เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ท่าพระจันทร์peachjuly
ท่าพระจันทร์









  • You may say I’m a dreamer
    But I’m not the only one
    I hope someday you’ll join us
    And the world will be as one



    เสียงหวานใสกล่อมเพื่อนนักศึกษาที่ยังนั่งทำงาน นิ้วเรียวกรีดสายกีตาร์อย่างชำนาญ พลางทอดมองแม่น้ำเจ้าพระยาเบื้องหน้า




    "พอก่อนไหมไค ค่ำแล้วจะไม่ปลอดภัย" หุ้น นักศึกษารัฐศาสตร์ ปี 3 เอ่ยปาก

    "ดีเหมือนกัน น้องหลายคนบ้านไกล" เจ้าของใบหน้าคมสัน ละมือจากการวาดแผ่นป้าย

    "นายกลับยังไง อินเล" หุ้นหันไปถามทางร่างบางที่นั่งดีดกีตาร์

    "รถเมล์สิเกลอเอ๋ย"

    "เดี๋ยวกันไปส่ง" หุ้นฉุดข้อมือเล็กอย่างเอาแต่ใจ อินเลเบ้ปาก ไอ้นี่เป็นเพื่อน หรือเป็นพ่อ

    "ไม่ต้องหรอก บ้านอยู่คนละทาง"

    ร่างเพรียวว่าจบ ก็สะพายกีตาร์ออกมาทันที รู้อยู่หรอกว่ามันเป็นห่วง แต่อินเลก็ห่วงสวัสดิภาพความปลอดภัยของเพื่อนเหมือนกัน หน้าตาไอ้หุ้นมันเรียกตีนน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่






    ปึ่กกก โอ๊ยย



    อินเลร้องลั่น หลังถูกชนเต็มแรง เด็กหนุ่มมองตามไอ้หัวขโมยอย่างเจ็บใจ



    "รออยู่นี่แหละ อันตราย" เสียงห้าวตะคอกสั่ง อินเลมองร่างสูงใหญ่ในชอปสีกรมท่ารัวกำปั้นใส่โจรจนล้มกอง

    "พอแล้ว ! จะฆ่าเขาหรือไง"

    "คิดการใหญ่ ทำไมใจอ่อน" ใบหน้าคมพรายยิ้มล้อเลียน อินเลพ่นลมหายใจออกช้าๆ ระงับคลื่นโทสะที่กำลังแล่นริ้ว

    "ขอบคุณนะ"

    "นึกว่าจะไม่ได้ยินซะแล้ว" ตาคมกริบจ้องดวงหน้าหวานอย่างพิจารณา ก่อนยื่นกระเป๋าสตางค์ส่งคืนผู้เป็นเจ้าของ

    "..............." จบธุระแล้ว อินเลก็ไม่มีความจำเป็นใดๆต้องสนทนากับเด็กอาชีวะ หากคนตัวใหญ่คว้าข้อมือเขาไว้แน่น

    "ปล่อยนะ"

    "ไม่"

    "อันธพาล !"

    "ในสายตานิสิตนักศึกษา ฉันก็เป็นได้แค่นั้น"

    "ไม่จริง ผมเรียกคุณแบบนั้น เพราะกิริยาที่คุณทำกับผมต่างหาก" มือเรียวสะบัดหนีทันที ที่อีกฝ่ายผ่อนแรง




    "คุณมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ต้องการอะไร"

    "ฉันอยากเป็นอาสาสมัคร" ร่างสูงโคลงศีรษะช้าๆ นัยน์ตาคมทอประกายแรงกล้า แต่เจ้าถิ่นยังคงเม้มปากแน่น มองอย่างชั่งใจ

    "ถ้าฉันเป็นผู้ร้าย คงไม่เสี่ยงตายช่วยเธอหรอก"

    "คุณชื่ออะไร ?"

    "ฝัน..."

    "พรุ่งนี้เย็น มาหาผมที่ตึกรัฐศาสตร์"







    --------------------------








    เสียงเพลงปลุกใจดังกระหึ่มทั่วสนามบอล มวลชนทยอยมาสร้างขวัญกำลังใจให้แก่หมู่นักศึกษาจนฮึกเหิม แต่มันไม่ใช่เรื่องดีในสายตาครูบาอาจารย์ อย่างลู่หาน




    "เธอกำลังทำให้เรื่องบานปลาย" อาจารย์ผิวขาวเชื้อสายจีน เตือนเสียงขุ่น

    "นั่นแหละครับที่เราต้องการ ยิ่งเขาอยากให้เราเงียบ เรายิ่งต้องตะโกนให้ดังขึ้น" เหงื่อเกาะพราวบนสันกรามคร้ามแดด สร้างความรำคาญตาจนต้องส่งผ้าเช็ดหน้าให้

    "มือไม่ว่าง... เช็ดให้หน่อยสิครับ"

    "นายคงไคย !"

