เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ordinary life in NZordinarygirl
day17-Waitomo Caves
  • Monday,11 June 2018
    18:24

    ไฮไลท์คือเมื่อวาน เราซื้อทัวร์ไปเที่ยวที่ถ้ำหนอนเรืองแสง เป็น one-day trip 150$ จะว่าคุ้มก็คุ้ม เฉยก็เฉย อธิบายไม่ถูกแฮะ 55555

    _________________________

    วันอาทิตย์ 
    เรามีนัดกับบัสที่จะพาไปเที่ยวตอน 9โมงเช้า ด้วยความกลัวเลท เราก็เผื่อเวลาไปเยอะมาก สุดท้ายก็ไปถึงในเมืองตั้งแต่ 8โมง ก็เลยเดินเล่นมั่วๆแถวนั้น จนไปเจอ Albert Park อยู่ตรง art gallery ใกล้กับ Wellesley street ก็เดินเล่นแถวนั้นอยู่เกินครึ่งชั่วโมง คิดๆดูแล้ว ตรงนั้นถือว่าเป็นใจกลางเมืองมากๆเลยนะ แต่ต้นไม้ในสวนนั้นคือเดามั่วๆก็น่าจะอายุหลายสิบหลายร้อยปีอยู่ เพราะต้นใหญ่มาก แผ่กิ้งก้านกินอาณาเขตสุดๆ  อยากให้ไทยมีสวนแบบนี้กลางสยามบ้างจัง 55555 (แต่ก็คงไม่นั่งมั้งเพราะร้อน ฮือ)

    Albert park


    ตัดมาตอนที่ขึ้นบัส มีคนร่วมทริปประมาณ 10-14 คนมั้ง มีทั้งคนที่เป็นนักเรียนโรงเรียนภาษาเดียวกับเรา แล้วก็คนจากที่อื่น เราใช้เวลาเดินทางไป Waitomo ประมาณ 2ชั่วโมงครึ่ง แวะพักครั้งนึง ที่ไหนไม่รู้ แฮ่ 

    on the way to Waitomo 7c


    ที่แย่คือ เราเช็คอากาศแล้วแค่มีเมฆมากเฉยๆ แล้วก็เดามั่วไปเรื่อยว่าคงได้เดินขึ้นเนิน เข้าป่า ขึ้นเขาเยอะ คงร้อน เลยไม่พกขนเป็ดหรือโค้ทมาคลุมเล้ย แต่งตัวบางสุด กางเกงก็ชั้นเดียว เสื้อก็สามชั้นเด๋อๆมากกก เพราะทันทีที่ออกจากเขต auckland มุ่งไปทางใต้ เราก็เห็นก้อนหมอกหนาๆหน้ารถ แล้วหลังจากนั้น ตลอดทางก็เต็มไปด้วยหมอก กระจกก็ขึ้นฝ้า คือหนาวขึ้นทันทีเลยอ่ะ 

    เรา ณ ที่พักรถ

    กว่าจะถึง Waitomo caves ก็เกือบเที่ยงแล้ว เราใช้เวลาสำรวจถ้ำกันเกือบชั่วโมงได้ ซึ่งตามที่เราฟังจากไกด์ ถ้ำที่ Waitomo มีเยอะมากๆๆๆ แล้วที่เราไปคือชื่อ Glowworm Caves ถูกค้นพบโดยบรรพบุรุษตระกูลของไกด์น่ะแหละ เพราะว่าถ้ำนี้ครอบครัวเขาได้รับมอบจากรัฐบาลให้ดำเนินธุรกิจและดูแล ก็เลยทำสืบทอดต่อกันมาเรื่อยๆหลายรุ่นแล้ว 


    ก่อนเดินเข้าสู่ถ้ำเขาก็ชี้แจงกฎข้อสำคัญคือ ห้ามจับหินในถ้ำ เพราะมือเรามีน้ำมันที่ทำให้หินเปลี่ยนสี แล้วก็ห้ามถ่ายรูป ซึ่งเราคิดว่าถ้ำที่นี้ค่อนข้างถูกจัดการเป็นระบบระเบียบ มีไฟส่องทางเดิน(แต่ไม่สว่างมาก) มีการทำทางให้เดินสะดวกขึ้น มีราวจับ มีตะข่ายเหล็ก ซึ่งก็ดูปลอดภัยดีถ้าเทียบกับพวกถ้ำหินงอกหินย้อยในไทย (แต่ก็จะให้ฟีลต่างกัน)

