เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
One Shot and Drabblenasderd
(one shot) Icy Myth - ชงเก่ง: steve x bucky and friends

  • จริงเหรอวะ

    “จริงไม่จริงเดี๋ยวมึงก็ลองดู กูให้ร้อยนึงเลย แซมมึงมาจั่วแทนสตีฟดิ๊” โลกิ ลาฟิสัน กัปตันทีมโต้วาทีพูดขึ้นมาดื้อๆ ราวกับกำลังพูดถึงดินฟ้าอากาศ มือใหญ่สะกิดเพื่อนอีกคนที่กำลังนั่งจิ้มโทรศัพท์มือถือให้มาทำหน้าที่แทนเพื่อนเจ้าของชื่อสตีฟที่เพิ่งจะลุกออกไปไม่นาน


    “แต่มันสองคนแทบไม่มีอะไรคืบหน้าเลยนะ ตอนแรกกูก็ว่ามีลุ้นอะ แต่มันเงียบเกินว่ะ” แซม วิลสัน พูดพลางจั่วไพ่จากมือของนาตาชาอีกที


    “มึงไม่รู้เหรอเรื่องที่แม่งกับบัคกี้มันเคยอิ๊อ๊ะๆ กันอยู่ช่วงนึงอะ” ทุกคนในวงพยักหน้า แต่ถึงอย่างนั้นผู้หญิงคนเดียวในวงก็ยังท้วงออกมาพร้อมๆ กับร้อง ‘เยส’ เมื่อจับคู่ไพ่คู่แรกได้ พร้อมแปะลงไปกลางวง


    “นั่นแหล่ะ แต่มันก็เงียบไปเป็นปีแล้วไม่ใช่เหรอวะ” 

    “โว้ย! ก็นี่ไง กูถึงไล่ไปซื้อน้ำแข็งอะ!” 


    คุณชายลาฟิสันเริ่มจะหัวเสียขึ้นมานิดนึงแล้ว บวกกับอาการกึ่มๆ จากแอลกอฮอลล์ที่เริ่มจะออกฤทธิ์ทำให้เขาขึ้นเสียงใส่เพื่อนร่วมวงเหล้าขึ้นมา ร้อนถึงคนอื่นๆ ที่ยังพอจะมีสติต้องผลัดกันมานวดไหล่ บีบแขนบีบขาให้ใจเย็นลง


    “มึงใจเย็นดิวะ” แซมที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนแรกที่เดินมาล็อคคอเพื่อนสายเมาแล้วเฮ้ว หาเรื่องชาวบ้านไปทั่วให้สงบลงก่อนที่วงเหล้าจะกลายเป็นเวทีมวย


    “เออใจเย็นดิ กูไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อโว้ย แต่สองคนนั้นมันไร้วี่แววจริงๆ” นาตาชา หรือ แนท ขยายความต่อ เธอนั่งเถียงกับเจ้าเพื่อนหน้าหมีเรื่อง “ตำนานน้ำแข็ง” มาประมาณ 20 นาทีแล้ว ถึงจะเคยได้ยินมาบ้างแต่ก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก ถ้าเป็นคนอื่นน่ะอาจจะมีหวัง แต่นี่มันไอ้หน้ามึนอย่างสตีฟ โรเจอร์ กับคนง้องแง้งอย่างบัคกี้ บาร์นส์ ทำท่าเหมือนจะอ่อยกันมาเป็นปี แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรคืบหน้า จากตอนแรกที่แอบลุ้นกับไอ้พวกนี้อยู่บ้าง เพื่อนๆก็เริ่มทำท่าถอดใจกับสองคนนี้มาสักพักแล้ว


    “แต่แม่งก็เหมือนจะเหล่ๆ กันอยู่นะเว้ย ถึงจะยึกยักๆ ทั้งคู่ก็เหอะ ที่สำคัญมันไม่เคยมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองเลย คราวนี้อาจจะพอมีแสงร่ำไรที่ปลายถ้ำบ้างแหล่ะไอ้เหี้ย ความจริงไอ้สตีฟแม่งก็กากเองนั่นแหล่ะ ถ้าเป็นคนอื่นกูว่าป่านนี้บัคกี้แม่ง มีผัวเป็นตัวเป็นตนไปนานแล้ว” โทนี่เสริมขึ้นมาระหว่างนั่งแกะซองโดริโตที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อกินแกล้มกับของมึนเมารอบๆ ตัว 


    “เห้ย กูเห็นด้วย ในฐานะเมทของบัคกี้กูขอพูดตรงนี้ เห็นมันเงียบมานานก็จริง แต่คราวนี้กูว่าไอ้กากแม่งเริ่มรุกแล้วมึง แม่งลุกตามบัคกี้ไปเองนะเว้ย หรือความจริงมันก็แอบเชื่อวะไอ้เรื่องที่ออกไปซื้อน้ำแข็งด้วยกันแล้วจะได้กันเนี่ย” ธอร์ตอบกลับมา ในขณะที่โลกิก็ยักคิ้วหลิ่วตาตามอย่างคนมีชัยชนะ




    “50 บาท ขากลับมาสองคนนั้นแม่งมีอะไรคืบหน้าชัวร์ๆ” 

    “ตะกี๊มึงบอกร้อยนึง”

    “เออน่าไอ้สัส”






    ในตำนานวงเหล้าเขาว่ากันว่า

    “ใครที่ออกไปซื้อน้ำแข็งด้วยกันเขาว่ากันว่าจะได้เป็นแฟนกัน”

    เขาแม่งคือใครก็ไม่รู้แหล่ะ 


    เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ก็ไม่รู้เท่าไหร่ และที่สำคัญคือวิทยาศาสตร์ก็ช่วยอะไรไม่ได้กับเรื่องในวงเหล้าแบบนี้





    สิ่งที่จะเป็นข้อพิสูจน์ได้ ก็คงเป็นเรื่องราวของสตีฟ โรเจอร์ และ บัคกี้ บาร์นส์ นับตั้งแต่วินาทีนี้




    .

    .

    .

    .






    20 นาทีก่อน




    วันที่ 31ธันวาคม

    วันเคาท์ดาวน์ วันที่ในเมืองมีไฟประดับประดาตกแต่งมากมาย 

    วันที่ “คนส่วนใหญ่” ที่มีคู่ก็จะออกไปไหนมาไหนกับแฟน บางคนก็อยู่กับครอบครัว บางคนก็อยู่คนเดียว หรือบางคนก็ใช้เวลานี้อยู่กับกลุ่มเพื่อน



    เช่นเดียวกับแก๊งค์ชายโสดหญิงโหดในหอพักนอก ใกล้กับมหาวิทยาลัยชื่อดังที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ความจริงหัวหน้าแก๊งลูกเจี๊ยบอย่างลาฟิสันเกือบจะต้องพลาดนัดดื่มครั้งสำคัญเพราะต้องบินไปพักผ่อนต่างประเทศกับที่บ้าน แต่แล้วแผนที่วางไว้ก็พังหมดเพราะตารางสอบที่เลื่อนมาสิ้นสุดเกือบจะสิ้นปี แต่นั่นก็ทำให้สมาชิกหอพักชายครบองค์ประชุม ห้องของแซมและโลกิถูกเลือกให้เป็นสถานที่สิงสถิตในวันนี้ นั่นก็เพราะว่ามีอุปกรณ์ครบครันมากที่สุดนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็นขนาดใหญ่พิเศษ ของกินจุกจิก และไพ่สามสำรับ


    และในตอนที่ธอร์ โลกิ สก๊อตต์ นาตาชา และสตีฟกำลังเล่นสลาฟกันอยู่กลางห้อง โดยมีแซมนั่งชงเหล้าพร้อมๆ กับดูบอลอยู่กับโทนี่ และคนเดียวในห้องที่ไม่ได้ดื่มและดื่มเหล้าไม่ได้อย่างบัคกี้ ก็ยืมเตียงบนของแซมนั่งเล่นโทรศัพท์ไปพลางๆ ก็ได้เกิดเหตุที่ทำให้เรื่องราวของวันนี้น่าสนใจขึ้นเป็นอย่างมาก..


