เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แดดร้อนในวันอย่างนี้nordy
ตอนที่ ๑
  • แก้วชาลายดอกไม้สีครีมขอบทองถูกวางไว้ตรงหน้าฉัน ภายในมีของเหลวใสสีส้มให้กลิ่นหอมละมุนอยู่

    "ดื่มนี่ก่อนสิ" เสียงทุ้มต่ำดังมาจากบุคคลผู้ครอบครองคฤหาสถ์แห่งนี้ ชายผู้ที่ฉันไม่เคยพบเจอหน้า ชายที่รับฉันมาเลี้ยงแทนพ่อแม่ที่จากไปของฉัน

    คุณอาศิลป์ เลิศพิพัฒน์

    "ขอบคุณค่ะ...คุณอา" ฉันยกแก้วขึ้นมาจิบช้า ๆ กลิ่นและรสที่อ่อนโยนของชาในแก้วปลอบประโลมวันอันน่าหดหู่นี้ได้เป็นอย่างมาก

    "..." เจ้าของบ้านจ้องมองฉันที่ดื่มชานิ่ง ๆ โดยไม่ได้เอ่ยอะไร ความเงียบท่ามกลางโต๊ะอาหารทำให้ฉันเผลอกลั้นหายใจราวกับความกลัวว่าเสียงหายใจนั้นจะไปทำลายความเงียบสงบนี้

    ไม่ใช่เพราะชอบ... แต่เพราะความน่าเกรงขามบางอย่างที่บีบให้ฉันไม่สามารถขัดความเงียบนี้ได้

    คฤหาสถ์แห่งนี้ต่างจากความหมายของคำว่า 'บ้าน' โดยสิ้นเชิง มันไม่ได้เต็มไปด้วยบรรยากาศของความรักหรือความเกลียดชัง ตรงกันข้าม มันไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่มีมนุษย์อยู่เลย

    "ศิลป์" คุณอาพูดเบา ๆ

    "ค่ะ...ค-คะ?"

    "เรียกว่า ศิลป์ ก็ได้"

    "ห้วน ๆ เลยเหรอคะ"

    "อื้ม"

    "ห-หนูค่อนข้างลำบากใจค่ะ อย่างน้อยขอเรียกว่า 'คุณศิลป์' ได้ไหมคะ" ฉันยิ้มแห้ง ๆ มองหน้าชายผู้มีดวงตาสีน้ำผึ้งคล้ายกับคุณแม่ด้วยสีหน้าที่ลำบากใจจริง ๆ 

    เขายักไหล่ราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไร 

    คุณศิลป์ดูต่างจากที่ฉันคิดไว้เยอะ เขาเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าผสมผสานเชื้อสายโรมาเนียนั้นดูดุดันไม่น่าคบหาเสียเท่าไหร่ เขาไว้เคราสั้นๆ สะอาดสะอ้าน ผมยาวกลางหลังสีเทาเข้มรวบเป็นหางม้าเงางามราวกับไม่ใช่สีที่เกิดจากความชราภาพ ร่างกายกำยำแข็งแรงอยู่ภายใต้เสื้อโค้ทผู้ดีสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของเขาได้อย่างไร้ที่ติ

    "แล้ว...บ้านหลังเก่าของเธอล่ะยัยหนู ไม่สิ  อ... อลิสใช่ไหมนะ" เขาเอ่ยชื่อเล่นของฉัน ชื่อที่ไม่ได้ยินมาตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อน

    "คิดว่าจะขายทิ้งค่ะ" ฉันตอบทันทีราวกับตัดสินใจไว้ตั้งนานแล้ว "ในเมื่อพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว มันคงไม่จำเป็นแล้วค่ะ ส่วนเงินที่ได้จากการขายบ้านนั้น คุณศิลป์สามารถนำไปใช้แทนค่าพักอาศัยของหนูได้เลยค่ะ"

