เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I<Ethiopia>U : มี<เอธิโอเปีย>ระหว่างเราArmmie Born TobeBrave
บทส่งท้าย <แล้วหลังจากนั้น>
  • ดิฉันถูกปลุกให้มากินอาหารเช้าบนเครื่องบินขากลับชั้นประหยัด 

    ซึ่งรู้สึกตัวอีกที ใบหน้าฝั่งซ้ายของดิฉันซึ่งนาบไปกับกระจกของเครื่องบินไปตอนไหนไม่รู้

     ถูกแดดยามเช้าเหนือมหาสมุทธอินเดีย ที่ความสูงระดับชั้นสตราโตสเฟียร์ เผาจนหน้าแสบ เสียใจที่เมื่อคืนไม่ได้ทาครีมกันแดดก่อนนอน 

    คุณป้าชาวเอธิโอเปียชุดเหลืองข้างๆก็เกรงใจ ไม่ยอมปลุกให้ดิฉันเอาม่านบังแสงขึ้น แม้แสงจะแยงตาป้า(และเผาหน้าดิฉัน) อยู่นานสองนาน

    คนเอธิโอเปียนี่ ขี้เกรงใจจัง 



    ดิฉันปิดม่านบังแสงขึ้นไปสักครู่

    ฟาดอาหารเช้าให้เรียบ

    ขอคุณป้าเสื้อเหลืองออกไปแปรงฟัน

    แล้วกลับมานั่งที่ริมหน้าต่างที่เดิม ดิฉันแง้มม่านบังแสงลงนิดนึง เพื่อแอบดูท้องฟ้าข้างนอก

    เมฆขาวลอยเป็นปุยขี้เกียจ อยู่ไกลๆ


    ตอนนี้เพื่อนร่วมทริปของดิฉันจะเป็นยังไงบ้างนะ 


    การล่ำลาอย่างลวกๆเมื่อวานระหว่างชาวเอเชียและชาวอเมริกัน

    มันรวดเร็ว และออกจะดูเป็นไปตามมารยาท มากกว่า ใจความสำคัญของการล่ำลากันจริงๆ

    พวกเราต่างจับมือกัน เซย์กูดบาย และอวยพรให้กันและกันโชคดี ขณะที่ลงจากรถ

    และหลังจากนั้นก็ทำเป็นเหมือนไม่รู้จักกันอีกเลย


    สำหรับ Mr.T คนรถฮิปฮอปของเรา

    เค้าก็ดูยุ่งกับการเก็บของลงจากรถมากเกินกว่า

    จะมาล่ำลาเราเกินคนละหนึ่งประโยค 

    แต่เค้าก็บอกกับดิฉันว่า คุณเป็นนักท่องเที่ยวคนแรกเลยทีเดียว 

    ที่ชอบเพลงฮิปฮอปเนื้อหา หยาบโลน ที่เขาเปิดบนรถ คนส่วนใหญ่ขอเล่นเพลงตัวเอง หรือไม่ก็ขอให้เขาปิด

    ดิฉันทำให้เขารู้สึกมีความสุขกับการขับรถมากๆเลย


    สำหรับเพื่อนร่วมรถดิฉัน ทากะซัง และ เจ๊เจนนิเฟอร์

    พวกเราลากันตั้งแต่บนรถแล้ว 

    เราแลกช่องทางติดต่อกันและกัน

    ดิฉันได้ Facebook E-mail Line ของทากะซังมาครบ

    ส่วนเจ๊เจนไม่มี Facebook (เจ๊บอกว่ามันคือความเสียเวลาของคนรุ่นใหม่) 

    เจ๊ให้อีเมล ที่เป็นชื่อภาษาจีนมา อย่างเดียว และบอกว่า เดี๋ยวเจ๊จะส่งรูปของดิฉันทั้งหมดที่เจ๊ถ่ายให้ทางอีเมล 


    ดิฉันจินตนาการเล่นๆถึงทุกคน ว่าจบทริปแล้ว พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่


    หมอชาวอเมริกันทั้งสี่คนคงกำลังง่วนกับการเก็บตัวอย่างเชื้ออยู่ในโรงพยาบาลสักแห่ง

    ในเมืองหลวง Addis Ababa 

    งานวิจัยเรื่องเชื้อดื้อยาของพวกเขาในเอธิโอเปีย น่าจะกำลังไปได้สวย

    พวกเขาน่าจะพบความสัมพันธ์อะไรบางอย่าง ที่จะทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ทางการแพทย์