    “น้ำแข็งหมด” แซมพึมพำขึ้นมาระหว่างกำลังชงเหล้าแก้วต่อแก้วเข้าปากเจ้าพ่อดื่มเพียวอย่างโลกิที่กระดกเอากระดกเอาไม่ได้เห็นใจเพื่อนๆ รอบๆ ที่ต้องแชร์ค่าเหล้าด้วยจำนวนเงินเท่ากันเลยแม้แต่นิดเดียว โทนี่ที่กำลังดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกย้อนหลังก็หันมามองรอบๆ ก่อนจะอาสาไปดูในตู้เย็นให้อีกที


    “เดี๋ยวกูไปดูในตู้เย็นให้แป๊ป” ลุกไปไม่ถึงนาที สิ่งที่แซมได้รับก็คือท่าทางทำมือโบ๋เบ๋ เท่ากับว่าในตู้เย็นก็ไม่มีน้ำแข็งเหมือนกัน 


    “แซมมมม เอามาอีกดิ๊ มึงชงต่อเนื่องหน่อยดิ เดี๋ยวกุน็อคไปทำไง ยังไม่คุ้มเลย” เสียงโวยวายของคนกึ่มที่จั่วไพ่อยู่ข้างๆ ทำให้มือชงเหล้าขาประจำถึงกับต้องเบะปาก


    “กูยังไม่ได้แดกสักแก้วยังไม่บ่นเลย ไอ้ห่านี่ น้ำแข็งหมดแล้วมึงใจเย็นก่อน” แซมบ่นไปแต่ก็ยังชงแก้วสุดท้ายที่ยังพอมีน้ำแข็งเหลือแล้วยื่นให้กับรูมเมท เจ้าของสมญานามสายแข็งรับแก้วไปอย่างโปรๆ ก่อนจะทำเป็นวิ้งค์แล้วก็ส่งหัวใจให้แทนคำขอบคุณ ในระหว่างนั้นเองที่แสงแฟลชสว่างวาบออกมาจากโทรศัพท์ของคนที่นอนอยู่บนเตียงชั้นสองมุมขวาของห้องพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะคิกคักๆ 


    “ไอ้บัคกี้! มึงถ่ายแสนปแชทกูเหรอ” โลกิหันขวับไปด้วยความเร็วแสง แต่ก็ยังช้ากว่านิ้วยาวของบัคกี้บาร์นส์ ที่ทำการอัปโหลดคลิปวิงค์และส่งหัวใจและส่งจูบของโลกิลงในสตอรี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 


    “คิกคิก..ช้าไปแล้ว ไอ้อ่อน” 

    “มึงลงมาเลย แม่ง ว่างมากออกไปซื้อน้ำแข็งดิ๊” บัคกี้บ่นงุบงิบๆ พึมพำกับตัวอยู่คนเดียว แต่ก็ยอมปีนลงมาจากเตียงชั้นบน รับตังค์ไปจากมือของโทนี่ หันมาทวนออเดอร์กับโลกิอีกทีเพื่อความแน่ใจ แต่ก่อนจะได้ก้าวออกไปจากห้องนั้นเอง



    รอก่อน เดี๋ยวไปด้วย



    บัคกี้ชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะพยักหน้าและเดินออกไปโดยเปิดประตูทิ้งไว้ สตีฟที่นั่งอยุ่กลางวงไพ่เทไพ่ตัวเองทั้งแผงและลุกตามไปโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของคนในห้องอีกเลย


    “อ้าว แม่งหงายไพ่เฉย ต้องเล่นใหม่ป่ะเนี่ย” ธอร์พูดพลางตบเข่าเบาๆ ในขณะที่นาตาชานอนลงกับพื้นไปแล้ว แต่ที่น่าแปลกใจก็คงเป็นเสียงหัวเราะหึๆ จากโลกิ ลาฟิสัน..


    “ขำห่าไรเนี่ย” แซมบ่นขึ้นมากับท่าทางเหมือนคนมีอาการทางจิตของเพื่อน

    “พวกมึงไม่รู้อะไรแล้ว”


    “อะไรวะ”


    “เขาว่ากันว่า คนที่ออกไปซื้อน้ำแข็งด้วยกัน..แม่งจะได้กันว่ะ”


    และทุกสายตาก็มองตรงไปยังประตูที่คนสองคนที่ว่าเพิ่งจะเดินออกไป




    .

    .

    .

    .



    “…..”

    “…..”


    ออกมาคนเดียวซะยังจะดีกว่า


    บรรยากาศรอบตัวที่เงียบสนิทอยู่แล้วเพราะไม่มีใครอยู่ที่หอกันในวันปีใหม่แบบนี้ ยิ่งเงียบขึ้นไปอีกเมื่อเขาต้องมาอยู่ด้วยกันตามลำพังกับสตีฟ โรเจอร์ เพื่อนในกลุ่มที่เขาไม่สนิทด้วยมากที่สุดแล้วในตอนนี้ แต่ในทางกลับกัน สตีฟก็เป็นเพื่อนที่เขามี ‘อะไรบางอย่างที่ไม่อยากจะพูดถึง’ ด้วยมากที่สุดเช่นกัน


    “คิก...” บัคกี้รีเพลย์คลิปของโลกิส่งจูบให้แซมในแสนปแชทก่อนจะหลุดขำออกมา ในตอนนั้นเองที่สตีฟคว้าโทรศัพท์ของเขาเอาไปดูบ้าง


    “เฮ้ย” บัคกี้กำลังจะตะโกนด่าอีกฝ่ายอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ติดว่าสตีฟดันหัวเราะออกมาซะก่อน และปัญหาก็คือ สตีฟ โรเจอร์ นักกีฬาปีนผาคนดังของยูที่เริ่มจะเมานิดหน่อย ผมสีบลอนซ์ถูกเสยจนยุ่ง แล้วไหนจะหัวเราะที่มาพร้อมกับมือที่ตบเข้ากับอกของตัวเอง ท่าทางแบบนี้มันก็ ‘น่าดู’ อยู่พอสมควร แม้อีกฝ่ายจะใส่แค่เสื้อฮู้ดเยินๆ กางเกงนอนและรองเท้าแตะ โปะด้วยเสื้อกันหนาวตัวโตเพื่อสู้กับอากาศติดลบข้างนอก ก็ไม่ได้ทำให้ออร่าความ ‘น่าดู’ นั้นลดลงไปเลย และที่สำคัญที่สุด เจมส์ บูแคแนน บาร์นส์ ก็กำลังเขินอยู่ด้วย 


    นั่นคือปัญหา


    มีปัญหามากมายเต็มไปหมด



    “อ่ะ เอาไป...เป็นไรหน้าแดง..หนาวเหรอ” สตีฟหยุดเดินพร้อมกับยื่นโทรศัพท์คืนมาให้ คนที่กำลังต่อสู้กับปัญหานับร้อยในใจคว้าโทรศัพท์คืนมาจากมือของเพื่อนในกลุ่ม คนตัวสูงกว่าหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินเตะเศษหิมะข้างทางเป็นระยะ ริมฝีปาก(ที่ดูท่าทางจะนุ่มมาก)สีอ่อนส่งเสียงร้องเบาๆ เมื่อความหนาวเย็นของหิมะเริ่มจะทำให้รู้สึกชาที่นิ้วเท้า บัคกี้กลอกตาให้กับความซื่อบื้อของอีกฝ่าย พร้อมกับตะโกนด่าใส่คนที่เดินนำว่ารู้ทั้งรู้ว่าหิมะตกยังจะใส่รองเท้าแตะออกมาอีก นักกีฬาคนเก่งไม่พูดอะไรนอกจากหัวเราะ เอ่ยเบาๆ ว่าสบายมาก ก่อนจะความเงียบจะเข้ามาปกคลุมบริเวณที่ทั้งสองเดินข้างกันอยู่อีกครั้ง


    สตีฟเขาหันมามองคนข้างๆ เป็นระยะ พร้อมกับคิดอยู่ในใจว่าจะพูดอะไรกับเพื่อนคนนี้ดี



    “สอบเป็นไง” คำถามโง่มาก เขารู้ตัวดี แต่มันไม่มีทางเลือกอะไรมากเท่าไหร่ ถ้าจะถามว่ากินข้าวยัง ก็เพิ่งจะข้าวเย็นด้วยกันทั้งกลุ่มเพื่อนเมื่อตอนเย็นนี้เอง ถ้าถามไปก็คงจะดูโง่กว่าเดิม คงเหลือแค่เรื่องการสอบปลายภาคที่ผ่านมาเมื่อสองวันก่อน ที่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยินจากบัคกี้เลย  


    “ก็..ดีมั้ง พอทำได้แหล่ะ” บัคกี้ตอบกลับมาสั้นๆ ห้วนๆ เอาผมทัดเข้าที่หู ก่อนจะก้มลงไปกดอะไรในโทรศัพท์ต่อ และนั่นทำให้สตีฟเริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย ใช่ว่าบัคกี้จะไม่รู้ว่าสตีฟไม่ชอบท่าทางอย่างคนไม่อยากยุ่งด้วยของเขา แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่อเขาก็ไม่อยากคุยกับอีกฝ่ายจริงๆ นั่นแหล่ะ เขาไม่ได้เกลียด ไม่ได้ไม่ชอบหน้า..