    "ครับ พี่ลู่หาน" คงไคยยกยิ้ม เมื่อเห็นรุ่นพี่จากโรงเรียนเดียวกันทำตาเขียวใส่ ใครเลยจะคิดว่าโลกมันกลมขนาดนี้

    "นายก็รู้นี่ มั่วสุมทางการเมืองโทษร้ายแรงแค่ไหน"

    "ไม่อะไรร้ายแรงเท่ากับถูกเผด็จการกดขี่หรอกครับ"

    "พี่รู้... แต่พี่เป็นห่วง" เรียวปากแดงแย้งเสียงแผ่ว ลู่หานชื่นชมเด็กหนุ่มสุดหัวใจ คงไคยเติบโตขึ้นพร้อมอุดมการณ์ทางการเมืองอันแน่วแน่ แต่ความใจร้อนตามช่วงวัย อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี

    "ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกครับ ตราบที่เราสู้ไปด้วยกัน" สายตาคมมองคนตัวขาวอย่างมีความหมาย ก่อนคงไคยจะยกมือเรียวมาจรดจูบ

    ดวงตะวันที่ฉายส่องท้องฟ้าอ่อนแสงลง แต่อุดมการณ์คนหนุ่มสาวกลับทวีความร้อนแรงเหมือนภูเขาไฟที่รอวันปะทุ







    ----------------------------










    "นี่คุณ ! วาดไม่เป็น ก็ไปยืนเฉยๆเถอะ" อินเลแหวใส่ร่างสูง ที่ยืนยิ้มกริ่มอย่างภูมิใจ กับตัวการ์ตูนลายเส้นเหมือนก้างปลา

    "ตัวเองตาไม่ถึงต่างหาก"

    "นามธรรมขนาดนี้ วาดให้แฟนดูเถอะ"

    "นี่เค้าก็ดูอยู่" ฝันว่าหน้าตาเฉย ตาคมกริบจ้องหน้าอ่อนใสที่กำลังสนใจป้ายผ้า

    "ดูซิ ฝีมืองี้ จะวาดพานรัฐธรรมนูญ"

    "งั้นวาดพานขันหมากดีไหม วาดเสร็จก็ยกให้เธอเลย"

    "ทะลึ่ง ไปยืนเฝ้าประตูเดี๋ยวนี้เลยนะ !" ใบหน้าหวานซับสีจาง เรียกเสียงหัวเราะห้าวลึกจากอีกฝ่าย


    ตาคมจ้องคนที่กำลังวาดพานรัฐธรรมนูญอย่างตั้งใจ หยาดเหงื่อที่ผุดซึมรอบกรอบหน้าหวาน ชวนให้ฝันนึกอยากซับมันออก ถึงสองแก้มจะแดงจัดเพราะอากาศอบอ้าว แต่ร่างขาวก็ไม่ย่อท้อ ปริปากบ่น ในสิ่งที่ตนกำลังเรียกร้อง







    -------------------------------------------






    งดสอบ





    ใบปลิวแปะหราหน้าประตูห้อง เรียกความสนใจให้นักศึกษาพากันมุงดู


    "พี่ไคๆ เห็นนี่ยัง"

    "จับกุม 13 ขบถรัฐธรรมนูญ*" ตาคมกวาดมองตัวอักษรทุกบรรทัดด้วยความรู้สึกคับแค้น

    หน้าหนังสือพิมพ์ที่มีเนื้อข่าวใส่สีตีไข่ ถูกมือใหญ่ขยี้จนยับย่น



    "จับกุมแถมยังตั้งข้อหาเกินจริง ! นี่มันละเมิดสิทธิกันชัดๆ"

    "สู้ให้มันรู้ไปโว้ย อำนาจแท้จริงจะอยู่ในมือใคร ทรราชย์หรือประชาชน" หุ้นว่าเสียงกร้าว ช่วงขายาวก้าวรวมกลุ่มกับผู้ชุมนุม ที่ใต้ลานโพธิ์





    "ไค... " มือเรียวจับชายเสื้อนักศึกษาไว้จนร่างสูงใหญ่ชะงัก

    "ทำไมพี่ไม่อยู่บ้าน" ตาคมดุมองคนตัวเล็ก ลู่หานยิ้มเจื่อน แก้มแดงเรื่อไปด้วยเหงื่อ

    "พี่เป็นห่วงลูกศิษย์... ห่วงเธอด้วย"

    "ผมก็ห่วงพี่ ทั้งห่วงทั้งหวง" คงไคยอ้าแขนกว้างรับร่างบางที่ตัวสั่นเทาเป็นลูกนก วันนี้วุ่นวายเสียจนไม่มีใครสนใจใคร เด็กหนุ่มเลยมีโอกาสทำตามที่หัวใจเรียกร้อง เขากับอาจารย์ลู่หานเคยคบกันสมัยมัธยมต้น ก่อนอีกฝ่ายจะย้ายไปเรียนที่ฝรั่งเศส

    "พี่ฟังแถลงการณ์จากวิทยุ เขาว่า เราเป็นกบฎ ล้มล้างความมั่นคงของรัฐบาล หาว่านักศึกษามีปืน มีระเบิด" ตาหวานคลอหยาดน้ำใส ที่หลั่งมาเพราะความเจ็บใจในข้อหาที่ถูกยัดเยียด

    "ประชาชนจะมีอะไรนอกจากความจริง คอยดูเถอะ คนพวกนั้นต้องแพ้ภัยตัวเอง"

    "พี่ก็ขอให้เป็นแบบนั้น" ลู่หานส่งยิ้มจาง ตาหวานประสานตาคมกล้าที่ฉายแววมุ่งมั่นในการล้มล้างระบอบเผด็จการ