    ในถ้ำมีหินรูปร่างต่างกันไปหมด แต่หินที่ย้อยจากเพดาน กับก่อขึ้นจากพื้นก็สวยแล้วก็ดูมีคุณค่ามากๆ 

    เรารู้สึกว่ายิ่งเราโตขึ้น เราก็ใส่ใจสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ พอมีเวลาคิดกับตัวเองมากขึ้น เราก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้ใหญ่บางคนต้องดั้นด้นไปเพื่อมองพระอาทิตย์ตก ดูแม่น้ำลำธาร ส่องนก ดูปลาทั้งที่รูปถ่ายในอินเทอร์เน็ตก็มี หรือรายการทีวีก็มี 

    พอเราได้มาเห็นรายละเอียดเล็กๆจาธรรมชาติเหล่านี้ด้วยตัวเอง มันให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ แบบหินอันนี้มันใช้เวลาเป็นร้อยๆพันๆปีเลยนะกว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วเราที่เป็นแค่มนุษย์อายุ 20 ล่ะ มีความสำคัญกับโลกขนาดไหนวะเนี่ย 

    อ่ะ เริ่มจะเลยจากหินเป็นเรื่องอะไรไม่รู้ 555555

    ต่อจากหิน ไกด์ก็พามาจุดที่เราจะได้เห็นเจ้า glowworm หนอนเรืองแสง ซึ่งสำหรับเรา มันสวยมากเลยว่ะ แบบโอ้ย เขียวๆยิบๆๆเต็มเพดานถ้ำไปหมด แล้วพอไกด์เปิดไฟให้เห็นใยหรือเมือกหรืออะไรสักอย่างที่หนอนปล่อยออกมาเพื่อจับแมลงอื่นเป็นอาหารอ่ะ มันดูเป็นเส้นใสๆ เหมือนคริสตัลเต็มเพดานไปหมด สำหรับเรามันสวยมาก สวยกว่าตอนเรืองแสง55555555 แต่บางคนก็แขยงๆนะ 

    หลังจากนั้นเราก็ได้ล่องเรือชมหนอน ซึ่งในแม่น้ำนั้นมืดมาก เพดานถ้ำก็มีหนอนเยอะมากๆๆๆ สวยยย 

    อันนี้คือสิ้นสุดการชมแล้ว ไกด์ให้ถ่ายรูปได้ ซึ่งก็ได้มาแต่ปากถ้ำ เด๋อมะ

    พอเสร็จจากถ้ำนี้ คนขับรถก็ถามว่ามื้อกลางวันจะกินข้าวที่ไหนดี มีช้อยส์ให้เลือกระหว่าง ขับไปตรงจุดที่มีร้าน junk food หรือ ไป farm ใกล้ๆนี้ ไปกินบุฟเฟ่ต์ แต่จ่าย 25$ แต่จะได้ดูชีวิตฟาร์มที่นี่ด้วยนะ นี่ก็แบบ เอ้อออ ไปฟาร์มสิ 

    อันนี้คือวิวข้างทางระหว่างเดินทาง เราเห็นอะไรแบบนี้ทั้งวัน
    สำหรับเรามันมีวิวสวยเต็มไปหมด แต่การถ่ายรูปตอนรถวิ่งอยู่มันยากจริงๆ

    พอไปถึงฟาร์ม Roselands 
    เราก็ได้กินสเต็กหนึ่งชิ้น(เลือกได้ว่าเนื้อ ไก่ หรือปลา) ส่วนบุฟเฟต์ที่ว่าคือเครื่องเคียงหรือกับอย่างอื่นเช่น สปาเก็ตตี้ผัดพริก โควสลอว์ บรอคโคลี่ซอสชีส คุกกี้ แครอทเค้ก 


    กินไป ชมวิวไปนะ 

    อืม แต่ราคานี้ก็ได้แหละมั้ง ก็ต้องได้แล้วแหละเพราะถ้าไม่กินก็ไม่มีอะไรให้กินแล้วเด้อ55555555 เส้า