    มันซับซ้อนกว่านั้น


    เรื่องของเขากับสตีฟ ไม่สิ อาจจะเป็นเรื่องของเขาอยู่ฝ่ายเดียว มันเกิดขึ้น แล้วก็จบลงมากว่าสองปีแล้ว ในตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะทำใจได้ในระดับนึง มากพอที่จะอยู่กับสตีฟตามลำพังได้โดยไม่ทำตัวแย่ๆ แต่จากบทสนทนาที่ผ่านมาก็น่าจะพิสูจน์ได้ว่ามันเหลวไหลทั้งเพ


    เขายังไม่พร้อมจะอยู่กับสตีฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามลำพังแบบนี้


    แล้วนี่ใครใช้ให้มันตามเขามาซื้อน้ำแข็ง!


    ถ้าจะปิดประตูใส่หน้าแล้วบอกว่าไม่ ก็กลัวว่าคนอื่นในห้องจะสงสัยอะไรขึ้นมา เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คงต้องรีบซื้อรีบกลับ ให้ช่วงเวลาน่าอึดอัดใจนี้ผ่านไปได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี



    ขาเรียวยาวรีบจ้ำเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ตรงเข้าไปที่ตู้น้ำแข็งท้ายร้าน แต่เมื่อเดินไปถึงก็พบกับตู้เปล่าๆ เท่านั้น สตีฟที่เดินตามมาทีหลังก็เห็นในสิ่งเดียวกัน คนตัวสูงกว่าเดินไปหาพนักงานที่ยืนเรียงของใส่ชั้นอยู่ใกล้ๆ



    “เอ่อ...ขอโทษนะคะ สะดวกรอสัก 30 นาทีมั้ยคะ รถน้ำแข็งน่าจะมาส่งอีกทีตอนนั้นอ่ะค่ะ ขอโทษจริงๆ นะคะ ช่วงใกล้ปีใหม่นี่ของส่งไม่ค่อยทันเลย” พนักงานประจำร้านหันมาค้อมตัวอย่างขอโทษ บัคกี้เหลือบไปมองคนที่มาด้วยกัน ก่อนที่สตีฟจะเป็นฝ่ายถามออกมา


    “เอาไง จะรอมั้ย”

    “ไงก็ได้”



    “ถ้าเดินไปร้านอื่นก็พอกันอะ เผลอๆ นานกว่าอีก อีกอย่างหนาวเท้าว่ะ ไม่อยากเดินไกล” ดวงตากลมเหลือบไปมองสลิปเปอร์เจ้าปัญหาของอีกฝ่ายก็ได้แต่ถอนหายใจและพูดออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

    “งั้นรอก็ได้” 



    บัคกี้ตอบเสียงห้วนอย่างคนอารมณ์ไม่ดี ความจริงคือเขาอารมณ์ไม่ดีจริงๆ อุตส่าดีใจที่โดนไล่มาซื้อน้ำแข็ง อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องเก็กสบายดีต่อหน้าสตีฟ แต่ไอ้บ้านี่ก็ดันเดินตามออกมาอีก แล้วแทนที่จะได้รีบซื้อรีบไปรีบกลับ กลายเป็นว่าต้องมานั่งรถน้ำแข็งกับตัวปัญหาอีกเกือบครึ่งชั่วโมง 



    บัคกี้และสตีฟเดินออกมานั่งอยู่ที่ม้านั่งใกล้ๆ กับทางเข้าของร้านสะดวกซื้อ มือเรียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตัวเลขที่หน้าจอบอกเวลา 11:29 นั่นทำให้บัคกี้สติแตกอยู่ในสมอง เพราะนัยยะที่แผงอยู่ก็คือเขาอาจจะต้องมานั่งเคาท์ดาวน์กับสตีฟในร้านสะดวกซื้อระหว่างรอน้ำแข็งมา ให้ตายเหอะ บัคกี้เริ่มหันซ้ายหันขวา ชะโงกหน้าไปดูตรงถนนบ้าง ก้มดูนาฬิกาบนโทรศัพท์บ้าง แม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังแอบหวังอยู่ในใจว่ารถน้ำแข็งบ้านั่นจะโผล่มาเร็วๆ นี้ สตีฟได้แต่แอบมองท่าทีเร่งรีบของบัคกี้อย่างไม่เข้าใจ



    “มึงรีบไปไหนวะ” จนสุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจถามออกมา

    “เปล่า กูแค่อยากกลับแล้ว” บัคกี้ตอบกลับไปเบาๆ ก่อนจะกดปลดล็อคหน้าจอพร้อมกับกดโทรด่วนไปหาคนที่ใช้ให้เขาออกมาซื้อน้ำแข็ง



    “โหล โลกิ น้ำแข็งหมด ต้องรออีกครึ่งชั่วโมง กูกลับก่อนได้มั้ย ไม่อยากรอ” 

    “โอ้ย ไหนๆมึงก็ออกไปแล้วอะ กูจะแดกต่ออ” 

    น้ำเสียงงอแงติดแหบๆ ห้วนๆ ทำให้รู้ว่าตอนนี้เพื่อนสนิทของเขาไม่อยู่ในสภาพที่จะคิดอะไรด้วยเหตุผลได้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้บัคกี้หยุดความพยายาม


    “งั้นมึงให้คนอื่นออกมาซื้อแทนกู กูจะกลั---” ยังไม่ทันพูดจบดี สายก็โดนตัดไปแล้ว บัคกี้สบถใส่โทรศัพท์เบาๆ ก่อนจะนั่งเลื่อนๆ หน้าจอไปมาอย่างไม่รู้จะทำอะไร 


    สตีฟมองท่าทางของบัคกี้แล้วก็ถอนหายใจ 



    “เคาท์ดาวน์ที่นี่สองคนก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นมั้ยวะ” สตีฟพูดออกมาเหมือนจะอ่านใจอีกฝ่ายออก ใบหน้าได้รูปหันกลับไปหา ก็เจอพ่อคนรูปหล่อประจำทีมว่ายน้ำนั่งท้าวคางจ้องหน้าเขาอยู่


    “….”


    “….”


    “ก็เปล่า”


    “บัคกี้...”


    “….”




    “ทำไมอยู่ดีๆ ก็ไม่คุย” นั่นไง มาแล้ว


    ปัญหาของเขา


    “ไม่นิ..ก็..ปกตินี่” 


    “ต่อหน้าคนอื่นอ่ะใช่ แต่ทำไมพออยู่กับกูสองคนต้องเงียบ”

    “กูก็ปกตินั่นแหล่ะ วันนี้กูแค่อยากกลับห้องเร็วๆ มึงคิดไปเอง”

    “ไม่ เมื่อก่อนมึงไม่เป็นแบบนี้ มันตั้งแต่ปีสองเทอมสอง อยู่ดีๆ ก็ไม่ตอบแชทกู แล้วมึงก็ไปสนิทกับแซม”



    ก็เพราะตอนนั้นสตีฟทำตัวเหมือนรู้เรื่องแล้วไง...

