  ทีนี้หยิบอีกก้อน  ถามว่านี่อะไร  แบตเตอรี่เหมือนกันป่าว  ของญี่ปุ่นใช่ไหม  (เราพก 2 ก้อนไง)  เราก็ตอบไป  ไฮ่ ๆ  พานาโซนิคคุ  เขาก็หัวเราะอย่างพึงพอใจ (แหม อิชาตินิยม)  แล้วหยิบเลนส์เพนขึ้นมาพร้อมทำสีหน้าสงสัยระดับ 10 ถามว่านี่อะไร  เราก็ตอบไปอีก  เลนส์เพนเดส  อ่า…  คาเมร่า ๆ  (ทำท่าใช้ให้ดู)  นางก็อ๋ออออออออออ  แล้วก็บอกเราว่ากู๊ดลัค  ขี้สงสัยมาก  ในขณะที่พี่เราผ่านไปง่าย ๆ เลย (ถ้าหล่อก็อยากคุยด้วยให้นานกว่านี้นะ 555555)


    พอพ้นจากศุลกากรมาแล้ว  พี่เราก็เอาใบจองรถไฟเข้าเมืองสาย Keisei Skyliner ออกมา  เพื่อไปรับตั๋ว  เคาน์เตอร์นี่เดินออกมาก็จะเจอเลยนะ  ตอนแรกก็สงสัยทำไมมันตั้งป้ายว่า Closed แล้วก็มารู้ว่า อ๋อ... ข้างล่างมันก็มีเคาน์เตอร์ขายตั๋วอีกนี่นา  แต่ถ้าใครไม่ได้จองก็ซื้อเอาตอนจะเดินทางเลยก็ได้  ข้างล่างตรงสถานี(?)ก็มีเคาน์เตอร์อีก  ส่วนน้องที่ดีอย่างเราก็ยืนมองซ้ายมองขวา  ถ่ายรูปนิดหน่อย (ไม่อยากขยับตัว)  หันไป  อ๊ะ…  นั่นนิโนะ  (หยิบกล้องขึ้นมากด)  ติ่งนี่อยู่ที่ไหนมันก็ติ่งจริง ๆ


    มองไปทางซ้ายมือก็จะเห็นเจ๊คนนึงยืนต้อนรับ(?)อยู่  ลงบันไดเลื่อนไปตามป้ายก็จะเจอสถานีรถไฟเข้าเมือง

    ได้เที่ยว 9.15  เร็วกว่าที่คิดไว้ประมาณชั่วโมงนึงอ่ะ  คือตั๋วนี่เราจองโดยระบุวันเอาไว้  ส่วนเที่ยวค่อยมาเลือกเอา


    ก่อนจะออกจากสนามบิน  ดูสภาพอากาศแล้วน่าจะหนาวเอาเรื่อง  มนุษย์เมืองร้อนอย่างเราก็เลยเปิดกระเป๋าเอาเสื้อโค้ทออกมาสวม  พอลงไปตรงสถานีเท่านั้นแหละ  โอ้โหหหหห หนาวอ่ะ  ขนาดยังไม่ออกไปข้างนอกนะ  เราเลยไปซื้อชาร้อนตรงแฟมิลี่มาร์ทหน้าสถานีเพื่อแตกตังค์  พอดื่มชาร้อนเข้าไปแล้วรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย  อาห์~~

    ตัวร้านนี่ถ่ายขากลับนะ  ขามามัวแต่ส่องว่าในตู้อะไรน่าจะอร่อยสุด

    ชาราคา 325 เยน

    หลังจากนั้นก็เข้ามาในสถานี  ความจริงมันก็มีบอกไว้หมดแล้วว่าต้องไปชานชาลาไหน  นั่งขบวนไหน  แต่เราเกือบไปผิดชานชาลาด้วยล่ะ  ไม่รู้อะไรทำให้คิดว่าสกายไลเนอร์มันต้องไปตามป้ายสีน้ำเงิน 555555555 ความจริงมันคือสีส้มนะ  ชานชาลา 4 สีส้ม  จำไว้