    เนื้อสัตว์ๆๆๆๆ เนื้อวัวๆๆๆๆ อยู่ที่นี่เราได้กินเนื้อสัตว์น้อยนะ 

    อ่ะ หลังกินเสร็จก็คาดหวังจะได้เดินไปส่องไก่ ส่องเป็ดที่เห็นตอนขี่รถเข้ามา แต่ ! งุ้ย เวลาไม่พอแล้ว เลยได้แต่ถ่ายรูปกับต้นไม้เด๋อๆอีกรูป 


    หลังจากนั้นก็ตรงไป Kiwi House ซึ่ง อยู่ที่ Otorohanga 


    บอกก่อนว่านกกีวีเนี่ย เป็นสัตว์ประจำชาติของนิวซีแลนด์ แล้วก็มีแค่ที่นิวซีแลนด์เท่านั้น แถมแต่ละภาค แต่ละพื้นที่ก็เป็นกีวีต่างสายพันธุ์ ซึ่งกีวีแถบเหนือ ที่เราไปเนี่ยจะมีสีน้ำตาล ส่วนขนาดตัวนี่เราไม่แน่ใจแฮะ 

    อ่อ แล้วก็ไกด์บอกว่า กีวีเนี่ยเป็นนกที่ใช้ชีวิตตอนกลางคืน นอนตอนกลางวัน เพราะงั้นในอาคารที่เราไปดูเนี่ยก็จะปิดไฟค่อนข้างมืด เพื่อที่จะหลอกเจ้ากีวีว่านี่กลางคืนนะ ! ออกมาให้เห็นซะดีๆ ฮ่าๆ 

    อันนี้ไม่ใช่ตัวจริงนะ เป็นกีวีที่ถูกสตั้ฟไว้

    ที่น่ากังวลคือ กีวีเนี่ยเป็นนกที่มีปีก แต่บินไม่ได้ เดินก็ช้า เพราะงั้นเลยมักตกเป็นเหยื่อของสัตว์อื่นได้ง่ายแม้แต่แมวหรือหมาก็ฆ่ากีวีได้ แถมไข่ยังโดนสัตว์อื่นกินประจำ ตอนนี้เค้าเลยกังวลเรื่องปัญหากีวีเสี่ยงสูญพันธุ์อยู่

    กลับมาที่อาคารแรก เราเข้าไปดูกีวี แต่ไม่เห็นสักตัว ! พอย้ายอาคาร ก็หวั่นๆ ถ้าไม่ได้เห็นคือคงติดค้างในใจมากก อุตส่าห์มาถึงแล้วน้า ต้องเจอน้า 

    แล้วอยู่ๆ เพื่อนญี่ปุ่นก็สะกิดให้ไปดูเจ้านกนั่น ! สิ่งที่เห็นคือ ! นกอ้วนอะไรวะเนี่ยยย ! ตัวแบบเหมือนเป็ดเล้ยย นี่ไม่ใช่กีวีที่เค้ามองหาน้า เค้านึกว่าตัวเท่าสองฝ่ามืองี้อ่า 

    ฮ่าๆ แต่นี่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีของเราเลยแหละ กีวีน่ารักน่าจับมากๆ แต่สิ่งที่ทำได้คือการเพ่งมองและจดจำภาพมันเท่านั้น


    ระหว่างทางกลับบ้าน นี่เป็นสายรุ้งแรกที่เราเห็นตั้งแต่มาที่นี่เลย ^^

    ตลอดทริปนี้ ในสถานที่ที่เราไปทั้งสองที่ ห้ามไม่ให้ถ่ายรูปทั้งสองที่เลย ตอนแรกเราก็เสียดายเพราะมันไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเราได้ไป แต่ความจริงมันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับว่าเราไปเห็น ไปทำอะไรที่นั่น แถมภาพที่จำไว้ในใจก็ชัดเจนกว่ารูปในกล้องอีก 


    มื้อเย็นของเรา ! ลืมได้ไง

  • วันนี้
    วันจันทร์ เข้าวีคที่สามของเรา
    ความจริงก็เป็นวันธรรมดาอีกวันที่มาเรียนนะ ฮ่าๆ 
    มันไม่มีอะไรพิเศษ แต่ว่าวันนี้ก็เป็นวันที่เราได้คุยกับคลาสเมทมากขึ้น 