    ชอบเข้ามาใกล้ เหมือนสังเกตุอาการเขาอยู่ ชอบทำเหมือนว่ารู้ แต่ก็ไม่ทำอะไรสักที



    “ก็เรียนเอกเดียวกับมันอะ ทำไมจะสนิทไม่ได้” 

    “แต่เราเรียนละตินเซคเดียวกัน ทำไมเวลาจะติวยังไปติวกับแซม”



    ก็เพราะถ้ายิ่งเข้าไปใกล้..เข้าไปสนิทกว่าเดิม



    “ก็มันเรียนเก่ง”

    “กูก็เอนะเว้ย อยากรู้อะไรทำไมไม่มาถามล่ะวะ กูเล่าให้มึงฟังได้ทั้งวันอ่ะ มีศัพท์เหี้ยอะไรมึงถามดิ แค่ถามกูก็ตอบ”



    ก็เพราะว่ารู้ยังไงล่ะว่าสตีฟก็คงจะดีด้วยเหมือนเดิม




    “…”

    “เฮ้ย บัคกี้ แค่พูดกับกูเนี่ย ยากมากเหรอ”  


    “แล้วมึงจะมาถามอะไรมากมายตอนนี้วะ!”  จากที่คุยกันเบาๆ ก็เริ่มจะเปลี่ยนเป็นเสียงตะคอก สตีฟเงียบลงพร้อมกับขบกรามตั้งใจจะข่มอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่น เขาจ้องหน้าบัคกี้ที่เบือนไปทางอื่นด้วยความไม่เข้าใจ บัคกี้ก็หันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างรำคาญ และที่สำคัญคือเพื่อหลบไม่ให้สตีฟเห็นว่าเขากำลังจะร้องไห้แล้ว



    “บัคกี้...”



    อีกนิดเดียว


    “ก็บอกว่าหุบปากได้แล้วไง! กูไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหล่ะ” 


    “มึงเกลียดกูมากเลยเหรอ...” 



    สุดท้ายสิ่งที่ไอ้เพื่อนเวรอย่างโลกิเสี้ยมมันก็ไม่เคยเป็นจริง

    สตีฟคิดว่าเขาโดนเกลียดเข้าแล้วจริงๆ 



    “มึงเคยชอบกูบ้างมั้ย”


    “ก็เพราะชอบไงวะ!”



    ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกัน



    แต่ก็เป็นอีกครั้งที่บทสนทนาถูกขัดจังหวะ ท้องฟ้าตรงหน้าสว่างวาบขึ้นมาพร้อมกับเสียงของดอกไม้ไฟที่ดังกระหึ่ม เสียงโห่ร้องปรบมือและดนตรีของงานเฉลิมฉลองใกล้ๆ ดังกระหึ่มขึ้นมาจนต้อง แสงไฟพร้อมกับเสียงของพลุจากด้านนอกทำให้เสียงของสตีฟถูกกลืนไปเสียเฉยๆ เช่นเดียวกับเสียงของบัคกี้ที่พูดอะไรบางอย่างออกมา ดวงตาคมหันไปมองบัคกี้ เขาเห็นบัคกี้ขยับปากเป็นคำ แต่เสียงของดอกไม้ไฟที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่องทำให้เขาไม่ได้ยิน แต่ถ้าเขามองไม่ผิด เขาคิดว่าบัคกี้กำลังพูดคำคำหนึ่งออกมา..


    “….” สตีฟตาโต จ้องมองไปที่เจ้าของริมฝีปากสีชมพูคู่นั้นที่เพิ่งจะพูดอะไรบอกอย่างออกมา แม้จะมืดแล้วแต่แสงไฟจากร้านสะดวกซื้อมันก็สว่างมากพอที่จะทำให้เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด เพียงแต่เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่บัคกี้พูดออกมากับสิ่งที่เขาคิดนั้นมันคือสิ่งเดียวกันหรือเปล่า...


    เขาอาจจะเข้าข้างตัวเอง


    มากๆ 


    ถึงได้คิดว่าคำที่ออกมานั้น..



    สตีฟยืนขึ้นและกำลังจะเอื้อมไปคว้าแขนบัคกี้ไว้ แต่เจ้าตัวก็ขยับหนี ทันใดนั้นเองรถกระบะคันใหญ่ก็จอดลงพร้อมกับพนักงานสองคนที่ขนถุงน้ำแข็งขนาดใหญ่ลงมาจากท้ายรถ บัคกี้ลุกพรวดขึ้นมา แล้ววิ่งเข้าไปในร้านตามถุงน้ำแข็งนั่นไปติดๆ 


    “บัคกี้!” 




    2 ปีก่อน




    -ไปนอนๆๆๆ ไอ้อ้วน ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เรียนเช้า-

    ขอความสั้นๆ ปรากฎขึ้น ณ มุมขวาล่างของจอคอมพิวเตอร์พกพาของเจ้าของเตียงชั้นบนของห้อง 309



    เจมส์ บูแคแนน บาร์นส์ อมยิ้มออกมาเล็กน้อย

    แค่เล็กน้อยเท่านั้นนะ



    “กิ ทำไมมึงชอบเมาห้องคนอื่นวะ ไอ้ห่า ลำบากกูต้องแบกมึงกลับไปหาไอ้แซมอีก” ธอร์พูดขึ้นมาพลางเก็บกระป๋องเบียร์ที่คุณชายลาฟิสันกองไว้ตรงปลายเตียงใส่ถุงพลาสติกเตรียมไปทิ้ง โดยที่คนโดนบ่นแทบจะไม่ได้สติแล้ว นอนเอาหัวพิงขาเตียงแล้วก็หันมายิ้มใส่อย่างคนไม่รู้เรื่อง หนึ่งในเจ้าของห้องอย่างธอร์ก็ได้แต่ถอนหายใจ เอาเท้ายันร่างที่นอนเกะกะขวางทางของโลกิออกก่อนจะมัดปากถุงและเปิดประตูห้องเตรียมจะเดินออกไป


    “บัคกี้..” เขาเรียกชื่อรูมเมทของตัวเองที่นอนเล่นโน้ตบุ้คอยู่บนเตียงชั้นบน แต่บัคกี้ก็ยังไม่หันมา ธอร์ชะโงกหน้าไปดูก็เห็นว่าบัคกี้ยังตื่นอยู่ แต่สีหน้าเหมือนคนเหม่อลอยที่มองไปที่จอด้วยรอยยิ้มลอยๆ เขาจึงตัดสินใจตะโกนอีกครั้ง


    “บัคกี้!” 

    “ห...ห้ะ?” บัคกี้รีบพับจอโน้ตบุ้คเครื่องบางลงแล้วมองลงมาที่ธอร์ด้วยท่าทีลนๆ 



    “กูจะออกไปทิ้งขยะ มึงดูกิด้วยนะ” คนตัวเล็กกว่าพยักหน้าเร็วๆ ก่อนจะต้องถอนหายใจยาวๆ ออกมาหลังจากธอร์ปิดประตูห้องไปแล้ว ฝาของโน้ตบุ้คเครื่องบางถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับบัคกี้ที่มองข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมา พร้อมกับเลื่อนขึ้นไปอ่านข้อความก่อนหน้า




    -เมื่อเช้ามาสาย ทำไรมาวะ ไม่สบายเหรอ-

    -กูตื่นสายได้มั้ยล่ะ-

    -ถามดีๆ เป็นห่วงนะเว้ย ไอ้นี่-

    - :P 

    - ไอ้กิไปกินเหล้าที่ห้องเหรอ

    - เออ รำคาญ เมาแล้วแม่งชอบพังห้องกู-

    - 555555555 เสียใจด้วย กูล็อคห้องเรียบร้อย สก๊อตต์แม่งเอาโซฟามาขวางประตูเลย-

    - เว่อสัส -

    - มึงอย่าให้ไอ้กิจับกรอกปากนะ เดี๋ยวปวดท้องอีก-

    - เอออออออออ พ่อ รู้แล้ว-




    บัคกี้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพลิกตัวนอนหงายและกอดหมอนข้างที่กอดเอาไว้อยู่แล้วให้แน่นยิ่งขึ้น แต่ก็มีเสียงกุกกักจากข้างล่างที่ดังขึ้นขัดจังหวะความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของเขา บัคกี้ชะโงกหน้าไปดูด้านล่างก็เห็นโลกิกำลังเอามืออุดปากตัวเองอยู่ ด้วยสีหน้าซีดๆ และดูไม่ค่อยไหวเท่าไหร่ คนตัวเล็กรีบลุกขึ้นมาและปีนลงบันไดมาด้านล่าง วางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะหน้าทีวีแล้วค่อยๆ พยุงโลกิไปที่ห้องน้ำ


    “กิ..เห้ย..มึง..ไหวเปล่า” หนึ่งในเจ้าของห้องลากเพื่อนมาจนถึงชักโครง บัคกี้เอ่ยถามพลางลูบหลังโลกิที่ยกมือขึ้นมาทำท่าโอเค แต่หน้าซีดเป็นไก่ต้ม บัคกี้ส่ายหัวปนเค่นหัวเราะอย่างระอาพร้อมกับลูบหลังโลกิต่อโดยที่ไม่ได้สังเกตเสียงข้อความเข้าที่เตือนขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ 