    -------------------------







    "คนพวกนั้นไม่มีปืนผาหน้าไม้อะไรอย่างที่สื่อมันว่า" เสียงห้าวเอ่ยหนักแน่น ใบหน้าคมไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้จะถูกจับจ้องด้วยสายตากังขา

    "แต่ผู้กองเขาบอกมี ธรรมศาสตร์น่ะตัวดี ซ่อนคลังแสงไว้ใต้ดิน"

    "กูเชื่อในสิ่งที่ตากูเห็น พวกมึงจะเชื่อสื่อห่าเหวนั่นก็ตามใจ"

    "มึงจะแปรพักตร์เหรอไอ้คริส" เด็กหนุ่มหลายคนชักสีหน้าไม่พอใจ

    "ไร้สาระ จุดยืนกูมีอย่างเดียวคือส้นตีน" ใบหน้าคมส่งยิ้มกวนๆ ทำให้เพื่อนยอมคลายความตึงเครียด

    "กวนตีนเหมือนเดิมค่อยยังชั่ว นึกว่าจะเปลี่ยนเป็นปัญญาชนแว่นหนาเตอะ"

    "ไม่ต้องห่วงกูหรอก ระวังใจพวกมึงเถอะ อย่าเสือกรักชาติจนลืมชีวิตปัจเจกชน" ปากหยักเผลอพูดคำเก๋ๆที่ฟังจนหูชาจากกระบอกเสียงนักศึกษา คริสเองก็ไม่เคยสนใจคำว่า ประชาธิปไตย จนกระทั่งได้ยินมันจากอินเล


    ไม่รู้ว่าไอ้พานนั่นบังแดดบังฝนได้ไหม ไอ้ตัวเล็กมันถึงหวงเหลือเกิน แต่คริสก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจอย่างแรงกล้าของผู้ที่มาชุมนุม ทุกคนล้วนต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศชาติให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น มากกว่าจะมาแย่งชิงอำนาจอย่างที่รัฐบาลประกาศ







    ----------------------------








    "เฮ้ย พี่เสกสรรค์สั่งเคลื่อนขบวนแล้ว" หุ้นตะโกนบอกเพื่อนสนิทที่ยืนเป็นมือกลอง ตาเรียวปราดมองเด็กอาชีวะตัวโตที่ยืนข้างอินเลอย่างไม่ชอบใจนัก

    ไม่รู้ว่าไว้ใจได้แค่ไหน แต่กำลังพลก็สำคัญต่อการชุมนุมไม่น้อย กลุ่มฟันเฟืองที่เกิดจากเด็กอาชีวะหลายสถาบันรวมกัน กลายเป็นพันธมิตรในการเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งนี้ได้อย่างน่าชื่นชม


    "จะไปจริงเหรอ ตัวเล็ก" ตาดำจัดอ่อนแสงลง เมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของอีกคน

    "ถามอะไรบ้าๆวะฝัน ถึงขั้นนี้แล้ว ฉันไม่ถอดใจหรอก" อินเลโต้ทันควัน ไม่น่าเชื่อว่า ในเวลาไม่กี่วัน ฝันจะสามารถทำให้เขายอมรับเป็นเพื่อนได้

    "ตัวแค่นี้ จะเอาอะไรไปสู้กับเขา"

    "เราถึงต้องการนาย... ต้องการหลายๆคน ดูสิฝัน คนเรือนแสนเลยนะที่ร่วมต่อสู้กับพวกเรา"

    ตาหวานกวาดมองรอบมหาวิทยาลัยที่มีผู้คนมาชุมนุมจนแน่นขนัด แม้จะอยู่คนละสถาบัน คนละเพศ คนละวัย แต่ทุกคนก็พร้อมใจมาธรรมศาสตร์ด้วยอุดมการณ์เดียวกัน

    "งั้นเธอห้ามปล่อยมือฉันเด็ดขาด" คริสกระชับมือบางไว้แน่น ใบหน้าหล่อคมตึงเครียดต่างจากทุกวัน ถึงผ่านเรื่องตีรันฟันแทงมานับไม่ถ้วน แต่เขารู้ดีว่า วันนี้ การเดินทางเรียกร้องของนักศึกษาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบดั่งที่วาดฝัน



    "สัญญากับฉันได้ไหม"


    "อื้ม สัญญา..." นิ้วเรียวสอดประสานก้านนิ้วยาวอย่างเต็มใจ รอยบุ๋มบนพวงแก้มใส เป็นขวัญกำลังใจให้ฝันฮึกเหิมยิ่งกว่าเพลงปลุกใจเสียอีก












    แยกคอกวัว




    "น้ำครับ พี่" คงไคยส่งขวดน้ำให้อาจารย์ตัวขาว ใบหน้าหวานซีดลงจนคนมองนึกห่วง ลูกชายคนเดียวของนายตำรวจใหญ่ ต้องมาเดินขบวนกลางแดดเปรี้ยง

    "ขอบใจนะ นายเองก็ทานอะไรบ้าง ขึ้นไปพูดตั้งแต่เช้าแล้ว"

    "อย่าห่วงเลยพี่ คนแบบผมตายยาก"