    "อืม อืม" คุณศิลป์เอ่ยในลำคอเหมือนไม่สนใจแล้วล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ทหยิบอะไรบางอย่างออกมา "ดื่มเสร็จวางทิ้งไว้ตรงโต๊ะนั่นแหละ เดี๋ยวพ่อบ้านจะมาเก็บเอง ส่วนนี่คือกุญแจห้องของเธอ" เขาเลื่อนกุญแจเล็ก ๆ ฝังคริสตัลสีแดงให้ฉันแล้วลุกเดินขึ้นชั้นบนไปโดยไม่รอฟังคำบอกลาใด ๆ ทั้งสิ้น

    "..." ฉันมองกุญแจดอกนั้นอยู่นาน คฤหาสถ์กว้างตั้งขนาดนี้ เขาไม่คิดจะบอกเลยรึไงว่าห้องฉันอยู่ทางไหน คิดไปคิดมา แค่เขายอมให้มาพักอยู่ด้วยก็โชคดีพอแล้ว... จะเรียกโชคดีไหมนะ ที่คุณศิลป์เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เสนอตัวจะรับฉันมาเลี้ยงต่อจากพ่อแม่ที่เสียไปด้วยอุบัติเหตุรถชนเมื่อสองอาทิตย์ก่อน

    มันคงถึงเวลาที่ควรจะทำใจได้แล้วล่ะ ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วนี่

    กริ๊ง
    ฉันหยิบกุญแจดอกนั้นแล้วลุกจากโต๊ะเดินขึ้นไปชั้นบนตามเส้นทางเดียวกับที่คุณศิลป์เดินไปเมื่อครู่
  • น่าแปลกที่ฉันเลือกไขกุญแจถูกห้องตั้งแต่ครั้งแรก 

    ภายในห้องมีเตียงคิงไซส์ที่ปลายเตียงตกแต่งด้วยไม้สลักลวดลายหรูหรา ปูที่นอนหนาอวบชวนให้ล้มตัวลงไปนอนทันทีที่จดจ้อง ปลายเตียง ชี้ไปที่โต๊ะเขียนหนังสือขนาดไม่ใหญ่มากนักทำด้วยไม้เนื้อเดียวกัน เข้ากับเก้าอี้ที่มีพนักพิงหน้าตาคล้ายบัลลังก์ เบื้องขวาของโต๊ะมีชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือหนาเตอะสีทะมึนแบบที่ฉันไม่คิดจะแตะมันอย่างแน่นอน 

    ทางขวาของโต๊ะเขียนหนังสือ มีห้องน้ำขนาดใหญ่ ถูกตกแต่งด้วยเครื่องประดับสไตล์โกธิคเหมือนตัวบ้าน มองเข้ามาจะเห็นอ่างอาบน้ำขนาดยักษ์สีดำสนิทน่ากลัว พร้อมกับพรมผืนใหญ่ทรงกลมกลางห้อง ที่สะดุดตาไม่แพ้อ่างอาบน้ำนั้นคือกระจกบานใหญ่กว่าตัวฉันที่ถูกหุ้มด้วยกรอบสีทองอร่าม


    "อึก..." ฉันกลืนน้ำลายทันทีที่เห็น เป็นคฤหาสถ์ที่ตกแต่งได้ฟุ่มเฟือยอะไรขนาดนี้ ขืนไปทำอะไรเสียหายเข้า ต่อให้ขายบ้านตัวเองไปก็อาจจะไม่พอจ่ายให้คุณศิลป์แน่ ๆ

    คิดอยู่พักหนึ่ง ฉันก็รีบส่ายหัวไล่ความคิดชวนเครียดทิ้งไปให้หมดแล้วก้าวเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำหลังผ่านเรื่องน่าเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน

    จ๋อม...
    อ่างอาบน้ำถูกเติมเต็มด้วยน้ำร้อนและร่างของฉัน ข้าง ๆ มีขวดแชมพู สบู่ และแจกันปักดอกไม้เมืองร้อนหลากหลายพันธุ์ที่เพิ่งถูกตัดมาเหมือนรู้ว่าจะมีคนมาพักที่นี่