    ปลายทางของเราอยู่ที่ Ueno  พอ 10.04 เป๊ะ ๆ ก็ถึงสถานี  แบบไม่มีเลท  (รู้สึกอยู่ ๆ คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้นมา)


    พอถึงสถานี Keisei Ueno เราก็เดินลากกระเป๋าขลุก ๆ ไปที่สถานี JR Ueno เพื่อฝากกระเป๋า

    ออกมาหน้าสถานี Keisei ก็จะเจอแบบนี้  ไม่หลงหรอก

    แต่…  ไปมึนอยู่ในสถานีเพื่อหาจุดฝากกระเป๋า  ตอนแรกเดินมั่วลงไปทาง Ginza Line  เจอตู้แบบเก่าที่เต็มหมดทุกช่องเลยย้อนกลับขึ้นมา แล้วก็เจอป้ายอันเท่าบ้าน  เป็นจุดฝากกระเป๋าที่มีล็อกเกอร์เยอะมากกกกก เลือกเอาเลย  จะเอาไซส์ไหน  มันอยู่ใกล้ ๆ Central Gate  ฝั่ง Asakusa Exit

    จากในรูปนี่คือด้านในยังมีล็อกเกอร์อีกประมาณ 4-5 แถวได้มั้ง  ราคาต่อวัน  ไซส์เล็กคือ 300 เยน  ไซส์ใหญ่แบบใส่กระเป๋าเดินทางได้ 1 ใบ (และใบจิ๋วๆ) ราคา 600 เยน  ความทับใจนี่คือ  มันสามารถใช้ IC card (พวก suica , pasmo) ได้ด้วยอะ  อย่างที่บอก…  เราสนใจข้อมูลเฉพาะอย่าง  เลยไม่รู้ว่าล็อกเกอร์ฝากของมันทำแบบนี้ได้ด้วย  555555555555555

    วิธีการคือ

    1.ถ้าล็อกเกอร์ที่ว่างอยู่  จะมีไฟสีเขียวขึ้น  เราก็เปิดตู้  ใส่ของเข้าไป

    2.ปิดตู้แล้วกดล็อก  หน้าจอมันก็ขึ้นว่า คุณใส่ของเข้าไปในล็อกเกอร์เบอร์นี้นะ  เราก็จิ้มไปตรงตู้  แล้วมันจะให้เราเลือกว่าจะจ่ายด้วยวิธีไหน  จะใช้ IC Card หรือหยอดเหรียญ  เราเลือกวิธีหยอดเหรียญ  พอหยอดเสร็จมันจะให้ใบเสร็จมา  บนใบเสร็จจะมี QR Code เวลามาเอาของก็เอา QR Code นี้แหละ  สแกนปี๊บ ๆ ตู้มันก็จะเปิดให้  แต่ถ้าหายนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันต้องทำไง  ยังไม่ได้ลองทำหาย

    3.ส่วนใครที่เลือกจ่ายด้วย IC Card ก็แปะการ์ดไปเลย  เวลามาเอาของก็ใช้การ์ดนี่แหละแปะเอา  มันจำได้  ใช้การ์ดจะค่อนข้างสะดวกกว่ามาก  ส่วนถ้าทำการ์ดหายจะเอาของยังไง  นี่ก็ยังไม่ได้ลอง

    (อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าคุณภาพชีวิตดีอีกแล้ว)

    ทางไปล็อกเกอร์  เชื่อป้ายแล้วชีวิตจะดี  นอกจากนั้นยังต้องช่างสังเกตด้วยประมาณนึง 555555