    "อย่าพูดนะ !" ลู่หานตะครุบปากหยัก ทำตาวาว

    "โธ่ ผมไม่ทิ้งให้พี่ขึ้นคานหรอกน่า"

    "มะเหงกแน่ะ เล่นไม่รู้กาลเทศะ" ขวดน้ำกลายเป็นอาวุธแทนไม้เรียว จำเลยตัวโตหัวเราะร่า ทว่าดวงตาสีเข้มกลับฉายความกังวลออกมา จนลู่หานเอ่ยถาม

    "นายว่าเราจะชนะมั้ย"

    "พี่ดูคนที่มาวันนี้สิ มองไปทางไหนก็มีแต่พวกเรา" ตาคมมองฝูงชนที่หลั่งไหลมาจนเต็มพื้นที่ราชดำเนิน

    "พี่กลัวจะเห็นคนไทยด้วยกันต้องเสียเลือดเสียเนื้อ"

    "ไม่หรอกครับ เราจะสู้กันด้วยสันติวิธี" ปัญญาชนอย่างคงไคยเชื่อว่าอย่างนั้น...

    อีกไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็จะเดินทางไปถึงวังสวนจิตร สถานที่แห่งเดียวที่หลอมรวมดวงใจพสกนิกรทุกคนไว้ด้วยกัน








    เปรี้ยง !


    เสียงกระสุนสาดใส่แนวหน้าจนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ข่มขวัญขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยให้ระส่ำระสาย แตกไม่เป็นท่า




    "แย่แล้วไอ้ไค ข้างหน้าเขาปะทะกัน" หุ้นวิ่งกระหืดกระหอบมา ใบหน้าขาวเผือดมีรอยฟกช้ำทั่วไปหมด

    "เวรเอ๊ย ทำไมเขาไม่ฟังเราวะ"

    "กูได้ยินวิทยุประกาศรอบทิศ นักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์"

    "ไม่จริง ! พวกเราภักดีต่อราชวงศ์สุดหัวใจ" ลู่หานตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บใจ ความโกรธแค้นที่ความจริงถูกบิดเบือนครอบงำความกลัวจนหมดสิ้น

    "มึง พาอาจารย์ไปหลบก่อน ทางนี้พวกกูเอาอยู่" หุ้นสั่งเพื่อนเสียงเฉียบ แม้อีกสองคนจะพยายามดึงดันไปหน้าขบวน แต่มวลชนก็เข้ามาเบียดเสียดจนทั้งคู่ต้องพลัดกับหุ้น





    "แม่งเอ๊ยย" แก้วตาคมมองตำรวจที่ยืนถืออาวุธคุมเชิงด้วยความกรุ่นโกรธ ช่างโง่เขลาเบาปัญญาสิ้นดีที่เขาเชื่อถือในความยุติธรรม ทั้งที่ผู้ผูกขาดอำนาจทุจริตคอร์รัปชั่นบ้านเมืองมาหลายครั้ง กระทั่งเหตุการณ์ฮ.ตกที่ทุ่งใหญ่* ความอดทนของประชาชนถึงได้หมดสิ้น

    "รีบไปเถอะ เรามีหน้าที่ที่ต้องทำ" ลู่หานรีบเตือนลูกศิษย์หนุ่ม ตาหวานไหวระริกมองตำรวจหลายนาย คนที่เคยเห็นเขาเป็นลูกเป็นหลาน วันนี้กลับยืนถืออาวุธสังหารกัน เพียงเพราะความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างดั่งเส้นขนาน

    "กลับบ้านไปซะคุณลู่หาน" จ่ามีอายุนายนึงร้องเตือน

    "ลุงทวี"

    "คุณพ่อคุณเป็นห่วงมาก ถ้าไม่รีบกลับ ลุงช่วยอะไรคุณไม่ได้แล้วนะ" มือเหี่ยวย่นกระชับมัจจุราชสีดำแทนการอธิบายถึงสิ่งที่กำลังจะเกิด

    "พวกคุณกำลังจะฆ่าคนบริสุทธิ์ !" คงไคยว่าเสียงกร้าว มือหนาสั่นเทาด้วยความคับแค้น

    "ผมแค่ทำตามหน้าที่ คุณก็รู้ว่ากลิ่นอำนาจมันหอมแค่ไหน"

    "..............."





    เปรี้ยง เปรี้ยงงง ! เสียงกระสุนซัดรัวราวห่าฝน ลุงตำรวจรีบยิงสวนเพื่อปกป้องประชาชน แม้ขัดแย้งกับคำสั่งที่ได้รับ


    "หนีไป !" เสียงสุดท้ายที่ลู่หานได้ยินจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์น้ำดี ที่ทำหน้าที่ของตนตราบจนลมหายใจสุดท้าย


    "ฮืออ... ลุงทวี"

    "ไปกันเถอะพี่ การเสียสละของลุงต้องไม่สูญเปล่า" ตาคมเบือนหนีคนตัวเล็กที่น้ำตาอาบแก้ม คงไคยบดกรามแน่นจนเป็นสันด้วยความโกรธ

    เด็กหนุ่มจ้องมองลานพระบรมรูปทรงม้าที่อยู่ไม่ไกลจากสายตานัก หากเนืองแน่นไปด้วยฝูงชนราวมดดำไต่ลามทั่วแผ่นดิน แม้ทางข้างหน้า จะมีรถถังบดขยี้ให้บี้แบนก็ตามที









    ------------------------------------








    เปรี้ยงง !


