เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
like a shooting stargiftmeme
starry rain
  • ปีหนึ่ง,



    "แย่จัง คืนนี้ไม่เห็นดาวเลยเนอะ"

    หากเงยหน้าขึ้นไปมองเหนือศีรษะ สิ่งที่พร่างพราวอยู่บนนั้นไม่ใช่ดวงดาวอย่างที่คนข้าง ๆ ตัดพ้อด้วยความเสียดาย แต่เป็นหยาดน้ำฝนบนร่มพลาสติกโปร่งใสที่สะท้อนแสงไฟข้างถนน โชคดีที่สายฝนกระหน่ำเมื่อสิบนาทีก่อนเบาบางลงจนชายหนุ่มสองคนเดินใต้ร่มคันเดียวกันได้โดยไม่มีใครต้องเปียกโชกไปมากกว่าเดิม คาเครุอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าเขาไม่รีบวิ่งออกมาทันทีที่รุ่นพี่นิโคจังบอกว่า "หมอนั่นออกไปซื้อของสักพักแล้ว" และ "อ้าว อยู่ ๆ ฝนก็ตกซะได้" ไฮจิจะทำอย่างไร จะยอมเดินฝ่าฝนกลับมาหรือว่าเจอคนในย่านร้านค้าใจดีให้หยิบยืมร่ม ไม่ว่าอย่างไร สิ่งสุดท้ายที่เขาอยากเห็นคืออีกฝ่ายออกแรงวิ่งและลงเอยด้วยการเจ็บตัวมากกว่าเก่า ดังนั้นคาเครุที่ชุ่มน้ำฝนตั้งแต่หัวจรดเท้าจึงโล่งใจเป็นที่สุด เมื่อพบว่ารุ่นพี่ที่ตามหายืนแกร่วอยู่ตรงเพิงในสนามเด็กเล่น สะพายกระเป๋าผ้าใบเก่งที่เอาไว้ใช้จ่ายตลาด ข้างกายไม่มีสุนัขชิบะเหมือนเคย

    นัยน์ตาสีน้ำตาลของไฮจิเบิกกว้างระหว่างละล่ำละลักคำพูด ทั้ง "โอ้โฮ คาเครุ วิ่งขนาดนี้มีหวังทำลายสถิติที่เคยทำทุกเช้าแน่" "ว่าแต่ไหวไหมเนี่ย วิ่งตากฝนมาทั้งที่มีร่มในมือเนี่ยนะ" และ "มีเรื่องด่วนอะไรที่อาโอตาเกะงั้นเหรอ" ทั้งหมดทั้งมวลนี้ คาเครุที่หอบหายใจเล็กน้อยไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยื่นของสำคัญให้อีกฝ่าย มองสีหน้างุนงงของรุ่นพี่ค่อย ๆ อ่อนโยนลงและจับเสียงหัวเราะที่ปนมากับการทอดถอนใจได้ เขาอยากเถียงไฮจิอย่างที่ชอบทำโดยไม่รู้ตัวมาตลอด ผมไม่ได้จับเวลาเลยไม่รู้ว่าวิ่งมาถึงตรงนี้เร็วกว่าที่เคยหรือเปล่า ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าลืมกางร่ม จะเรียกว่าค่อนข้างด่วนก็คงได้ แต่เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อคนเรารู้ตัวแล้วอะไร ๆ ก็ไม่ง่ายเหมือนเคย โดยเฉพาะกับคาเครุที่ไม่ถนัดเรื่องโกหก ดังนั้นการไม่พูดออกไปเลยจึงอาจจะดีกว่า

    "ปกติแสงไฟก็สว่างจนมองไม่ค่อยเห็นอยู่แล้วนี่ครับ" คาเครุตอบหลังจากคิดถึงเรื่องอื่นอยู่นาน

