เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryYui Hirasawa
First blood
  • เป็นอีกวันที่ตื่นสายเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์บอกผมว่า 12.30 น. เป็นตัวเลขที่บ่งบอกว่าผมควรตื่นออกจากเตียงได้แล้วและสิ่งแรกที่ทำตอนตื่นนอนผมเดินไปเปิดคอมเป็นอันดับแรกผมเป็นพวกที่เป็นโรคเสพติดต้องเปิดเพลงฟังก่อนเข้าห้องน้ำเสมอจนติดเป็นนิสัย และระหว่างที่กำลังค้นหาเพลงโปรดอยู่นั้นเสียงเตือนจากแชททาง Facebook ก็ดังขึ้นผมเปลี่ยนจุดสนใจไปหาข้อความนั้นในทันทีแล้วได้ความว่าเพื่อนทักมาชวนผมให้ไปเป็นเพื่อนไปบริจาคเลือดที่โรงพยายบาล

    ผมตอบตกลงไปโดยไม่ต้องสงสัย  เพราะปกติจะเป็นคนที่ไม่ชอบปฎิเสธคนมาแต่ไหนแต่ไรจนเพื่อนเพื่อนบอกเวลาจะนัดกันไปไหนหรือมีกิจกรรมอะไรแทบไม่ต้องมาถามผมเพราะเพื่อนจะรู้ว่าคำตอบที่จะได้กลับไปคือ ......."แล้วแต่".......เป็นคนเดาทางไม่ค่อยยาก

    พอถึงเวลาที่เพื่อนและผมได้นัดหมายกันก็พากันเดินทางไปที่โรงพยาบาลก็ใช้เวลาเดินทางไม่เกินสามสิบนาทีก็ไปถึงก็รีบพากันไปที่ห้องรับบริจาคโลหิตแต่ผลที่ได้กลับมาต้องผิดหวังเพราะความดันของเพื่อนมันเกินกว่าค่าที่เขาได้กำหนดไว้เป็นเหตุให้ต้องพากันกลับโดยปริยายเรื่องราวในครั้งนี้ทำให้ผมนึกย้อนไปในตอนที่ตัวเองไปบริจาคเลือดครั้งแรกใน " ชีวิต " (จะเป็นยังไงต้องดูกันไป...ยาวๆ)

    ผมจำได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ผม  อยากไปบริจาคเลือดดูสักครั้งในชีวิตเพราะมีแคมเปญหนึ่งที่ถูกจัดขึ้นมาเกี่ยวกับไอดอลสาวที่ผมชอบอยู่คนหนึ่งมันเลยเป็นแรงจูงใจหลักในการไปบริจาคเลือดในครั้งนี้เพราะได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นและช่วยตอบสนองในสิ่งที่ตัวเองชอบด้วยไปในตัว  เมื่อตกลงปลงใจทุกอย่างเสร็จสรรพอย่างแรกคือหาข้อมูลเส้นทางเพราะตัวผมเป็นเด็กต่างจังหวัดที่พึ่งมาอยู่กรุงเทพได้ไม่ถึงสองเดือนพอศึกษาเส้นทางไว้เป็นอย่างดีและเป้าหมายที่จะไปคือสภากาชาดต่อมาที่ยากกว่าคือการนอนมันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผมมากเพราะโดยปกติของทุกวันไม่มีวันไหนเลยที่จะนอนก่อน ตี 2 ผมเลยคิดหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองพักผ่อนได้เร็วและข้อสรุปที่ได้หลังจากทำข้อตกลงกับตัวเองคือ ผมต้องนอนไม่เกินเที่ยงคืนและเริ่มทำพันธสัญญากับตัวเองก่อนที่จะถึงวันนัดหมายในอีกไม่กี่วัน  (ผลที่ออกมาก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่ก็พอให้อภัยได้...เรื่องของการนอน)

    และวันนั้นก็มาถึงผมตื่นแต่เช้าเช้ากว่าทุกวันที่เคยตื่น  แต่สิ่งที่มาตอนรับผมของเช้าวันนั้นผมจำได้เป็นอย่างดี  "ฝน" ครับไม่ใช่ชื่อของเด็กผู้หญิงนะ แต่มันคือพายุฝนที่ตกหนักมากแล้วไม่มีทีท่าว่าจะหยุดผมนั่งคอยมองดูฝนผ่านหน้าต่างของห้อง  ผมทำอยู่อย่างนั้นจนเวลาผ่านไปหลายต่อหลายชั่วโมงผมเลยคิดในใจมันเริ่มไม่เข้าท่าแล้วจะทำยังไงดีจะหยิบยืมความเชื่อแบบโบราณที่เอาตะไคร้ไปปักก็ยังไงๆอยู่ถึงมันจะได้ผลแต่ในตู้เย็นก็มีแต่ ผักชี, หัวหอม, แครอท, มะนาว ถ้าตอนนั้นเวทย์มนต์มีจริงผมก็คงเป็นได้แค่พ่อมดที่มีเพียงคาถาที่ท่องไปก็ไร้ผลเพราะการทำพีธีกรรมต้องมีส่วนผสมนำมาประกอบด้วย