    พอฝากของเสร็จก็มาซื้อ Suica Card หรือบัตรกวิ้น(เราเรียกเอง) เป็นบัตรที่ทำให้ชีวิตดีมากนอกจากจะใช้ได้เกือบทุกสถานีแล้วยังจะใช้ซื้อของในคอนบินิ  หรือร้านอื่น ๆ  หรือใช้จ่ายตอนฝากของในล็อกเกอร์  แม้กระทั่งตู้กดน้ำบางตู้ก็ยังใช้ได้  ถ้าอยู่ประมาณอาทิตย์นึงเลือกแบบ 10,000 เยนไปได้เลย  คุ้ม  วิธีการซื้อก็ไม่ยาก  มีคนทำรีวิวไว้เยอะ  ทั้งแบบภาษาไทย  หรือแม้กระทั่งวิดีโอใน youtube 555555 แต่ต่อให้ไม่มีรีวิวเราก็ว่ายังซื้อง่ายกว่าบัตรโดยสารรถไฟฟ้าของบางประเทศอีก  ไม่ต้องไปต่อแถวเพื่อแลกเหรียญแล้วมาหยอดตู้อีกที  อิ___อิ


    พอซื้อบัตรกวิ้นเสร็จแล้วก็พร้อมออกเดินทาง  ตั้งใจว่ามื้อแรกจะไปกินข้าวที่โทได  แล้วก็เดินเล่นแถว ๆ นั้น  แต่ยังไม่ทันจะออกจากสถานีเราก็เจอพุดดิ้งขวดหน้าตาน่ารัก  เห็นเอริโกะกำลังเรียงขวดพุดดิ้งใส่ตู้เลยไปยืนดู  เห็นมีเลข 1 อยู่ด้วยเลยคิดว่าคงน่าจะอร่อย (เป็นตรรกะที่….) แต่เอาเข้าจริงเราโดนขวดมันดึงดูดล่ะ  เลยหันไปคุยกับพี่ว่าเราซื้อนี่ไปนั่งกินในโทไดกันดีไหม  พี่ก็โอเค  เลยสอยมาขวดนึง (ซื้อขวดเล็กเพื่อความปลอดภัย)

    เรามารู้ทีหลังว่าร้านมันไม่ได้ตั้งอยู่ถาวร  แค่มาออกบูธชั่วคราว  เพราะวันจะกลับเราเห็นมันไม่อยู่แล้ว  ชื่อร้าน(?) koujiya  หาไปหามาร้านนี้เป็นของดีจากเมือง Ise จังหวัด Mie ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉี่ยงเหนือของคันไซ  โอยยย พี่เขามาไกลอ่ะ  ประมาณว่าเดิน ๆ อยู่หัวลำโพงเราก็เจอพุดดิ้งจากจังหวัดสกลนครมาออกบูธงี้  


    หลังจากโดนกับดักพุดดิ้งไปแล้ว  เราก็หาทางไปโทไดกันต่อ  จากการปรึกษาท่านไฮเปอร์เดียแล้วได้ข้อมูลว่า  เราจะต้องเดินไปสถานีรถไฟใต้ดิน Ueno-Okachimachi (คนละสถานีกับ JR นะ) เพื่อนั่ง Oedo Line ไปลงสถานี Honga-sanchome แล้วก็เดินไปโทไดกัน


    พอเดินออกมานอกสถานี  มองซ้ายมองขวาก็จะเจอป้ายนี่  ไปประตูแดงทางนี้นะจ๊ะ  ช่างโด่งดังเสียนี่กระไร


    ระหว่างทางก็เดินดูรอบ ๆ ตัวไปเรื่อย  ไม่รู้เป็นเพราะวันอาทิตย์หรือนี่คือปกติของย่านนี้  คนไม่ค่อยมี  ดูเงียบสงบ  รู้สึกชอบมาก ๆ  ถนนก็โล่งจนอยากจะลงไปเดินตรงกลาง (เดี๋ยวนะ…) จะว่าไปแล้วอากาศก็หนาวกว่าที่คิด วันนี้เมฆเยอะจนมองไม่เห็นท้องฟ้าเลย


    เดินตรงมาเรื่อย ๆ ก็จะเจอกำแพงแดง ๆ :)  รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา 2 ขีด