    "ถ้ารู้จักที่ดี ๆ ก็เห็นดาวได้เถอะ" ไฮจิว่า "ถึงจะไม่มากเท่าที่ค่ายฝึก แต่พออยู่ในเมืองแบบนี้ ได้เห็นสักดวงสองดวงก็ไม่เลวเลยนะ เวลาเธอออกมาวิ่งตอนกลางคืนก็ลองเงยหน้าขึ้นมองดาวบ้างสิ"

    "ไม่มองทางข้างหน้าแบบนั้นมันอันตรายนะครับ"

    "ก็ไม่ได้บอกให้วิ่งไปมองไปนี่ หยุดมองสักเดี๋ยวก็ได้"

    เขาค้นพบว่าตัวเองชอบน้ำเสียงเรียบเรื่อยและออกจะติดตลกของไฮจิ แต่ก่อนมันมักชวนให้เข้าใจผิด คิดว่ารุ่นพี่ปีสี่กำลังยียวนกวนอารมณ์ยามพล่ามถึงความฝันที่เหลวไหลที่สุดเท่าที่คาเครุเคยได้ยินมา คำพูดทุกคำเปล่งออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนถามไถ่ถึงลมฟ้าอากาศ พรุ่งนี้อากาศจะต้องแจ่มใสแน่ ๆ แต่ถ้าฝนตกก็ไม่เป็นไร วันต่อไปอากาศน่าจะดี ไฮจิพูดถึงสิ่งที่อยู่ข้างหน้าราวกับมันอยู่ตรงนั้นจริง ๆ แม้ยังไม่ปรากฏรูปร่าง และเมื่อเขาบอกว่า "ไปกันเถอะ" ทุกคนจึงอดรนทนไม่ไหว ต้องวิ่งตามไปดูให้เห็นกับตาว่าของที่ว่าคืออะไรกันแน่ หากจะมีใครผิดหวังหรือโอดครวญว่าถูกหลอกเข้าให้ ไฮจิก็คงยิ้มรับหน้าระรื่นอยู่ดี 

    แม้จะมีเล่ห์เหลี่ยมอยู่บ้าง แต่คาเครุคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าเชื่อในตัวพวกเขาแต่ละคน ความสามารถในการเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่เรียบง่ายแต่ยากยิ่ง ในแง่นั้นคงไม่ต่างจากการวิ่งระยะไกล เขาสงสัยว่าด้วยเหตุนั้นใช่หรือไม่ ไฮจิถึงได้รักษาความฝันที่เกือบจะเป็นความเพ้อคลั่งมาได้นานถึงสี่ปี

    "ขอบคุณที่รอผม"

    ประโยคนั้น คาเครุไม่ได้พูดออกไปดังใจนึกตอนประคองร่างที่สั่นเทาด้วยความตื่นเต้นและเจ็บปวดของไฮจิไว้ตรงเส้นชัย ไม่ยอมเอ่ยไปแม้ในยามที่อีกฝ่ายนอนหลับสนิทหลังจากฉีดยาแก้ปวดอย่างแรงที่โรงพยาบาล และไม่ได้ฉกฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาช่วยกันเตรียมอาหารเย็นหลาย ๆ ครั้งหลังจากวันนั้น แต่ดูเหมือนว่าจังหวะที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่คนเราไม่มีวันล่วงรู้หรือกะเกณฑ์ได้ก่อน คล้ายกับฝีเท้าที่ทะยานไปข้างหน้าด้วยเจตจำนงอันเป็นอิสระจากจิตใจ กับชั่วขณะเหนือจริงเช่นนั้น คาเครุคิดว่าแม้แต่เขาก็คงวิ่งตามตัวเองไม่ทัน

    ไฮจิชะงัก ก่อนจะส่งเสียง "หือ" เป็นคำถาม

    "หมายถึงที่รอหลบฝนอยู่ตรงนั้น ไม่รั้นวิ่งกลับมา" คาเครุรู้สึกว่าตัวเองพูดเสียงดังเกินความจำเป็นและคิ้วของไฮจิเลิกขึ้นสูงจนดูเหมือนรู้ทัน "อีกอย่าง คุณน่าจะขอให้คนอื่นมาซื้อของแทนแล้วพักบ้าง"