    “กู...โอเ-- โอ้กก....” ใบหน้าหล่อเหลาตอนกลางวัน แต่หมดสภาพในยามตะวันตกดินของกัปตันทีมโต้วาทีก้มลงไปหาชักโครกของบัคกี้เป็นครั้งที่สามแล้ว บัคกี้ทั้งเอือมระอาทั้งขำกับท่าทีของเพื่อนสนิทคนหนึ่งในกลุ่ม จนเมื่อโลกิดูเหมือนจะดีขึ้นแล้ว เขาจึงค่อยๆจัดการพาไปล้างหน้าล้างตา และจับเพื่อนรักนั่งลงบนเก้าอี้นวมมุมห้องโดยมียาดมยัดอยู่ที่จมูก บัคกี้ตัดสินใจว่าจะนั่งอยู่กับโลกิจนกว่าธอร์จะกลับมาและลากโลกิไปคืนที่ห้อง เพราะถ้าเขาปีนกลับขึ้นข้างบนไปตอนนี้ถ้าเกิดโลกิเป็นอะไรขึ้นมาอีกต้องวุ่นวายแน่ๆ 


    แสงสว่างวาบจากจอโทรศัพท์ดึงความสนใจของบัคกี้ออกจากใบหน้าซีดเซียวของโลกิ เจ้าของเส้นผมยาวประบ่าลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ก่อนจะนั่งลงอ่านที่พื้นข้างๆกับโลกิ 




    -นอนยังวะอ้วน-

    -ถ้ายัง ไปฟังเพลงนะ ชอบสัส สก๊อตต์แม่งหลับแล้ว ไม่รู้จะส่งให้ใครฟัง-



    ข้อความหายไปเหลือแค่เพียง url ของ youtube ยาวเหยียด ที่บัคกี้กดเข้าไปตามลิงค์นั้นทันที



    ดนตรีอะคูสติกเบาๆ พร้อมกับเสียงร้องนุ่มชวนฟังทำให้บัคกี้ผ่อนคลาย และยิ่งไปกว่านั้น เพลงนี้ทำให้เขานึกถึงสตีฟ ต่อให้คนที่ส่งเพลงนี้มาให้เขาจะไม่ใช่สตีฟ เขาก็คงจะยังนึกถึงสตีฟอยู่ดี



    It was only a smile but my heart it went wild

    I wasn't expecting that



    “ชาเขียวร้านนี้กากสัด” บัคกี้เงยหน้าจากโทรศัพท์ มองไปเห็นสตีฟทำหน้าเหยเกให้กับชาเขียวปั่นในแก้วพลาสติกใสๆ เมื่อเห็นว่าเป็นของโปรด บัคกี้จึงคว้ามาจากมือของสตีฟทันทีพร้อมกับดูดเข้าปากอย่างไม่สนใจเสียงตะโกนว่า ‘ของกูๆ’ เลย


    “อร่อยดีออก สตีฟ อร่อยสัส” เมื่อรสชาติหวานอมขมนิดๆ ไปสัมผัสที่ปลายลิ้น บัคกี้ก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที 


    “เหรอวะ” สตีฟถาม บัคกี้พยักหน้าหลายที ยื่นมันกลับไปให้สตีฟแต่อีกฝ่ายส่ายหน้ากลับมา

    “แดกดิ อร่อย”

    “ไม่เอาอ่ะ มึงอร่อยมึงก็เอาไปแดกเหอะ” บัคกี้ยิ้มแปล้ เหมือนตามปกติที่ได้ของกินมาฟรี ในตอนนั้นเองที่เขาหันไปเห็นสตีฟที่ยิ้มกลับมาให้เหมือนกัน ดวงตาคมที่ไม่ค่อยแสดงออกอะไรมากกลับหยีลงตามรอยยิ้มกว้างๆ ที่ส่งมาให้ ในตอนนั้นเองที่เขายิ้มตอบกลับไป แต่คราวนี้เขารู้ดีแก่ใจว่ามันไม่ใช่เพราะได้ของกินมาฟรีๆ แต่เพราะรอยยิ้มนั้นของสตีฟมันทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากยิ้มกลับไป ณ ตอนนั้น เขาไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่เขากำลังรู้สึกมันคืออะไร เขารู้เพียงแค่ว่ามันทำให้เขาไม่อยากลุกจากโต๊ะนี้ไปเลย 


    Did I misread the sign? Your hand slipped into mine 

    I wasn't expecting that 



    “…!” บัคกี้นิ่งชะงักไปเมื่อสตีฟเลื่อนมาจับมือเขา แล้วก็บีบเอาไว้

    “จับแน่นๆ ดิวะ เหลาดินสอแบบนี้เดี๋ยวได้บาดมือเลือดหมดตัวตายห่า” ไม่เพียงแค่มือที่ซ้อนทับ แต่เป็นใบหน้าของสตีฟที่อยู่ใกล้มากๆ จนบัคกี้ต้องเบี่ยงหนีเล็กน้อย สตีฟจับมือเขาทั้งสองข้างพร้อมกับจับคัตเตอร์เหลาดินคอให้ตั้งในแนวนอน แล้วค่อยๆ บังคับมือเขาให้เฉือนเนื้อตะกั่วออกช้าๆ 


    “ก..ก็ไม่เคยเหลานี่หว่า ไอ้สก๊อตต์แม่งฝากเหลา” 

    “ครับๆๆ กูเห็นท่าเหลามึงแล้วรู้เลยว่าเด็กเสดสาด มือไม้นี่อ่อนเชียว” บัคกี้ไม่ได้ตอบอะไรไป ตัวเกร็งไปหมดจนกลัวว่าสตีฟจะรู้สึกได้



    เขาไม่ได้กลัวมันบาดมือ แต่เขากำลังกลัวสิ่งที่เขากำลังเป็นอยู่ตอนนี้มากกว่า

    เขาไม่ได้มือไม่มีแรงขึ้นมาดื้อๆ เพราะเรียนคณะเศรษฐศาสตร์หรอก แต่เพราะสตีฟเข้ามาใกล้มากเกินไปต่างหาก..



    “ม..มึงก็ไม่ได้เรียนถาปัต จะอวดเรื่องเหลาดินสอเหี้ยไรมากมาย”

    “เออไม่ได้เรียนถาปัตละไง ไม่เคยได้ยินเหรอว่า..” สตีฟขยับเข้ามาใกล้อีก พร้อมกับกระซิบข้างๆหู “หนุ่มทันตะเขาว่าใช้มือเป็นเลิศนะครับ” พร้อมกับเสียงหัวเราะดังลั่น และสตีฟที่ผละออกไปแล้ว บัคกี้นิ่งไปหลายวินาที ก่อนจะต้องตะโกนด่ากลับไป เพราะเขาไม่ยอมให้สตีฟรู้แน่ๆ ว่าเขากำลังเขิน และเผลอนึกภาพอะไรไปมากมายขนาดไหน


    คำใบ้: ภาพที่ว่าคือมือของสตีฟ และอะไรต่อมิอะไรหลายๆ อย่างที่เขาจะให้สตีฟรู้ไม่ได้


    “กูแช่งให้มึงได้ใช้มือไปตลอดชีวิตเลยไอ้เหี้ย”


    ไม้ตาย: ด่ากลับไป ไม่ให้มันรู้ว่ากำลังเขิน


    บัคกี้รู้สึกตัวแล้วว่าชีวิตเขากำลังจะเผชิญกับปัญหาอันยิ่งใหญ่

    .

    .


    “บัคกี้..มึง..มึงยิ้มเหี้ยไรเนี่ย ถึงกูเมากูก็กลัวนะ” บัคกี้กลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง เพลงจากโทรศัพท์เงียบไปนานแล้ว เหลือเพียงโลกิที่ตอนนี้นั่งมองเขาอยู่อย่างเกรงๆ บัคกี้หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปหาโลกิที่นั่งสะลึมสะลือจ้องหน้าเขาอยู่


    “มึงเมาอยู่ใช่มั้ย”

    “เออดิ..มึนว่ะ”

    “ถ้ากูบอกอะไรที่สำคัญมากๆ กับมึ--“

    “โอ้ยยย พูดเหี้ยไรมาตอนนี้กูก็จำไม่ได้หรอก ไอ้เหี้ย ต้นไม้ภาษาฝรั่งเศสแปลว่าอะไรกูยังคิดนานเลยสภาพนี้” บัคกี้ยิ้มขึ้นมาอย่างถูกใจ 


    “โลกิ..”