    พอมาถึงประตูแดงก็เจอนักท่องเที่ยวจีน(มั้ง) กำลังถ่ายรูปกัน  เคยอ่านเจอว่าถ้าใครลอดผ่านประตูแดงนี้จะสอบเข้าโทไดได้  พอมองดูแล้วนี่คิดในใจว่านี่หรือคือที่ที่เคทาโร่กับนารุ (จาก Love Hina) อยากเข้า  พอมองแล้วให้ความรู้สึกเหมือนทางเข้าวัดอย่างไรอย่างนั้นแหละ  สวยกว่าที่คิดนะ  ถ้าได้ฟ้าใส ๆ คงดีจะมาก ๆ เลย

    เดินไปอีกนิด  ก็จะเจอทางเข้าหลัก  รู้สึกว่าทางนี้คนจะเข้าเยอะกว่า  พอมองเข้าไปก็จะเห็นต้นอิโจวโกร๋น ๆ เรียงรายไปจนถึงหอนาฬิกา  ถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นสีเหลืองอร่ามสวยงาม (ดูจากรูปของคนอื่น)  พอดู ๆ แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามาตอนใบไม้ร่วงก็น่าจะดี  คงสวยกว่านี้  แต่จากที่เราเห็นเราว่ามหาลัยสวยมากเลยนะ  ตัวตึกเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเกือบหมดเลย  ให้ความรู้สึกเหมือนพวกมหาลัยทางยุโรป  สวยมาก  มองตึกสวย ๆ ก็เพลินแล้ว

    นอกจากเราก็มีนักท่องเที่ยวจีนที่มากับไกด์ส่วนตัว  ตอนแรกเขาพูดภาษาญี่ปุ่นกับเรา  ขอให้ถ่ายรูปให้  พอบอกว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่นเขาก็ถาม  คนไทยเหรอ (ฉลาดอ่ะ  ดีจัง ไม่มีการถามว่าไต้หวันเหรอ 5555555 )  พอถ่ายรูปให้เขาเสร็จเขาก็ถามว่าจะให้ถ่ายให้ไหม  เราบอกว่าไม่เป็นไร ๆ  แล้วก็แจกยิ้มสยามก่อนจะเดินไปทางอื่นเพราะหันไปเห็นต้นอะไรชมพู ๆ

    ซาโต้กำลังถ่ายภาพก้อนบุตรชายของเขาอยู่


    และผลจากการส่องพบว่ามันคือดอกบ๊วยนั่นเอง  สวยดีนะ  ขนาดฟ้าขาวยังสวยเลย  เราถ่ายยังไงก็ไม่สวยเท่าตาเห็น

    หลังจากมองไปรอบตัวพบว่ามันบานอยู่ต้นเดียว  เลยเดินไปนั่งแล้วเอาพุดดิ้งออกมานั่งกิน  อร่อยมากกกกกกก พุดดิ้งโคจิยะอร่อยมากกกกกกก ไม่รู้จะอธิบายความอร่อยยังไงดี  เนื้อมันเนียน  นุ่ม ไม่หวานมากเกินไป  คือมันอร่อยกว่าพุดดิ้งทั้งมวลที่เคยกินมา T___T

    ระหว่างกินก็นั่งมองนั่นมองนี่ไปด้วย  พบว่าที่นี่ก็คล้าย ๆ สวนสาธารณะ  มีเด็กมาวิ่งเล่นด้วยกัน  พ่อแม่พาลูกมาเดินเล่น  เราเห็นจักรยานสีชมพูจอดทิ้งไว้อยู่โดด ๆ ก็นึกสงสัยว่าจักรยานใคร  สักพักเด็กที่เล่นอยู่อีกทางก็เดินกลับมาปั่นจักรยานกลับบ้านโบกมือบ๊ายบายเด็กอีกคนที่มีพ่อมารับกลับ  เช่ ! นี่มันเหมือนในละครที่เคยดูมาก ๆ  เด็กสองคนโบกมือแล้วพูด ‘บ๊ายยยย บายยยยย’ จนกระทั่งลับสายตาไป