    มันอาจจะช่วยเหลือประชากรหลายล้านคนในโลก ให้ไม่ต้องตาย

    และเกิดข้อบังคับใหม่ในการใช้ยาปฏิชีวนะ ที่นำไปใช้ในโรงพยาบาลต่างๆทั่วโลก

    ถึงแม้แทบไม่สนิทกันเลย (และบางทีก็เหม็นเบื่อพวกเขา)

    แต่ดิฉันค่อนข้างชื่นชมงานของพวกเขาเอามากๆ 

    คิดเหมือนกันนะคะว่า ถ้าชีวิตนี้มีโอกาส อยากจะออกไปทำอะไรแบบนี้อย่างพวกเขาบ้าง

    ในแง่หนึ่งดิฉันก็อยากมีส่วนร่วมในการทำให้โลกใบนี้ดีขึ้น



    ส่วนเจ๊เจนนิเฟอร์

    ตอนนั้นน่าจะกำลังเดินทางไปเที่ยวต่อในแหล่งมรดกโลกอื่นๆของเอธิโอเปีย

    ไม่แน่ใจว่าเจ๊ยังชอบอัพเดตอุณหภูมิอยู่เรื่อยๆเหมือนเดิมรึเปล่า เพราะอากาศที่ส่วนอื่นของเอธิโอเปีย

    ไม่น่าจะร้อนนรกแตกเหมือนที่ๆพวกเราผ่านมา

    อ้อ เจ๊น่าจะกำลังเตรียมตัวปีนคิริมานจาโร  อยู่ในช่วงนั้นเหมือนกัน

    มันค่อนข้างท้าทายสาววัย 50 ปีอย่างเจ๊ทีเดียว สำหรับยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปแอฟริกา

    เจ๊เล่าให้ฟังว่า มันคือ New year Resolusion ปี 2016 ที่เจ๊ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปี 

    ที่ผ่านมาเจ๊ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย คิริมานจาโร ทำให้เจ๊ลุกขึ้นมาวิ่งทุกเช้าในช่วงหลายเดือน

    เจ๊อยากทำมันให้สำเร็จ และเจ๊ต้องทำมันให้ได้ด้วย

    ดิฉันไม่สงสัยเลย ว่าในไม่ช้า เจ๊เจนต้องมีรูปสวยๆจากยอดคิริมานจาโร มาอวดได้แน่นอน

    เพราะเมื่อเทียบเรื่องราวชีวิตของเจ๊ที่ผ่านมา เจ๊สู้ชีวิตมามากขนาดนั้น

    คิริมานจาโร น่าจะเป็นเป้าหมายในหมวด  “ทำได้ง่าย” ของเจ๊

    ดิฉันนับถือความเป็นนักสู้ของเจ๊เจนมาก 

    พลางคิดว่า ถ้าดิฉันเป็นคนกัดไม่ปล่อยได้สักครึ่งของเจ๊เจน ชีวิตดิฉันจะประสบความสำเร็จขนาดไหน






    สำหรับทากะซังที่รัก

    เวลาการเดินทางหนึ่งปีของเขากำลังจะหมดแล้ว

    ตอนนี้ เขาน่าจะถึงสเปน เขาบอกว่าอยากร่วมประเพณีวิ่งวัวกระทิงสักครั้งในชีวิต

    ดิฉันค่อนข้างสนุก ที่จินตนาการภาพทากะซังวิ่งหน้าตาตื่น อยู่กลางหมู่ซินญอ และซินญอริต้า 

    หนีวัวกระทิงขี้หงุดหงิดตัวล่ำๆ เขาแหลมๆ  ขวิดซินญอคนนึงลอยขึ้นฟ้าเลือดกระฉูดออกจากไส้ เป็นฉากหลัง

    หลังจากนั้นเขาคงไปต่ออีกสักสองสามประเทศ

    ถ่ายรูปสวยๆขายทางออนไลน์ 

    มีบทความภาษาญี่ปุ่นลงในนิตยสารและ Blog การท่องเที่ยวของเขา ที่ดิฉันคงไม่มีวันได้อ่าน

    ท้ายที่สุดเขาคงกลับไปที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของเขา

    กลับไปบอกหัวหน้าของเขาว่าจะลาออก 

    หัวหน้าเขาคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แม้แต่ครอบครัวหรือคนรอบข้างของเขา คงจะไม่เห็นด้วยกับเขาเท่าไหร่

    เพื่อนบางคนของเขาอาจจะหายไป เพราะคิดว่าเขาไม่เอาจริงเอาจังกับชีวิตตามขนบของคนทำงานชาวญี่ปุ่น