    เปรี้ยงง ! เสียงกระสุนเจาะเข้าร่างประชาชนคนแล้วคนเล่าล้มตายราวใบไม้ร่วง ดวงหน้าหวานซุกอ้อมแขนแกร่งของคนที่พาเขาฝ่าการจลาจลจนเกือบถึงที่หมาย


    อีกไม่นาน อินเล อีกไม่นาน พานรัฐธรรมนูญจะกลับมาสว่างเรืองรอง การปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งบนแผ่นดินไทย





    "เฮ้ย ไอ้คริส มีตุ๊กตาน่ารักก็แบ่งให้พวกกูเล่นบ้างสิวะ" เด็กช่างร่วมสิบคนถือท่อนเหล็กเข้าประชิด ตาคมรีบก้มหลบตาหวานด้วยความละอาย

    "พวกนายจะทำอะไร บ้านเมืองมีขื่อมีแปนะ"

    "พูดอะไรของมึงวะคนสวย คอมมิวนิสต์แบบมึง เจอที่ไหนก็ฆ่าทิ้งได้ทั้งนั้น"

    "ใครแตะอินเล กูฆ่ามึงแน่" เสียงห้าวกร้าวขึ้นจนอินเลขนลุกชัน ใบหน้าคมดุจริงจัง เป็นเครื่องยืนยันว่าฝันไม่ได้พูดเล่น

    "เอาตัวให้รอดก่อนเถอะไอ้คริส ถ้าผู้กองรู้ว่ามึงทรยศ เขาเอามึงตายแน่ !"

    "พวกมึงเลิกโง่ได้แล้ว ไม่เห็นความฉิบหายรอบตัวเหรอ ปล่อยเขาไป... ปล่อยอินเลไป"

    "ไม่นะฝัน เราจะไม่ปล่อยมือกัน นายเป็นคนพูดเองนะ" ตาหวานไหวระริกอย่างสับสน อินเลบีบมือหนาที่เย็นเฉียบ

    "ฮ่าๆ ถูกมันตุ๋นจนเปื่อยแล้วไอ้หน้าอ่อน วันนั้น คนที่ขโมยกระเป๋ามึงก็พวกกูเองแหละ" เด็กหนุ่มร่างท้วมเดินอาดๆ มืออวบอูมลูบแก้มอินเลอย่างจาบจ้วง คริสถุยน้ำลายใส่มันทันที ดวงตาสีจัดวาวโรจน์จนมันถอยร่น


    "กูบอกแล้วใช่ไหมว่า อย่าแตะคนของกู"


    คริสถอดเสื้อชอปคลุมร่างบางที่นิ่งงันด้วยความช็อค "หนีไปอินเล ไปทำความฝันของเธอให้สำเร็จ"



    "ไม่ ฝัน เราสัญญากันแล้ว"

    "ไม่มีสัญญาพวกนั้นหรอกเล ไม่มีคนชื่อฝันบนโลกนี้ จำไว้" ร่างสูงหันหลังให้คนตัวเล็กที่น้ำตานองหน้า อินเลคงไม่มีวันให้อภัยในสิ่งที่เขาทำ แต่หากอีกฝ่ายเป็นอะไรไปแม้แต่ปลายก้อย คริสก็ไม่มีวันให้อภัยตัวเองเหมือนกัน


    ชีวิตคนเกรกมะเหรกเกเรแบบเขา อยู่ไปก็รกโลกเปล่าๆ สู้ตายเป็นปุ๋ย หล่อเลี้ยงบุปผาชนให้เติบโตงอกงาม ขับเคลื่อนประเทศให้เจริญก้าวหน้ายังดีกว่า






    "ไม่... ฝัน... ฝันอย่าปล่อยมือเรา !" ร่างบางเซถลาทันทีที่ถูกคริสผลักออก อินเลถูกเบียดล้อมจากคนอีกกลุ่มที่ใส่ชอปสีเดียวกัน สีหน้าเคร่งเครียดของเด็กพวกนั้นคลายลงเมื่อเห็นเสื้อชอปของคริส

    "อ้าว พวกเดียวกัน"

    "ฮือ เธอ... ช่วยฝันด้วย" อินเลปรี่มาเขย่ามือหนา เทามองตามสายตาคนตัวเล็ก

    "เฮ้ยย ! พวกมึง ไอ้คริสถูกรุม" ไม่ต้องรอให้เรียกซ้ำสอง เหล่าเด็กอาชีวะที่ยืนหยัดข้างประชาชนกระโจนไปช่วยเพื่อนทันที


    "อยู่ไปก็เป็นตัวถ่วง มาทางนี้เถอะ" เด็กหนุ่มอีกคนรีบฉุดอินเลให้พ้นจากการปะทะ

    "ฮึก ไม่ ฝัน !" หยาดน้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่ารินอาบหน้า อินเลไม่คิดเลยว่า การเห็นคนที่รักนอนจมกองเลือดจะโหดร้าย สะเทือนใจได้ขนาดนี้