    “ก็บอกว่าอย่าเพิ่งคุยไงวะ”

    “อย่าบอกใครนะ..”


    “…”




    “กูว่า..กูชอบสตีฟว่ะ”




    “เฮ้ย!!” สตีฟตะโกน “มึงเคยชอบกูบ้างมั้ยวะ!” 




    บัคกี้ชะงัก ก่อนจะค่อยๆ หันหน้ากลับมาทางคนที่เขาอยากจะทั้งหนีไปให้ไกลที่สุด และอยากวิ่งเข้าไปกอดมากที่สุดเช่นกัน



    แล้วก็อย่างที่เขาคิด

    สตีฟรู้.. รู้มาตลอดว่าเขาคิดยังไง



    ทั้งที่รู้อย่างนั้นแล้วแท้ๆ จะยังย้ำให้เขาผิดหวังอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    เขารู้แล้วว่าสตีฟไม่คิดอะไร แต่ก็แค่เข้ามาใกล้กันให้เขาคิดมากไปเองเล่นๆ เท่านั้นเอง


    ในตอนนั้นเขาคิดว่าถ้าใกล้มากกว่านี้ หรือยังใกล้กันอยู่แบบนี้ สักวันเขาคงเก็บมันไว้ไม่ไหว จนสุดท้ายแล้วก็คงทำให้เกิดบรรยากาศน่าอึดอัดขึ้นมาในกลุ่มเพื่อนแน่ๆ บัคกี้จึงเลือกที่จะหักดิบจากตัวปัญหาของเขา เขาไม่ตอบข้อความอะไรจากสตีฟทั้งนั้น ไม่อยู่ด้วยกันสองคน และเข้าไปตัวติดกับชิมแซม เพื่อนร่วมคณะเพียงคนเดียวมากกว่าเดิม





    แล้วทุกอย่างก็ดำเนินผ่านมาเกือบจะ 2 ปี

    บัคกี้คิดว่าไม่ช้าก็เร็ว ความรู้สึกที่เขามีให้สตีฟ สักวันหนึ่งมันก็คงจะหายไปอย่างเงียบๆ



    ถ้าเพียงแค่สตีฟไม่มากวนตะกอนในใจของเขาให้มันฟุ้งขึ้นมาอีกแบบนี้..




    ยังชอบอยู่รึเปล่างั้นเหรอ?

    เหอะ... ไอ้โง่เอ้ย



    “ก็ไม่ได้อยากจะชอบมึงนักหรอก ถ้าเลิกได้กูเลิกตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไอ้บ้า!” บัคกี้ตะโกนกลับมาพร้อมใบหน้าเหยเกเหมือนคนจะร้องไห้อีกรอบ ก่อนจะตะโกนประโยคสุดท้ายใส่หน้าสตีฟอย่างเหลืออด



    “เออดิ เคยชอบ ชอบ กูยังชอบมึง แล้วไงวะ!?” 

    "..."

    "พอใจมึงยัง!"





    2 ปีก่อน


    “เหย..มึงอะ..มึงนั่นแหล่ะ นั่งๆๆๆๆๆ” สตีฟที่เพิ่งจะถอดเสื้อยืดสีเทาเหวี่ยงลงตะกร้า และกำลังเดินไปอาบน้ำถูกไอ้เพื่อนขี้เมาสายแข็งคนหนึ่งดึงชายกางเกงบ็อกเซอร์แล้วก็เขย่าๆ จะให้เขานั่งลง สตีฟถอนหายใจ เมื่อพยายามเอาเท้าเขย่าแขนของโลกิออกแล้วไม้สำเร็จเขาก็เลือกที่จะนั่งลงแต่โดยดี เพราะรู้ดีว่าการเถียง ขัดขืนหรือพยายามใช้เหตุผลกับคุณชายลาฟิสันที่กำลังเมานั้นไม่มีทางสำเร็จ


    “อะไรอีก พูดเสร็จก็กลับห้องมึงไปได้แล้วนะไอ้เหี้ย เมาอย่างหมาแล้วมึงอะ” โลกิส่ายหน้าพร้อมกับพึมพำว่า ‘ไม่เมาๆ’ มือทั้งสองข้างจับที่ไหล่ของสตีฟเอาไว้ ชายหนุ่มเจ้าของห้องปรายตามองอย่างเซ็งๆ พร้อมกับพยายามกวาดขวดเหล้าเปล่าๆ ไปไว้อีกมุมหนึ่งของห้องเพราะกลัวคนไร้สติอย่างโลกิจะปัดแตก ตอนนั้นเองที่โลกิเลื่อนมือมาจับหน้าเขาให้หันมามองกันตรงๆ เจ้าตัวหันซ้ายหันขวาอย่างกับคนมีความลับจะพูด สตีฟยกไหล่ขึ้นอย่างไม่เข้าใจ



    “เป็นเหี้ยไรมึง” 

    “เมื่อวาน..บัคกี้บอกกูว่ามันชอบมึง” โลกิกระซิบเบาๆ ก่อนจะละออกไปหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ ตู้เย็น ในขณะที่สตีฟนั้นนิ่งไปแล้ว 


    ว่ายังไงนะ ?


    “มึงก็ชอบมันใช่ม้าาา..กูเห็นนะๆ วันก่อนก็ทำเนียนซื้อชาเขียวมาแล้วบ่นไม่อร่อย มึงไม่แดกชา แต่บัคกี้อ่ะชอบแดก มึงก็ใช้มุกไม่อร่อยๆ นี่ทั้งชาติ สุดท้ายก็เอาให้บัคกี้แดก ซื้อมาให้บัคกี้ก็บอกว่าซื้อให้บัคกี้ ไอ้สัด” สตีฟไม่ได้เถียง เพราะนั่นมันก็เรื่องจริง เขาซื้อมาเพราะจะเอามาให้บัคกี้กินจริงๆ นั่นแหล่ะ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น มันคือสิ่งที่โลกิพูดออกมาก่อนหน้านี้ต่างหาก



    บัคกี้ชอบเขา?

    แล้วบัคกี้รู้เหรอว่าเขาเองก็..



    เหมือนจะชอบบัคกี้อยู่นิดหน่อย



    “จริงเหรอวะ” คนกำลังจะเดินไปอาบน้ำล้มเลิกความตั้งใจไปดื้อๆ เขาดึงโลกิลุกขึ้นมานั่งดีๆ ตบหน้าอีกฝ่ายเบาๆ ให้ลุกมาคุยกันต่อ

    “ไอ้กิ ไอ้สัด ตอบ แล้วบัคกี้รู้เรื่องกูมั้ย”


    “ไม่รู้ๆๆๆ กูเมาๆๆ” โลกิส่ายหัวลูกเดียว สตีฟนั่งพิงกับหัวเตียงของตัวเองก่อนจะมองไปที่โลกิที่เหมือนจะลุกขึ้นมาอย่างเซๆ

    “จะไปไหน มาคุยให้รู้เรื่องก่อน” 



    “ก็บอกว่ากูเมาไงจ้ะ เมาๆๆๆ คนเมาพูดไม่รู้เรื่องหรอกจ้า” โลกิพูดขึ้นกับสลับกับหัวเราะไปเรื่อยๆ

    “ไอ้ห่า แล้วเมื่อกี๊เสือกบอกไม่เมา” สตีฟตะโกนด่าไล่หลัง ก่อนจะตัดสินใจพยุงโลกิไปคืนแซมที่หน้าห้องเมื่อเห็นท่าทีโลกิจะไม่ไหวแล้ว 


    มือหนาเคาะลงกับประตูหมายเลข 311 แรงๆ พร้อมกับตะโกนไปว่า “ไอ้สัส มาเก็บศพเพื่อนมึงด้วย” ร่างสูงยันโลกิให้นั่งอยู่กับที่ก่อนจะเดินกลับห้องมา ในตอนนั้นเองที่ประตูห้องตรงกันข้ามเปิดออก พร้อมกับใบหน้างัวเงียของคนคนหนึ่งโผล่ออกมา



    ไม่เอาน่า...