    แต่ดิฉันรู้ว่าแม้วันที่เขาไม่เหลือใคร ใครคนหนึ่งคงไม่ทิ้งเขาไปและอยู่สนับสนุนเขาทุกการตัดสินใจ

    คนที่สำคัญพอที่ทากะซังจะหยุดความฝันที่จะโลดแล่นในโลกนี้ไว้สักครู่ เพื่อกลับไปหา

    ไม่นานทั้งคู่คงแต่งงานกัน 

    มีลูกสักสองคน วิ่งเล่นอยู่ที่โรงเรียนสอนถ่ายภาพของทากะซัง

    ในมุมเล็กๆมุมนึง ที่สวยงามในโตเกียว



    กลับมาที่ดิฉัน

    ป้าเอธิโอเปียข้างๆดิฉันเป็นฝ่ายหลับบ้างแล้วในตอนนั้น

    ดิฉันดึงเอาสมุดไดอารี่ขึ้นมาเขียนต่อ เรื่องราวของวันสุดท้ายที่เขียนค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

    เมื่อเขียนเสร็จ ก็ใช้เวลาที่เหลือไล่อ่านที่ตัวเองเขียนไว้เกี่ยวกับเอธิโอเปียตั้งแต่วันแรก

    ทบทวนทุกเหตุการณ์เข้ามาอยู่ในความทรงจำ

    หลังจากนี้ดิฉันก็ต้องกลับไปเผชิญชีวิตของตัวเองเช่นกัน

    หลังจากทำงานมาหลายปี ดิฉันก็สอบเรียนต่อได้

    ก่อนหน้านี้ดิฉันเองที่อยากกลับไปเรียนต่อจนตัวสั่น เพราะงานที่ทำอยู่มีความรู้สึกอิ่มตัว

    แล้วพอได้โอกาสก็ดีใจ วางแผนเที่ยวเอธิโอเปียเป็นทริปสุดท้าย เพื่อหวังจะทริปทิ้งทวน 

    ก่อนที่จะต้องทุ่มเทให้กับการเรียนเป็นระยะเวลา 3 ปี อย่างเต็มกำลัง ไม่ได้ไปไหนอีกเลย

    เรียนจบ มีงานดีดีทำ มีเงินเดือนหลายหลัก  มีครอบครัว มีบ้าน มีรถ มีเงินออม มีความมั่นคง 

    แผนชีวิตมันก็น่าจะเป็นไปแบบนั้น ตามร่องตามรอย แบบคนอื่นๆ


    ถ้าความรู้สึกหนึ่งในใจ มันไม่ได้ค่อยๆเติบโตขึ้น หลังจากเอธิโอเปียทริปนี้ 

    ไอ้ความรู้สึกที่ทากะซังเคยเล่าให้ฟังหลังเงากระท่อมหิน ที่เมืองสุดท้ายของมนุษย์ก่อนจะถึงปากปล่องนรก

    ว่าความรู้สึกหนึ่งที่เติบโตขึ้นในใจเขาแล้วทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป


    “โลกนี้คือบ้าน”

    มันสะท้อนก้องอยู่ในความคิดของดิฉันมาสักพักนึงแล้ว

    ในใจลึกๆของดิฉันโหยหาการเดินทางครั้งต่อไป 

    อยากเดินทางไปเรื่อยๆจนไม่รู้สึกว่ามีเส้นพรมแดนอีก

    ไม่มีประเทศ มีแต่บ้านหลังใหญ่

    ออกไปเดินสำรวจรอบๆบ้านหลังใหม่ของดิฉันให้มากที่สุด

    ดิฉันอยากออกไปเจอสมาชิกในบ้าน ที่อยู่ในมุมต่างๆ พูดคุยกับเขา กินนอนกับเขา ไปดูว่าเขาอยู่กันยังไง

    และ นาทีนั้น ดิฉันรู้แล้วว่าดิฉันไม่เหมือนเดิม

    และหลังจากนี้ หากความรู้สึกนั้นมันคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

    จนถึงจุดนึง ที่มีพลังมากพอ ดิฉันอาจจะตัดสินใจออกไปทำตามความฝันของตัวเองแบบทากะซัง  

    แม้มันอาจจะดูเสี่ยง 

    และขัดใจใครหลายๆคนรอบๆตัวดิฉันก็ตาม









    “ฉันฝันที่จะออกไปเจอโลกกว้าง.....

    ฉันฝันที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในนี้ให้ดีขึ้น..

    ฉันฝันที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ๆ ที่ยิ่งใหญ่จนทุกคนจดจำ...."



    .................................



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in