    อะไรที่เปลี่ยนให้คนกลายอสุรกาย จับอาวุธมาเผชิญหน้าห้ำหั่นกัน







    เสียงระเบิดดังสนั่นทั่วบริเวณ ผู้คนล้มตายเต็มถนนราชดำเนิน สะพานผ่านฟ้า กระทั่งหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ประชาชนยังถูกสังหารราวเกมส์ยิงเป้า



    "ทนหน่อย อีกนิดเดียวจะถึงแล้ว" จุลบอกร่างบางที่มาด้วยกัน ตาหวานแดงก่ำ จมูกรั้นปวดแสบด้วยแก๊สน้ำตาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ


    "ทำไมเขาทำกับเราขนาดนี้ ทำเหมือนเราไม่ใช่คน..." อินเลครางแผ่ว ร่างอาบเลือดของฝันยังคงติดตรึงอยู่ในสมอง ตาหวานแดงช้ำไปด้วยน้ำตาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

    "อยากได้นักไม่ใช่เหรอ ไอ้ประชาธิปไตยน่ะ"

    "ถึงกับต้องฆ่าแกงเลยหรือ เราแค่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพที่เราควรมี ควรได้"

    "โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอก อย่าร้องไห้สิ ไอ้คริสมันไม่ชอบน้ำตา"

    "เธอรู้จักฝัน เอ่อ คริสด้วยเหรอ"

    "เพื่อนสนิทเลยแหละ เสียดาย ไปหลงเชื่อไอ้ผู้กองอะไรนั่น ปั้นน้ำเป็นตัวเก่งจริงๆ" จุลว่าอย่างโมโห คริสเป็นคนเลือดร้อน ชกต่อยเก่งจนเป็นที่น่าจับตา ไม่แปลกใจที่ถูกทางการเกี้ยวให้ร่วมขบวนการ

    "ทำไมคริสถึงเชื่อคนพวกนั้น..."

    "เธอก็รู้ว่าการสร้างความแตกแยกระหว่างนักศึกษากับเด็กอาชีวะทำง่ายจะตาย ปกติเราก็ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกหัวไม้อยู่แล้ว" ใบหน้าขาวจัดขึ้นสีด้วยความเจ็บใจ ที่ทางการใช้จุดอ่อนข้อนี้มายุยงเพื่อนร่วมสถาบันบางคนจนเกิดความเกลียดชังต่อนิสิตนักศึกษา

    "เราขอโทษแทนทุกคนด้วยนะ"

    "ช่างเหอะ รีบไปกันดีกว่า" จุลตัดบทอย่างร้อนรน เสียงการปะทะดังขึ้นเป็นระยะ สวนทางกับที่วิทยุยานเกราะประกาศว่า จะยอมปล่อยแกนนำทั้ง 13 คน







    ----------------------------------








    เสียงเฮลิคอปเตอร์บินวนเหนือท้องฟ้า ยิงกระสุนกราดลงมาใส่ประชาชนดังกึกก้อง ภาพลูกศิษย์ล้มจมกองเลือดยังคงติดตรึงนัยน์ตาหวาน


    ลู่หานยามนี้ไม่ต่างอะไรกับคนเสียสติ คิดไม่ได้แม้แต่หนทางหนีเอาตัวรอด เมื่อข้างหน้าเต็มไปด้วยห่ากระสุนจากฝ่ายตรงข้าม ยังดีที่มีร่างสูงใหญ่คอยดึงไว้ มือหนากระชับข้อมือเล็กไว้แน่นไม่ต่างอะไรกับคีมเหล็ก เสียงทุ้มพร่ำย้ำให้เขาอดทน นึกถึงความหอมหวานของประชาธิปไตย แม้เวลานี้ จมูกเรียวสวยจะได้แต่กลิ่นเลือดคาวคลุ้งก็ตาม





    "อินเล !" คงไคยตะโกนเรียกเพื่อนที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอม ใบหน้าใสเปรอะเลือดที่ยังคงไหลหยด

    "ไค.. อาจารย์"

    "แล้วนี่..." ตาคมมองคนตัวขาวอย่างแคลงใจ เหตุการณ์วิปโยคทำให้ไม่อาจไว้ใจใครได้อีก

    "อย่าห่วงน่า ฉันมาดี พี่คือสมอง น้องคือกำลัง" จุลเอ่ยสัตย์สัญญาที่เด็กช่างกลประกาศไว้บนเวที ทำให้ทุกคนคลายความระแวงลง

    "แล้วนี่ไปโดนอะไรมา" ลู่หานถามลูกศิษย์อย่างเป็นห่วง

    "มันชุลมุนน่ะครับอาจารย์ ไม่รู้ใครเป็นใคร"






    "เฮ้ย พวกมึงหลบ !" เสียงปริศนาดังขึ้น สี่ชีวิตรีบมุดหลบขบวนรถหุ้มยานเกราะที่แล่นผ่านท้องถนน อาแปะเจ้าของร้านชำส่งผ้าให้อินเลซับเลือด

    "ขอบคุณมากครับคุณลุง"

    "วิทยุอีบอกว่า พวกลื้อจะก่อวินาศกรรม แต่ดูสภาพแล้วจะเอาอะไรไปสู้เค้า" อาแปะบ่นพึมพำ ภาพนักศึกษาหญิงถูกตำรวจตีจนตกน้ำเป็นที่โจษขานกันปากต่อปาก*