    คำตอบที่อีกฝ่ายให้กลับมาไม่ได้เกินคาดอะไร ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มหรือคำพูดที่ว่า "เอาน่า ฉันอยากเดิน"

    พวกเขาก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกครั้ง รู้สึกว่าไหล่กระทบกันเบา ๆ ดุจฝนตกลงบนท่อนแขน แม้คาเครุจะเป็นนักวิ่งที่ไวกว่าและสูงกว่าสองเซนติเมตร แต่การเดินไปพร้อมไฮจิไม่เหมือนสิ่งที่เขาเคยปรามาสไว้ว่าจะไม่ยอมปรับความเร็วของตนเพื่อใคร หลังจากเรียนรู้วิธีวิ่งมาค่อนชีวิต ในฤดูใบไม้ผลิปีที่ 18 คาเครุเพิ่งรู้จักการเดินเคียงข้างใครสักคน คำว่า "ด้วยกัน" สลักลงทุกฝีก้าวที่ย่างลงบนถนนชุ่มน้ำ 

    "ไฮจิซัง ชอบดูดาวสินะครับ"

    คุ้นว่าเส้นทางนี้คือทางเดียวกับตอนที่ไฮจิถามเขาว่าชอบวิ่งใช่หรือไม่ คาเครุรู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวยิ่งกว่าการแข่งขันใด ๆ ที่เคยเข้าร่วมมา

    "อือ ชอบมากเลยล่ะ"

    เขาได้ยินรอยยิ้มในคำตอบโดยไม่ต้องหันไปมองด้วยซ้ำ แต่ที่ไม่ทันตั้งตัวคือการที่จู่ ๆ ไฮจิก็เอื้อมมาขยี้เรือนผมเปียกชื้นของเขาอย่างสนุกมือ แวบหนึ่งคาเครุอดคิดว่าตัวเองกลายเป็นตัวแทนของนิระไม่ได้ พอคนข้าง ๆ ได้ยินเสียงบ่นงึมงำดังนั้นก็หัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ ก่อนบอกว่า "ก็คาเครุเป็นเด็กดีเหมือนกันนี่นา" 

    ในดวงตาของไฮจิมีประกายที่มาจากทั้งแสงไฟในขณะนั้นและตัวตนข้างในที่เหมือนดาวฤกษ์กำลังเผาไหม้เพื่อให้แสงสว่าง เมื่อคาเครุเผลอเอ่ยว่า "ที่จริงคืนนี้ก็มีดาว" ไฮจิไม่ได้ซักไซ้ว่าทำไมเขาถึงคิดเช่นนั้น มีเพียงรอยยิ้มที่กว้างขึ้นและแววตาสุกใสกว่าเดิมที่มองไปข้างหน้าเท่านั้นเอง
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
mkamaboko (@mkamaboko)
น่ารักมากๆ เลยค่ะ ดีใจที่คุณกิ๊บดู run with the wind แล้วเขียนงานชิ้นนี้ออกมา
ชอบความเป็นไฮจิกับคาเครุที่อยู่ในฟิคเรื่องนี้ รู้สึกเหมือนเห็นพวกเขาที่กำลังใช้ชีวิตต่อหลังจากอนิเมจบน่ะค่ะ
คาเครุเป็นเด็กดีจริงๆ นะ! ไหนว่าจะไม่ยอมปรับความเร็วไง แต่ตอนเดินด้วยกันก็รู้สึกว่าอยากจะปรับใช่ไหมล่ะ อยากให้มันช้าลงกว่านี้อีกนิดบ้างรึเปล่า นี่เป็นความรักแหละพ่อหนุ่ม
ปล. ดาวก็อยู่ข้างๆ พี่แล้วไงคะ ?

เป็นฟิคที่เราเหมือนได้พักใจดีค่ะ ขอบคุณที่เขียนนะคะ