    เริ่มที่ ไบรอัน-classmate คาบบ่ายของเราเอง 

    ช่วงแรกๆที่เราเจอไบรอันนะ เราแอบคิดว่าผชคนนี้เนิร์ดจัง ไม่รู้จะคุยอะไรด้วย วีคแรกเลยผ่านไปแบบน่าเสียดายมากๆ 

    พอเข้าวีคที่สอง เราได้เรียนด้วยกันมากขึ้น ในคลาสก็ได้จับกลุ่มแข่งเกมกับคนในห้อง ซึ่งแบบ กลุ่มเราชนะเพราะไบรอันอ่ะ เราก็เริ่มมองเค้าดีขึ้น5555 แล้ววีคเดียวกันนี้ อีกคลาสนึง เราคู่กับเค้าแล้ว discuss เรื่อง gender equality ,mixed marriage ซึ่งทัศนคติเค้าดีมากๆ พอฟังแล้วก็รู้สึกว่าอยากมีพี่ชายแบบนี้ แล้วเค้าก็เทียบครอบครัวเค้ากับปัญหา gender equality ตอนเราฟังเค้าเล่าเรื่องครอบครัวเค้า เราว่าเค้าน่ารักมากๆ เรารู้สึกได้เลยว่าคนแบบนี้โตมากับครอบครัวที่อบอุ่น ;-) 

    เราเคยเห็นข่าวและเคยได้ยินปัญหาเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศในวัฒนธรรมเกาหลีใต้ แต่พอได้ฟังความเห็นของไบรอันเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราก็แอบคิดว่าปัญหานี้คงจะเบาลงเรื่อยๆในอนาคตน่ะแหละ แถมเราที่มีความเห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดของคนรักคือการสนใจในสิ่งเดียวกัน พอได้ฟังไบรอันบอกความเห็นว่าเค้าคิดว่าสิ่งสำคัญของคนรักคือการมีความคิดทาง politics ไปในทางเดียวกัน ได้ฟังเค้าอธิบาย เราก็คิดว่าอืม เค้าแม่งเป็นผู้ใหญ่ว่ะ ทั้งที่เค้าแก่กว่าเราแค่ 3 ปีเอง 

    มาที่วีคนี้ คาบแรกช่วงบ่าย เราคุยเรื่องความสนใจในศิลปะ แล้ว ! ไบรอันเหมือนจะเป็นคนเดียวมั้งที่บอกว่าสนใจใน photography ซึ่ง พอเราได้ฟังก็ยิ่งคิดว่าต้องหาทางไปคุยกับไบรอันให้มากขึ้นแล้ว ! เพราะ ! ไบรอันเรียนวีคนี้เป็นวีคสุดท้าย !!

    นั่นแหละ พอเลิกเรียนเราที่อยาก make friend มากๆแต่ขี้อาย ก็กลั้นใจ เอาก็เอา คุยก็คุย 5555(ไม่ได้ชอบเชิงชู้สาวนะ แต่การเริ่มต้นคุยกับเพศตรงข้ามก่อนมันยากสำหรับเราว่ะ ทำไมว่ะนิ) 

    เราก็เลยไปถามเรื่องถ่ายรูปนั่นแหละ แล้วไบรอันก็เปิดไอจีให้ดู แล้วสไตล์รูปเค้าคือคล้ายๆเราเลย แบบ landscape สีภาพไม่สดมาก อธิบายไม่ถูก แล้วอยู่ๆ ไบรอันก็เปิดกระเป๋าแล้วหยิบกล้องฟิล์มออกมา ! ฮุ้ยยยย กล้องฟิล์มอ่ะทุกคน ! คือเราไม่ได้ถ่ายฟิล์มเก่งอะไร แต่เราอ่ะเริ่มถ่ายฟิล์มมาจะสองปีแล้ว แล้วชอบรูปฟิล์มมากๆ พอมาเจอเพื่อนต่างชาติที่ชอบฟิล์มเหมือนกันก็ว้าวมากๆๆอ่ะ แบบ เอาจริงไบรอันก็คือเพื่อนต่างชาติคนแรกที่เราเจอว่าชอบถ่ายรูปฟิล์ม ! 