    "ไม่จริงนะครับ คุณลุงก็เห็น นักศึกษาไม่มีอาวุธอะไรเลย"

    "ก็ยังรั้นจะสู้ ลื้อรออีกหน่อย สัญญาก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว"

    "พวกเรารอมานานแล้วครับคุณลุง ถ้าวันนี้ไม่สู้ การสืบทอดอำนาจมันไม่จบแค่ยุคถนอมแน่" คงไคยว่า ใบหน้าคมผินมองหน้าต่างอย่างไม่วางใจ นอกจากกองกำลังทหารราบ รัฐบาลยังวางหน่วยแม่นปืนแทรกซึมทุกตัวอาคาร



    ทั้งห้าชีวิตจมอยู่ในความเงียบพักใหญ่ แต่เปลวไฟแห่งความหวังยังคงถูกจุดให้ลุกโชติช่วง ทุกคนตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ในขณะที่อินเลภาวนาถึงร่างสูงที่ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกหรือไม่



    และแล้วการรอคอยที่ยาวนานก็สิ้นสุดลง วิทยุกรมประชาสัมพันธ์ได้ประกาศข่าว การหนีออกนอกประเทศของอดีตผู้นำ




    เสียงโห่ร้องดังกึกก้องด้วยความยินดี ลู่หานยิ้มทั้งน้ำตา โผเข้าหาอ้อมแขนกว้างของคนที่ดีใจไม่แพ้กัน ประชาชนจำนวนมากค่อยๆสลายตัวกลับบ้าน เหลือไว้เพียงเศษซากสงคราม และศพเหล่าวีรชนที่กองเกลื่อนประจานความโหดร้าย แม้ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักศึกษาก็ลำเลียงศพและผู้บาดเจ็บผ่านทางน้ำไปยังโรงพยาบาลศิริราชตลอดเวลา


    อินเลมองใบหน้าคมไร้สีเลือดที่นอนแน่นิ่งอย่างตกตะลึง...



    "ไม่... ฝัน ไม่... "


    "อินเล !" ลู่หานรีบประคองร่างหมดสติของลูกศิษย์








    -----------------------------







    14 ตุลาคม 2531



    ดวงตาดำขลับขาดความสุกใสเหมือนสมัยหนุ่มรุ่น ยังคงความน่ามองไว้ไม่เสื่อมคลาย ประกายความเศร้าโศกที่เจือในแก้วตาหวานชวนให้งามพิศมากกว่าเก่าด้วยซ้ำ อาจารย์อินเลท่านสวยเจือเศร้า ใครๆก็ว่ากันอย่างนั้น



    "รู้ไหม วันนี้เมื่อ15ปีก่อน มีรุ่นพี่นองเลือดตรงที่ๆพวกคุณนั่งอยู่"

    "คนเขาถึงมองเราเป็นพวกหัวรุนแรง" นักศึกษาชั้นปีที่ 1 พึมพำ

    "ประวัติศาสตร์ถูกบิดเบือนตามลมปากของผู้คน น่าเศร้าเหลือเกิน ที่วันนี้หลายคนละเลยในสิ่งที่พี่คุณเอาชีวิตเข้าแลก"

    "..............."

    "แต่ผมไม่อยากเห็นใครเสียเลือดเสียเนื้อหรอกนะ ขอเพียงพึงระลึกถึงสิทธิเสรีภาพและหน้าที่ที่คุณมี ว่าจะใช้มันให้เกิดประโยชน์อย่างไร หรือจะปล่อยให้ประเทศไทยยังติดอยู่ในวังวนเดิมๆ ?" เสียงหวานดังกังวานในดวงใจนักศึกษา อาจารย์ร่างเพรียวตรงหน้าไม่ใช่คนบอบบางดั่งภาพลักษณ์



    สนทนากับลูกศิษย์ลูกหาจนได้เวลาสมควร คนตัวเล็กก็ปลีกตัวมาอยู่ในนิทรรศการเดือนตุลา ที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหล่าวีรชนผู้เสียสละ ใบหน้าคมเข้ม นัยน์ตาดำจัดดุดัน จนใครๆต่างครั่นคร้าม ยังคงลอยวนเวียนในหัวอาจารย์อินเล ตั้งแต่วันนั้น เขาก็ไม่ได้รับข่าวคราวของคริสอีกเลย แม้แต่รายชื่อผู้สูญหายที่เฝ้าเพียรหา ก็ไม่มีปรากฎ มันเป็นการรอคอยที่แสนทรมาน ความหวังเหมือนกลีบกุหลาบงามที่ร่วงโรยจนแทบไม่เหลือหลอ แต่ความเจ็บปวดยังคงเล่นงานเหมือนหัวใจถูกทิ่มตำด้วยหนามอันแหลมคม



    "ยังรออีกเหรอ นี่ก็นานแล้วนะ" ลู่หานถามผ่านโทรศัพท์ ตั้งแต่อพยพมาอยู่อังกฤษกับคงไคย เขาก็ไม่ได้เจออินเลอีก ไม่น่าเชื่อว่า อีกฝ่ายจะอดทนรอคนๆนึงได้นานถึงขนาดนี้