    "เฮ่อ" ฉันถอนหายใจออกมาหลังจากไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน ...อย่าทำหน้ารังเกียจกันแบบนั้นเลย ฉันหมกตัวอยู่ในบ้านตั้งแต่ทราบข่าวการเสียชีวิตของพ่อแม่ ไม่ยอมไปเรียน ไม่ยอมก้าวออกไปข้างนอก เอาแต่นอนร้องไห้ในห้องนอนที่ฟุ้งไปด้วยความทรงจำ กว่าจะทำใจโทรไปบอกญาติ ๆ ก็สองอาทิตย์ให้หลัง น่าแปลกที่ไม่มีใครทราบข่าวของพ่อแม่เลย ทั้งที่ตำรวจควรจะติดต่อญาติผู้ใหญ่คนอื่นนอกจากฉันเพื่อแจ้งให้ทราบว่าหาร่างของพวกเขาไม่พบ

    ไอร้อนจากอ่างคละคลุ้งไปทั่วห้องน้ำ ฉันหลับตาพริ้มพยายามลืมทุกอย่างทิ้งไปและตัดสินใจจะเริ่มชีวิตใหม่ที่นี่ จะต้องเติบโต จะต้องไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง และไม่เป็นภาระให้กับคุณศิลป์ด้วย

    ตึง ตึง ตึง

    "?"

    ตึง ตึง ตึง

    ฉันได้ยินเสียงเหมือนกับเสียงเคาะพื้นข้างใต้พรมผืนใหญ่เบา ๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร 

    คงจะเป็นพวกหนูล่ะมั้ง 

    ไม่แปลกหรอกที่คฤหาสถ์ใหญ่ขนาดนี้จะมีหนูบ้าง ถึงมันจะดูสะอาดเหมือนได้รับการดูแลอย่างดีทุกวัน คุณศิลป์มีพ่อบ้านอยู่นี่นา ไว้พรุ่งนี้ค่อยบอกเขาแล้วกัน

    ตึง ตึง ตึง

    เสียงดังขึ้นอีกแล้ว คราวนี้ฉันว่ามันเริ่มทะแม่ง ๆ จึงรีบขึ้นจากน้ำ ห่มผ้าเช็ดตัวเดินไปหาที่มาของเสียง

    ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง

    เสียงเคาะดังถี่ไม่แพ้เสียงหัวใจเต้นของฉัน ราวกับใต้พรมนั้นรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ ขาของฉันอ่อนแรงด้วยความกลัวจนล้มลงไปนั่งกับพื้น ฉันเกือบร้องไห้ออกมาถ้าไม่ฉุกคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต มันไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้วมั้ยล่ะอลิส

    ฉันสงบลง

    พอทำใจได้ ฉันจึงค่อย ๆ คลานไปดึงพรมนี้ออกเพื่อจะก้มลงแนบหูฟังเสียง แต่เหมือนมันถูกทากาวติดไว้อย่างไรไม่ทราบ ยิ่งดึงมันยิ่งหนักขึ้น หนักขึ้น ราวกับหินขนาดยักษ์

    ฉันหายใจเข้าออกช้า ๆ แล้วเอ่ยเสียงสั่น "ขอเถอะ คืนนี้ฉันต้องการพักผ่อนนะ..."

    พรึ่บ!

    ทันใดนั้น พรมดังกล่าวก็หลุดติดมือฉันทันที ภาพตรงหน้าทำให้ฉันตกใจและตื่นเต้นไม่แพ้วินาทีแรกที่เห็นคฤหาสถ์แห่งนี้

    บนพื้นใต้พรมมีประตูลับซ่อนอยู่ ลำแสงสีฟ้าอ่อนแย่งกันเล็ดลอดออกมาให้ฉันได้เห็น 

    ราวกับ

    ราวกับจะเชิญชวนฉันให้เข้าไปในนั้นด้วย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in