    อย่าเพิ่งได้มั้ย

    ใจคอไม่ดีเลย




    “อะไรกันวะพวกมึง ตี 2 แล้วนะ” 

    บัคกี้ขยับที่ปิดตาลายดัมโบ้ที่ใช้เป็นประจำตอนเข้านอนให้พ้นดวงตา ริมฝีปากเล็กๆ นั้นอ้าออกหาวยาวๆ พร้อมกับหรี่ตามองว่าเกิดเสียงดังอะไรขึ้นใกล้ๆ กับโถงทางเดิน


    “สตีฟ?” เมื่อโลกิเมาพับไปแล้ว ส่วนคนยืนใส่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอย่างกับไม่ได้ยินคำถาม ทำให้บัคกี้ต้องเรียกชื่ออีกฝ่าย

    “ป..เปล่า พาโลกิมันมาปล่อยเฉยๆ แม่งเมา” สตีฟตอบโดยที่ไม่หันหน้าไปมอง บัคกี้พยักหน้าพลางขยี้ตาไปด้วย ก่อนจะปิดประตูลงอย่างเดิม สตีฟยืนค้างอยู่ที่หน้าห้องแซมกับโลกิอยู่อย่างนั้น ดวงตาคมยังคงจ้องไปที่ประตูบานนั้นสลับกับโลกิที่นอนเมาค้างอยู่หน้าประตู สตีฟพึมพำเบาๆ กับโลกิที่ตอนนี้คงหลับไปแล้ว


    “มึงพูดจริงเหรอวะ..” 


    สตีฟยืนกุมขมับอยู่สักพัก จนกระทั่งแซมเปิดประตูมาลากโลกิเข้าไปในห้องอย่างสะลึมสะลือ สตีฟจึงได้ตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในห้อง แต่ก่อนที่ประตูจะปิดลง สตีฟก็หันกลับไปมองประตูห้องของบัคกี้อีกครั้ง ก่อนจะสะบัดหัวไปมาอย่างไม่แน่ใจนัก


    สตีฟไม่เชื่อโลกิเท่าไหร่หรอก หนึ่งคือมันเมาอย่างคนหมดสภาพ สองคือเมาหรือไม่เมา มันก็ชอบพูดอะไรพ้อเจ้อ ออกแนวเสี้ยมๆ เขามาหลายรอบแล้วว่าให้ จีบบัคกี้มั่งแหล่ะ ลุยเลยมั่งแหล่ะ ทั้งที่บัคกี้ก็เป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน เขาไม่รู้หรอกว่าความจริงบัคกี้จะรู้สึกยังไง สำหรับเขาบัคกี้ก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนนึงในกลุ่ม เจ้าคนตัวเล็กที่เป็นคนเดียวที่ไม่แตะอบายมุข ไม่ว่าจะเหล้า เบียร์ บุหรี่ (เพราะแพ้แอลกอฮอลล์อย่างแรง) ตัวผอมๆ เดินลากเท้า ที่ไม่ว่าเวลาจะเดินไปไหนก็ต้องคอยรอให้เดินตามให้ทัน ริมฝีปากสีสดที่ฉีกยิ้มทุกครั้งที่เจอกัน และยิ้มกว้างกว่าเดิมถ้าเกิดเขามีของกินติดไม้ติดมือไปให้ ดวงตาสีอ่อนที่รับรู้เสมอเวลาที่เขามีอะไรไม่สบายใจ และด้วยทุกสิ่งที่ว่ามา ทำให้มันเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับสตีฟที่ความรู้สึกเอ็นดูเหล่านั้นจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นที่ลึกซึ้งมากขึ้น...



    แต่ถ้าเกิดว่าบัคกี้ชอบเขาขึ้นมาจริงๆ 

    นั่นนับว่าเป็นโชคดีหรือเปล่านะ ?


    .

    .

    .



    “ก็ไม่ไงอ่ะ กูก็ชอบมึงตอนนั้น ชอบมึงตอนนี้ ชอบมึงเหมือนกันเว้ย!” 


    “…”



    สิ้นเสียงตะโกนแข่งกับดนตรีจากงานเฉลิมฉลองที่ดังอยู่แว่วๆ ไม่มีใครสักคนขยับตัว บัคกี้ยังคงยืนก้มหน้านิ่งอยู่แบบนั้น เช่นเดียวกันกับสตีฟ เขาพูดมันออกไปแล้ว สิ่งที่เขาควรจะไปพูดไปตั้งแต่ตอนนั้น คำที่เขาควรจะพูด และคำพูดไม่กี่คำของโลกิที่เขาควรจะเชื่อ สตีฟเห็นน้ำตาของบัคกี้ไหลลงเปรอะใบหน้าน่ารักนั่น เขาจะอยากจะเดินไปเช็ดมันออก อยากจะดึงตัวเล็กๆ นั่นมากอดจนหยุดร้องไห้ แล้วเล่าทุกอย่างให้บัคกี้ฟัง


    เล่าทั้งหมดให้อีกฝ่ายรู้สักที

    ว่าเราสองเสียเวลามามากมายแค่ไหน นั่งเดาใจกันไปมาแบบนี้...



    และในตอนนั้นที่เขากำลังจะเดินเข้าไปและคว้าบัคกี้มากอดไว้


    “เอ่อ...ขอโทษนะคะ..น้ำแข็ง..อ่า..มาส่งแล้ว” พนักงานสาวกะดึกพูดพลางพยักพะเยิดไปทางด้านในของร้านสะดวกซื้อสว่างจ้า บัคกี้ที่อยู่ใกล้กว่าปาดน้ำตาอย่างรีบๆ ก่อนจะหันไปขอบคุณเบาๆ แล้วคนตัวเล็กก็เดินหายไปเข้าไปในร้าน สตีฟตามเข้าไปและมุ่งหน้าตรงไปยังตู้น้ำแข็งด้านในสุดของร้าน ที่ที่บัคกี้ยืนอยู่ และค่อยๆเลื่อนผากระจกออก หยิบถุงน้ำแข็งออกมาสองถุงแล้วเดินผ่านหน้าเขาไปยังแคชเชียร์ 



    ปฏิกริยาของบัคกี้ทำให้เขากลัว 

    ภาพที่สตีฟวาดไว้คืออีกฝ่ายจะร้องไห้ฟูมฟายแล้วกระโดดกอดเขาเต็มแรง ไม่ใช่การเดินก้มหน้าหลบตาจนคิดเงินเสร็จและเดินออกไปจากร้านแบบนี้..



    “บัคกี้” เขาเอื้อมไปจับมือข้างที่ยังว่างของบัคกี้ ก่อนจะดึงเอาถุงน้ำแข็งที่คิดเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วจากมืออีกข้างของบัคกี้มาถือไว้เอง ใบหน้าน่ารักนั่นยังคงก้มจนคางแทบชิดกับอก ไม่มีคำพูด ไม่มีสายตาใดๆ ที่จะบอกได้เลยว่าบัคกี้คิดอะไรอยู่ แต่ไม่นานนักรอยยิ้มเล็กๆ ก็ปรากฎขึ้น ณ มุมปากสีชมพูนั่น


     “….” แม้จะมืดแล้วบัคกี้ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะซ่อนหน้าของตัวเองไว้ในผ้าพันคอผืนหนา เขาก็เห็นอยู่ดีนั่นแหล่ะ ว่าบัคกี้กำลังยิ้มอยู่ สตีฟไม่สามารถบังคับตัวเองให้กลับไปทำหน้าปกติได้แล้ว แค่เห็นบัคกี้ยิ้มเขินๆ แบบนี้ เขาแทบจะอดใจไว้ไม่อยู่ มือข้างที่จับกันไว้ถูกคนตัวสูงกว่ากระตุกเบาๆ เป็นเชิงให้เดินต่อ บัคกี้เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเต็มตาเป็นครั้งแรกหลังจากการตะโกนใส่หน้ากันอย่างดุเดือดเมื่อช่วงที่ผ่านมา


    ภาพของสตีฟที่หันมายิ้มให้เขา พร้อมกับดอกไม้ไฟดวงเล็กๆ ที่ยังถูกจุดขึ้นอย่างต่อเนื่องสว่างจ้าขึ้นมาเป็นฉากหลัง ขาเรียวค่อยๆ ก้าวตามจังหวะที่มือหนาของอีกฝ่ายพาเขาไป มือเล็กกระชับสัมผัสที่แนบชิดกับอีกฝ่ายเพื่อให้แน่ใจว่านี่คือความเป็นจริง 


    ทุกอย่างมันดูสวยงามไปหมด เกินที่จะเป็นเรื่องจริง

    คงจะมีเพียงสัมผัสอุ่นๆ ที่มือเท่านั้นที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาไม่ได้ฝันไป



    “…ไหน” 

    “อะไรนะ?” สตีฟหันมาหาบัคกี้ ที่เดินจับมืออยู่ข้างๆ กัน


    “ตั้งแต่ตอนไหน..” เสียงนั้นเบามากเพราะบัคกี้ยังคงก้มหน้าและครึ่งหน้าของบัคกี้ก็อยู่ใต้ผ้าพันคอนุ่ม แต่ถึงอย่างนั้นสตีฟก็ได้ยิน ชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่สักพักก่อนจะค่อยๆ ยิ้มออกมาเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนนั้น




    “ตอนที่กินชาเขียวกากๆแก้วนั้นนั่นแหล่ะ”

    “….”

