เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
books n movies review (เก่า)Fahrtwind
Lost in Translation ตามติดชีวิตคนเหงา

  • 2003
    Director & Writer : Sofia Coppola
    Stars : Bill Murray , Scarlett  Johansson

    ชอบโปสเตอร์อันนี้จัง สวยละมุนมาก
    เป็นหนังที่ได้ยินชื่อเสียงและอยากดูมานานแล้ว อยากรู้ว่ามันจะเหงาขนาดไหนและเราจะหลับหรือไม่ ในที่สุดก็ถึงคราวได้ดูเสียที แค่รูปก็เหงาแล้ววว
    หากถามว่าหลับมั้ย? ขอบอกเลยว่าหลับ ตอนเริ่มเรื่องมาเราตั้งใจดูนะ แรกๆเราว่าสนุกอยู่ แต่พอไปกลางๆเรื่อง เริ่มไม่ไหวแล้ว ขอสักงีบละกัน แต่หลังจากไปงีบแล้วกลับมาดูต่อครึ่งหลัง อาจจะเป็นเพราะว่าเราได้นอนอิ่ม ชินกับภาพหนังหรืออะไรไม่รู้ หนังดูเพลินมาก เพลินจนแบบพอรู้สึกว่าเรื่องเหมือนจะจบเลยกดดูว่ามันเหลือกี่นาทีแล้วต้องตกใจอ่ะ เหมือนพึ่งดูไปแปบเดียวเอง จะจบแล้วอ่อ คือครึ่งหลังที่ดูก็เหลือเกือบชั่วโมงได้ นี่ฉันหลงเข้าไปในแดนคนเหงาแล้วหรือ!!555

    หนังมันก็จะดำเนินไปเรื่อยๆ สบายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนและแสดงความเป็นญี่ปุ่นออกมาได้พอสมควร ก็เรื่องมันในญี่ปุ่นมั้ยละเธอ! 
    พระเอกมาถ่ายโฆษณาที่ญี่ปุ่น เขารู้สึกอึดอัดมาก เพราะคุยกับคนญี่ปุ่นไม่ค่อยรู้เรื่อง โดยเฉพาะอิผู้กำกับโฆษณา (คัตโตะ! คัตโตะ! อาร๊ายยแกร) คือพูดเสียงดังใส่อารมณ์และพูดยาวมาก พอล่ามแปลก็แปลออกมานิดเดียว คือแบบว้อยย!! และขำหน้าพระเอกที่โคตรเบื่อโลก555 ถ้านี่รู้ว่าเขาพูดญี่ปุ่นว่าอะไรคงจะขำหนักกว่านี้อีก ไหนจะมีผู้หญิงที่ส่งมาบริการ... แหม่!!และอื่นๆไปดูเอา ทางฝั่งนางเอกก็ตามแฟนที่เป็นตากล้องมาทำงาน พอแฟนไปทำงานก็ต้องอยู่ห้องคนเดียว พยายามออกไปข้างนอกก็เหงายิ่งกว่าเก่าอีก เจอคนมากมายแต่ยังเหงาอยู่นี่มันเจ็บปวดกว่าอยู่คนเดียวอีกเด้อ พอโทรไปหาเพื่อน เพื่อนก็ไม่ค่อยอยากคุย นางก็ได้แต่นั่งโดดเดี่ยวในห้องรอเวลาที่แฟนจะกลับมา
    พอพระนางมาเจอกันก็คุยกันถูกคอ มีอะไรคล้ายๆกัน ใช้ภาษาเดียวกัน ทั้งภาษาพูดและภาษาแห่งความรู้สึก ชีวิตคู่ก็ไม่ราบรื่นเหมือนกันอีกก มันช่างลงล็อค พรหมลิขิตบันดาลชักพาไรขนาดนี้ ก็เลยสนิทกันง่าย จนอาจจะมีเกินเลยนิดๆ(เราว่ามันเหมือนพ่อลูกก) ชวนกันออกไปเที่ยวคลายเหงา พูดระบายความในใจ  เหมือนเราได้ไปตามติดชีวิตคนเหงาๆ เหงาด้วยสภาพแวดล้อม ด้วยคน ที่ต่างไปจากความคุ้นเคย
    ส่วนตัวแล้วก็ชอบในระดับนึงนะ ไม่ถึงขั้นต้องการอยากดูอีก แต่ถ้าได้ดูอีกก็ไม่เป็นไรอ่ะ หนังมันก็ไปเรื่อยๆ เรียบง่ายทั้งบททั้งภาพ จริงๆมันคือชีวิตธรรมดาที่เห็นได้ทั่วไปนั่นแหละ เรื่องภาพนี่เราชอบภาพมากเลยนะ มุมภาพ สีภาพมันดูธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งมาก มันรู้สึกถึงความญี่ปุ่นอ่ะความเรียบง่ายแบบนี้ ดูแล้วก็เหงาไปด้วย ซึ่งนี่แหละเสน่ห์ของมัน   

    และอีกเสน่ห์หนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ "เพลงประกอบ" (จะมีหนังเรื่องไหนที่ฉันจะไม่ไปตามฟังเพลงหลังดูจบบ้างเนี่ยย) ที่เราชอบหลักๆคือ 2 เพลงนี้เลย Kaze Wo Atsumete  ของ Happy End ซึ่งเคยสร้างความประทับใจให้เราจาก Back Number ที่ประกอบ Tomorrow I will date with yesterday's you (เรื่องนี้ก็เศร้าจริง) มาแล้ว กับอีกหนึ่งเพลงคือ Just Like Honey ของ The Jesus And Mary Chain ที่เป็นเพลงตอนจบของเรื่อง แค่ขึ้นอินโทรมาเราก็ชอบแล้ว





    ขอจบด้วยซีนที่ชอบละกัน     และ...สกาเล็ตใสมากก ไม่ต้องแต่งอะไรก็สวย น่ารักอ่าา ฉันรักกเค้าาา

     








Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in