  • แต่ถึงจะโทษสภาพอากาสไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นมามีแต่จะเสียเวลาไปกับมันเรื่อยๆผมเลยตัดสินใจเดินลุยฝนไปแทนร่มสักคันก็ไม่มี  จากหอถึงปากซอยที่มีป้ายรถเมล์ระยะทางก็ประมาณห้าร้อยเมตรโดยประมาณแต่ก็ยังโชคดีที่ฝนเริ่มตกเบาลงมาบ้างพอถึงป้ายรถเมล์ผมก็ได้นั่งรออยู่สักพักแต่ไม่ถึงกับนานมากรถเมล์ที่นั่งรออย่างใจจดใจจ่อก็มาผมรีบขึ้นรถเมล์เพื่อที่จะไปต่อสถานีรถไฟฟ้า MRT เพื่อเดินทางไปสภากาชาดพอได้ขึ้นรถไฟฟ้าก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอีกนิดผมยืนห้อยตัวอยู่บนรถไฟฟ้าได้ไม่นานก็ถึงสถานีเป้าหมายผมรีบเดินออกมาพร้อมกับเปิด GPS ในโทรศัพท์มือถือจำได้ว่าในตอนนั้นไม่มีอะไรน่าเชื่อถือเท่า GPS ในมือแล้วก็ความรู้สึกของตัวเองผมเดินไปตามเส้นทางที่ GSP บอกเดินไปเรื่องๆจนผมเจอเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งโดยผมคิดในใจว่าเด็กกลุ่มนี้ต้องไปสภากาชาดแน่นอนโดยไม่กล้าเข้าไปถามแต่ใช้การเดินตามแบบเนียนๆ (แล้วมันก็ได้ผล) ผมเดินตามเด็กกลุ่มนั้นมาจนถึงสภากาชาดแต่ก็ยังมีอุปสรรคเล็กน้อยตรงเด็กกลุ่มนั้นรีบวิ่งเข้าไปในสภากาชาดเพราะฝนเริ่มตกหนักขึ้นอีกครั้งเหลือไว้เพียงผมที่ถูกทิ้งท้ายกับฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ปราณี

    ผมรีบวิ่งลุยฝนเข้าไปภายในสภากาชาดโดยไม่รู้เลยว่า  อาคารที่เขารับบริจาคอยู่ตรงไหนจึงเดินแบบสุ่มๆไปก่อนจนโชคดีเจอเหมือนเขาจะเป็นคุณหมอเท่าที่ผมสังเกตจาการแต่งกายผมจึงรีบเดินตรงเขาไปถามผมจึงได้รู้ว่าผมเดินมาถูกทางอาคารแห่งนั้นอยู่อีกไม่ใกล้  จะรออะไรผมรีบวิ่งไปแบบไม่ต้องสงสัยจนถึงหน้าอาคารผมหยุดแหงนมองป้ายขององค์กรสักพักมันดีใจแบบอธิบายไม่ถูกที่ได้มาถึงที่นี้จนได้ก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปภายในอาคาร  มีคนมารอบริจาคเยอะมากจากการกระประมาณด้วยสายตาอย่างแรกที่เข้าไปคือเดินไปกรอกข้อมูลพอกรอกเสร็จก็จะได้ไปตรวจความดันเลือดโดยที่เราสามารถเดินเข้าไปตรวจได้เลยเพราะมีเครื่องตรวจเรียงแถวยาวรอคุณอยู่พร้อมกับเจ้าหน้าที่ยืนคอยดูเราอยู่ห่างๆและนี้แหละครับคืออีกหนึ่งอุปสรรคครั้งสำคัญกว่าการเดินทางมา (วัดครั้งแรกความดันผมขึ้นสูงเป็นยอดภูเขาเอเวอเรสต์) ทำให้รอบแรกผมไม่ผ่านเจ้าหน้าที่เลยบอกให้ผมไปนั่งพักกินน้ำให้สบายก่อนค่อยกลับมาวัดใหม่ผมจึงเดินไปหาที่นั่งพักในหัวเอาแต่คิดเรื่องของความดันที่ไม่ผ่านทำไม่โชคชะตาไม่เป็นใจกับเราอุตส่ามาถึงที่นี่แล้วแท้ๆ  (ตอนนี้ในหัวมีแต่เรื่องของความดันๆๆๆๆๆๆ)

    พอได้นึกคิดนั่งพักจนพอสมควรผมจึงตัดสินใจเดินไปวัดอีกครั้ง "เป็นไงเป็นกัน" อย่างน้อยก็พยายามมาถึงขนาดนี้แล้วจะมาใจฝ่อเอาอะไรตอนนี้  ผลตตรวจรอบที่สองมันได้ผลผมผ่านเจ้าหน้าที่บอกกับผมว่าคงจะเหนื่อยความดันเลยขึ้นสูงแต่ก็ลดลงมามากเขาเลยให้ผมผ่านเอาจริงๆก็อย่างที่เจ้าหน้าที่บอกก็ผมวิ่งมานี้ครับตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้า (จะไม่เหนื่อยได้ไง) หลังจากที่ผ่านความกดดันที่เหมือนลุ้นคะแนนสอบก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง.....ถามว่าตอนนั้นดีใจขนาดไหน บอกได้ว่าพอๆกับเจอวงดนตรีโปรดอยากจะตะโกนออกมาดังๆอยู่เหมือนกันหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากนอกจากรอคิวสัมภาษณ์เกี่ยวกับเคยเป็นนู้นนี่นั้นหรือทำอะไรมาบ้างทำนองนั้น

    และท้ายที่สุดผมก็ได้บริจาคเลือดอย่างใจหวัง........(ถ้าพยายามทำอะไรขึ้นมาจริงๆโชคชะตาไม่ได้ทำร้ายเราขนาดนั้น)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Cha-ame (@Cha-ame)
อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
เราเคยไปครั้งแรก เป็นวันหยุดก่อนวันมาฆบูชา สามร้อยกว่าคิว รอวนไป...
Yui Hirasawa (@fb8535048547106)
ถ้ามีโอกาสได้ไปอีกก็จะพยายยามไปให้ได้อีกครับ