    “ยิ้มอะไร” สตีฟหันมา พร้อมกับชะโงกหน้ามาใกล้ๆ เมื่อเห็นว่าบัคกี้ยิ้มออกมากว้างขึ้นกว่าเดิม

    “เปล่า” ใบหน้าเล็กๆ นั้นหันหนี แต่สตีฟก็ไม่หยุด ยังคงชะโงกหน้าเข้ามา บัคกี้ก็ยังหนีอยู่แบบนั้น จนตอนนี้ทั้งคู่เดินจับมือกันเดินวนไปวนมาจนเป็นวงกลมแล้ว



    “โอ้ย สตีฟ! พอได้แล้ว ปวดหัววว”

    “ก็บอกดิว่ายิ้มไร” บัคกี้ส่ายหัวรัวๆ “ไม่มีอะไร ไปได้แล้ว อยู่นานเดี๋ยวเจ็บเท้าไง” ก่อนจะเป็นฝ่ายกระชากสตีฟให้เดินกลับหอพักไปด้วยกันแทน


    ไม่ให้สตีฟรู้หรอก

    ว่าเขาก็ชอบสตีฟมาตั้งแต่ตอนนั้นเหมือนกัน....




    มือที่จับกันไว้ถูกคนแรงเยอะกว่ากระชากกลับให้หันกลับมาอีกครั้ง บัคกี้ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด และในตอนที่กำลังจะหันหน้ากลับมาถามสตีฟว่าจะดึงทำไมนั่นเอง 



    “อะไรอี---” ริมฝีปากอุ่นๆ กดแนบลงบนริมฝีปากชมพูสด เพียงเสี้ยวนาที ไม่ได้รุกล้ำหรืออะไรมากมายไปกว่านั้น คนตรงหน้าเพียงแค่มอบสัมผัสอุ่นๆ ให้กับเขาในวันที่อากาศหนาวแบบนี้ ดวงตากลมตาเบิกโพลง มือที่จับไว้กับมือของเพื่อนสนิทนั้นสั่นน้อยๆ ด้วยความตกใจปนกับตื่นเต้น ไม่กี่อึดใจต่อมาสตีฟก็ถอนริมฝีปากออก พร้อมกับจูงมือบัคกี้ที่ชะงักไปเล็กน้อยให้เดินต่อ 




    จูบแรกที่ไม่มีใครพูดอะไร

    ไม่มีคำถาม ไม่มีที่มาที่ไป 

    มีเพียงสัมผัสกระชับแน่นที่มือข้างหนึ่ง 

    และรอยยิ้มที่มากมายขึ้นเรื่อยๆ ตลอดระยะทางกลับไปยังห้องของโลกิ



    .

    .

    .


    และถ้าหากมองขึ้นมาด้านบน ณ ระเบียงของห้องหมายเลข 311 ชายหนุ่มหัวโจกที่ยืนอยู่กลางวงยืนมองการกลับมาของเพื่อนทั้งสองที่ถูกส่งไปทำภารกิจปกป้องวงเหล้าด้วยการไปซื้อน้ำแข็งด้วยรอยยิ้มของผู้มีชัยชนะ


    โลกิ ลาฟิสัน เหมือนจะสร่างเมาขึ้นมาดื้อๆ ใบหน้าที่ดึงดูดคนทุกเพศทุกวัยหันกลับมายังเพื่อนร่วมวงเหล้าและวงไพ่ที่ยืนอ้าปากค้างกันเป็นแถบพร้อมกับถูนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมือข้างหนึ่งเข้าหากัน 


    “คนละ 50 จ่ายกูมา แบงค์ร้อยกูมีทอน ไวๆเพื่อน แนท แซม” โลกิพูดขึ้นโดยที่มีธอร์กับสก๊อตต์ยืนไฮไฟว์กันอยู่ด้านหลัง ในฐานะของสมาชิกทีมโลกิ ผู้เชื่อว่าขากลับต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งสิ่ง “ดีๆ” ที่ว่า


    ก็คงไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ดีไปกว่าภาพบัคกี้และสตีฟเดินจับมือกันกลับหอพักมาแบบนี้


    แซมกลืนน้ำลายลงคอ พร้อมกับวางธนบัตรจำนวนพอดีลงที่ฝ่ามือของโลกิ พร้อมคิดในใจว่าก่อนจะออกไปซื้อน้ำแข็งตามคำสั่งของเพื่อน เขาคงต้องดูหน้าคนที่จะออกไปซื้อด้วยกันให้ดีๆ เสียแล้ว


    โลกิเก็บธนบัตรลงไปกระปุกออมสินบนโต๊ะทำงานพร้อมกับผิวปากอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินกลับไปที่ระเบียงเมื่อได้ยินเสียงของโทนี่ที่ยืนบ่นอะไรอยู่นานสองนาน


    “ไอ้ห่า เงินก็เสีย น้ำแข็งก็คงจะไม่ถึงปากกู เงินกูออกด้วยครับ โอเค แฮปปี้นิวเยียร์ ปีนี้รู้เลย ปีชงกู” เจ้าของตำแหน่งหนุ่มโสดในฝันของมหาลัยยกมือขึ้นเหนือหัวพลางส่ายหน้าอย่างยอมแพ้ เดินสวนโลกิไปทางประตู เช่นเดียวกับแซมที่หันมาทำหน้าเมื่อยใส่เขาเช่นกัน 


    “ไอ้สัด ปีชงกูดิ กูนี่ไม่ได้แดกสักแก้ว แต่ชงให้พวกมึงมาสิบแก้วแล้วไอ้เหี้ย” 



    “อะไรวะ” โลกิเลิ่กคิ้ว แซมไม่ได้พูดอะไรนอกจากชี้ลงไปด้านล่าง โลกิเดินมาที่ระเบียง พร้อมกับชะโงกหน้าลงไปพร้อมๆ กับสก๊อตต์และธอร์

    “มึงจะแดกต่อมั้ยวะโลกิ” สก๊อตต์ถามขึ้นมา

    “สัด...เหล้าเหลือ” โลกิหันไปตอบด้วยใบหน้าเซ็งๆ 



    “กูออกไปซื้อน้ำแข็งให้ใหม่ก็ได้ แต่! ไอ้เหี้ย กูไปคนเดียว พวกมึงตัวไหนอย่าเสือกตามกูมา ยังไม่อยากได้เมียหรือผัวตอนนี้” ธอร์พูดขึ้นพร้อมกับดักคอ เมื่อตกลงกันเรียบร้อยก็แยกย้ายกันไปตามหน้าที่ โลกิเดินไปตามแซมและนาตาชาให้กลับคืนสู่วงเหล้าและวงไพ่ ออกปากจะเลี้ยงน้ำแข็งถุงใหม่ให้เอง



    ทั้ง 5 คนหมดหวังกับน้ำแข็งถุงเก่าไปแล้ว

    ก็จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อ 2 คนที่ถูกส่งไปซื้อน้ำแข็งก่อนหน้านี้





    คงจะยืนจูบกันอยู่ใต้ถุนหอพักอีกนานจนน้ำแข็งละลายหมดแล้วนั่นแหล่ะ...












    the end.


    สวัสดีค่าาาา รีเมคเรื่องนี้มาจากที่เคยแต่งไว้กับคู่อื่นเพราะชอบมากก จำได้ว่าเพื่อนเคยโม้ให้ฟังเรื่องออกไปซื้อน้ำแข็งกับใครจะได้กับคนนั้น แต่ไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ ทั้งนั้น คิดว่าโม้แน่นอน ฝากน้องๆ ลูกๆ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะค๊า <3 



    lyric. Wasn’t Expecting That - Jamie Lawson 

    http://www.azlyrics.com/lyrics/jamielawson/wasntexpectingthat.html

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in