    นี่ก็นานแล้วนะ... น้ำสีใสไหลผ่านม่านตาโศกทันที ที่ได้ยินปลายสาย อินเลไม่โกรธผู้พูดแม้แต่น้อย เพราะการรอคอยครั้งนี้มันยาวนานและดูเหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด


    14 ตุลามหาวิปโยคจางหายจากหน้าสังคมทีละน้อย ทำให้การตามหาผู้สูญหายกลายเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆ



    "ผมเองก็เผื่อใจไว้แล้วล่ะครับ ไม่ว่าเขาจะอยู่.. .หรือไป ภาพเหตุการณ์วันนั้นก็ยืนยันได้ว่าทุกอย่างเคยเกิดขึ้นจริง"

    "ใช่ ทุกอย่างเคยเกิดขึ้นจริง" เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน อย่างน้อยยุคหนึ่งก็เคยเกิดขึ้น ลู่หานคลี่ยิ้มจาง ก่อนวางสายไปดูแลลูกที่ร้องงอแง









    "อ๊ะ- ขอโทษครับ ผมไม่-" กลีบปากอิ่มเผยอค้าง ตาหวานเบิกกว้าง เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่ตนเผลอชน

    "คิดถึง"

    "ปล่อยยผมนะ"

    "ไม่"

    "อันธพาล !" คำบริพาทเมื่อ 15 ปีก่อน หลุดออกจากปากเหมือนภาพยนตร์ที่ถูกฉายซ้ำ


    อายุก็ขึ้นเลข 3 แล้ว จู่ๆถูกผู้ชายสวมกอดแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง มันน่าอายน้อยเสียเมื่อไหร่ จมูกโด่งฝังลงเรือนผมนุ่มกรุ่นกลิ่นหอมสมกับที่โหยหา ก่อนคริสจะถอนใบหน้ามองคนตัวเล็กที่ถูกกอดจนจมอก




    "ขอโทษ... " นิ้วใหญ่เกลี่ยคราบน้ำตาอย่างแผ่วเบา "คุณพ่อท่านส่งฉันไปเรียนอังกฤษทันทีตั้งแต่จบเรื่อง" คริสหมายถึงเจ้าสัวใหญ่ย่านเยาวราช ตั้งแต่ถูกรุมตีจนต้องเข้าศิริราช พ่อก็สั่งให้เขาลาออกจากเพาะช่าง

    ประการสำคัญ คริสตั้งใจทำตัวเองให้ดีพอคนในอ้อมแขนด้วย ความชื่นใจท่วมล้นพ้นอกทันที ที่เจอคงไคยในลอนดอน และพบว่า อินเลก็รอเขาเช่นกัน


    "กลับมาอยู่ด้วยกันนะ ฉันสัญญาว่าจะไม่ปล่อยมือเธออีก"

    "ผมไม่เชื่อคุณหรอก"

    "งั้นฉันจะตะโกนให้ลั่นห้องสมุดเลย ว่าอาจารย์เคยร้องไห้เพราะผู้ชาย"

    "อย่านะ ! คนเจ้าเล่ห์" อินเลปรามเสียงเขียว ใจดวงเล็กเต้นระส่ำด้วยความดีใจระคนซาบซึ้ง ในที่สุด การรอคอยอันยาวนานก็ได้สิ้นสุดลง วงแขนแข็งแรงและอบอุ่นเป็นเครื่องยืนยันให้รู้ว่า ไม่ได้ฝันไป



    เหล่านักศึกษามองสองร่างที่ยืนเคียงข้างกันอย่างนึกชื่นชมกึ่งอิจฉา คนหนึ่งก็อ่อนหวานละมุนตา อีกคนก็สง่างามผึ่งผาย คริสคล้องเอวบางไว้หลวมๆ มือหนาปัดปอยผมที่ถูกสายลมริมแม่น้ำเจ้าพระยาพัดจนปรกหน้า จวบจนตะวันลับฟ้า ท่าพระจันทร์ก็ยังคงความอบอุ่นที่เจือกรุ่นด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้าของหัวใจสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน






    ------------------------------------------



    เป็นฟิครีไรท์ ผู้แต่งได้แรงบันดาลใจจากหนังสืออนุสรณ์วีรชน ๑๔ ตุลา เนื้อหาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้เท่านั้น**


    บันทึกลับจากทุ่งใหญ่ : เฮลิคอปเตอร์ทหาร เกิดอุบัติเหตุตกที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม ในซากเฮลิคอปเตอร์นั้นพบซากสัตว์เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นซากกระทิง ที่ถูกล่ามาจากทุ่งใหญ่นเรศวรซึ่งเป็นพื้นที่ป่าสงวน สร้างกระแสไม่พอใจในหมู่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก

    13 ขบถรัฐธรรมนูญ : ผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญที่ถูกตำรวจจับกุม พร้อมตั้งข้อหา มั่วสุมชักชวนให้มีการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน แต่ภายหลังได้เพิ่มข้อหาร้ายแรง เป็นการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์(กบฎ)


    ฟิคนี้ยึดแค่เหตุการณ์14ตุลา อย่าตีกับ6ตุลานะ ที่ดอกจันท์ไว้คือข้อเท็จจริง หาเพิ่มเติมได้ ใครหลงมาอ่านก็ขอบคุณมาก นานทีจะเขียนแนวนี้ เครียดบ้างบาปบ้าง 5












Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in