    วันนี้เรารู้สึกเหมือนได้รางวัลอะไรสักอย่างจากการเข้าไปชวนคุยก่อน แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนเราแพ้อะไรสักอย่างเหมือนกัน เพราะเราได้ทิ้งเวลาวีคแรกไปแบบน่าเสียดายมากเลย เราอยากมีเวลาคุยกับไบรอันมากกว่านี้ ซึ่งอีก 4 วันที่เหลือก็คือโอกาสสุดท้ายของเราแล้วนะ ! make friend make friend !

    ____________________________

    คนที่สอง โรซี่-น้องสาวชาวเวียดนาม ยังเรียนม.ปลายอยู่เลย

    โรซี่ เพิ่งเข้าเรียนวันอังคารที่แล้ว วีคนี้คือวีคที่สองของเราที่เรียนด้วยกัน เราเรียนด้วยกันทุกคาบเลย อาจเพราะเราเป็นคนไทย แล้วก็ดูอายุไล่ๆกันถ้าเทียบกับคนอื่นในคลาส น้องเลยชอบมานั่งใกล้เรา หรืออย่างวันนี้ น้องถึงกับเรียกเราให้ไปนั่งข้างๆเลย (ก็แอบรู้สึกดี ที่มีคนรู้สึกดีด้วยนะ)

    แต่เชื่อไหม วีคแรก เราไม่ชอบน้องเท่าไหร่ เพราะวันแรกที่คุยกัน น้องพูดมาประโยคนึงว่า สำเนียงอังกฤษคนไทยตลก เอาจริง หลังจากนั้น เราก็แอบสังเกตสำเนียงเวียดนามของน้อง แล้วมีช่วงนึงที่เราเกือบหลุดขำสำเนียงน้องกลางคลาส ซึ่งพอมาคิดดีๆ เราแม่งก็แย่ว่ะ 

    เพราะตอนแรก เราบอกตัวเองแล้วว่าเราจะไม่แคร์เรื่องสำเนียงใดๆ ไม่ว่าจะของตัวเองหรือของใคร เรามาที่นี่เพื่อใช้ภาษาอังกฤษ และเราจะสนแค่การสื่อสารเท่านั้น ซึ่งพอเราย้อนทบทวนตัวเอง เราก็พยายามมองน้องดีขึ้น แล้วก็แก้ความคิดตัวเองด้วย 

    วีคนี้ วันนี้ เราเลยพยายามคุยกับน้องมากขึ้น ถ้าน้องไม่ถาม อ่ะเราถามเอง ถ้าน้องเบื่อ ไม่อยากคุย อ่ะ เราคุยเอง กับโรซี่นี่เราไม่อาย เพราะน้องเป็นผู้หญิง และยังเด็ก 555555 

    คุยไปคุยมา เอ้า น้องชอบเกาหลี เอ้า น้องชอบวงเดียวกัน เอ้า ชอบ จองกุกบังทัน เอ้า ชอบฮันบินจากไอค่อน เอ้า เฮ้ย มีแต่วงเดียวๆกันนี่นา เอ้า เราก็เข้ากันได้ดีนี่นา 

    เนี่ย พอเขียนมาถึงตรงนี้ ก็แอบรู้สึกว่าตัวเองแย่เหมือนกันเนอะ ตัดสินคนจากวีคแรกงี้ได้ยังไงนะ ทั้งๆที่พอคุยกันไปเรื่อยๆ เรากลับพบว่าความจริงเรามีอะไรที่คล้ายกันอยู่ตั้งเยอะแยะแหน่ะ :-)

    ____________________________

    คนที่สาม K-classmate เรียนคลาสเดียวกันทุกคาบ ! 