    พอกินพุดดิ้งเสร็จก็เริ่มรู้สึกหิว  เลยเดินกลับไปตรงหอนาฬิกา  เคยอ่านเจอในรีวิวว่ามีโรงอาหารอยู่ข้างใต้ตึก  อาหารอร่อยและราคาถูก  เราเลยเดินกลับไปทางนั้น 


    ทางลงไปโรงอาหารหาไม่ยาก  เท่าที่เราเห็นจะมีทางลง 2 ทาง  เดิน ๆ อยู่ก็เจอป้ายนี้  ถ้าหันหน้าเข้าตึกจะอยู่ทางขวามือ มีเวลาเปิดปิดบอกอยู่ตรงทางเข้า วันหยุดเปิดถึงแค่บ่าย 2 นะ ตอนเราไปถึงนี่ยังไม่เที่ยงเลย  แต่หิวแล้ว 5555



    วิธีการสั่งอาหารก็ไม่ยาก  มันจะมีตู้ที่โชว์ม็อคอัพอยู่พร้อมเบอร์ว่าอาหารเซ็ตนี้เบอร์อะไร  พอเลือกได้แล้วก็เดินไปบอกคุณป้าว่าจะเอาเซ็ตนี้นะคะ  แน่นอนว่าสามารถใช้บัตรกวิ้นจ่ายได้  ชอบจัง  ปกติแล้วมันจะมีอยู่ 20 กว่าเมนู  แต่เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์เลยมีให้เลือกไม่เยอะเท่าไหร่


    พอจ่ายตังค์เสร็จก็เอาใบนี้ไปให้คุณป้าที่โรงอาหาร  1 เซ็ต 550 เยน ปกติแล้วเขาก็แบ่งเป็น 2 ด้าน  ด้านที่เป็นข้าวกับบะหมี่  แต่วันนี้วันหยุดเลยเปิดแค่ด้านเดียว  คนก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่



    อร่อยมาก  ข้าวมื้อแรก  ส่วนของพี่เราสั่งเนื้ออะไรสักอย่าง  ข้างในเป็นไส้ชีส  อร่อยยยยยย


    พออิ่มแล้วยกถาดไปเก็บ  มีรางเลื่อน ๆ เข้าไปด้านในห้องล้างจาน  หลังจากนั้นเรากับพี่ก็เดินออกมาหาน้ำดื่มและของหวานกิน  ตอนนั้นยังหาไอติม ROYCE ไม่เจอเลยหยิบไอติมอันนี้มาก่อน  เป็นไอติมนมที่มีสตรอเบอร์รี่  มันนมมากกกก เหมือนชงนมแล้วเอาไปแช่ช่องฟรีซ  ส่วนสตรอเบอร์รี่นั้นเป็นแบบฝานบาง ๆ อร่อยดีนะ


    และแล้วมื้อแรกก็เสร็จสมบูรณ์  ได้เข้าโทไดและออกจากโทไดเรียบร้อย  เดิมทีตั้งใจว่าจะไปหาโลเคชั่นในเรื่อง Galileo ด้วย  แต่หนาวมาก  และมหาลัยก็กว้าง  เลยบอกพี่ว่าไม่เป็นไร  แค่ได้มาดูตรงหอนาฬิกาก็พอใจแล้ว  แถมยังได้ดูดอกบ๊วยอีก  มันสวยกว่าที่คิดนะ   เราคิดว่ามหาลัยโตเกียวหรือโทไดในวันหยุดนี่ก็คล้าย ๆ สวนสาธารณะเลย  มีคนมาเดินเล่นพักผ่อนกันในวันหยุด  บรรยากาศมันดี  มองไปทางในก็รู้สึกเงียบสงบ  แต่วันธรรมดาหรือวันที่นักศึกษามีเรียนคงไม่ใช่สภาพนี้ล่ะมั้ง :) 


    ไว้โอกาสหน้าจะกลับมา(กินข้าว)อีกนะ 


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in