    ไว้กลับไทยแล้วค่อยมาเปลี่ยนนามสมมตินี้ละกัน ฮ่าๆ  

    จะว่ายังไงดีล่ะ วันแรกๆที่เจอ เราก็รู้สึกว่าเค้าดูดีนะ แต่ดูโตๆ แบดๆ แถมยังดูมั่นๆ เราคุยกับพาร์ทเนอร์เราอยู่ก็มาแทรก อิหยังนิ ก็เลยเฉยๆ แต่พอเรียนด้วยกันไปเรื่อยๆ เราก็รู้สึกว่าคนนี้แม่งต่าง ทำไมน่ารักจัง เป็นคนมั่นๆแบบน่ารักอ่ะ แถมยังกล้าพูดกล้าตอบผิด ต่างจากคนเกาหลีคนอื่นแฮะ เอ้า อยู่ๆก็รู้สึกว่าเค้าน่ารักขึ้นเรื่อยๆ 

    พอเข้าวีคสอง เราก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองล่ะ แล้วเราคือเข้าห้องเร็วตลอด พอวันไหนเค้ามานั่งข้างๆก็จะเรียนแบบเบลอๆไปเลย บ้าชะมัด แง ที่แย่คือ คนนี้ชอบสกินชิพ เฮ้อ เขียนๆอยู่ก็รู้สึกใจคอวุ่นวาย55555555สาวน้อยว่ะ  คือแบบทั้งๆที่นั่งข้างกันใช่แมะ ก็เรียกชื่อก็ได้ แต่ชอบมาสะกิดแขนเวลามีคำถาม แล้วตอนนั้นเราหยิบลูกอมมากิน ก็ก้มมาพูดว่า Thank you ใกล้ๆหู นี่ก็งง เลยหันไปถามว่า you want(ลูกอม) ? นางก็ยิ้มเขินๆละแบมือให้อ่ะ ! 

    มีอีก ตอนนั้นต้องออกไปเดินสุ่มถามคำถามกันทั้งห้อง แล้วคือ เราก็สุ่มไปจนเจอกัน แล้วต้องแลกเปลี่ยนความเห็นกัน(เรื่อง mass mediaมั้ง แหน่ จำละเอียดสุดด) เลยต้องคุยกันพอสมควร เค้าก็ยืนกางขาเพื่อที่เวลาคุยกับเราจะได้อยู่ระดับเดียวกันอ่า ฮือออ แง เขิน ช่วยด้วย

    อ่ะ ยังไม่หมด มาเป็นฉากๆ ฮือ มีวันนึงเราต้องเล่น tongue twisters แล้วคือมันก็พูดยากฟังยาก เค้าก็ตั้งใจแกะมากๆ เอียงหน้ามาฟังใกล้มากๆ แบบ โอ้ย ออกไป๊ ใจเราจะวายแล้วเด้อ 

    เนี่ยแล้ววันนี้ เหตุการณ์ขอกินลูกอมก็มาอีก จะไม่พูดว่าตั้งใจหยิบออกมากินหรอกนะ เพราะปกติก็กินลูกอมตอนเรียนอยู่แล้ว (อิอิ แก้ตัวยาวเนอะ) พอหยิบออกมาเค้าก็ทำเสียง อ้ะๆ พอนี่หันไปก็เห็นเค้าแบมือรอแล้ว เฮ้อ แล้วเราจะทำอะไรได้เล่า นอกจากเท(ใจ)ใส่มือให้เค้าไป แง 

    แต่วีคนี้วีคที่สามที่เรียนด้วยกันแล้ว เราก็อ่ะ ถามนอกเรื่องจากที่ต้องคุยในคลาสบ้างดีกว่า ก็เลยถามว่าเค้ามาเรียนนานหรือยัง จะกลับเมื่อไหร่ ซึ่งเค้าก็บอกว่า เค้าจะเรียนถึงวีคหน้านี้แหละ (แง เรานึกว่าเหลืออีก2วีค) สรุปคือวันนี้เราอกหักแล้ว5555555 เพิ่งเริ่มกรี๊ดวีคที่แล้วเอ๊ง 

    ____________________________


    ความจริงเรายังเจอเพื่อนที่น่ารักอีกหลายคนเลย ! แต่ว่าเรายังมีเวลาเรียนกับพวกเค้าอีกสักพัก น่าจะมีอีกหลายเรื่องรอให้เราไปค้นหา อิอิ เพราะงั้น แปะไว้ก่อน เราจะรีบไปตีสนิทกับคนชาติอื่นอีกเยอะๆๆเลย (ตอนนี้สนิทสุดก็คนญี่ปุ่นอีกละน้า หนีไม่พ้นจริงๆเรา ฮ่าๆ)

    ไปทำการบ้านก่อนนะ 

    แล้วเจอกันวันถัดๆไป

    มื้อเย็นวันนี้จ้า  





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in