เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Lost in Canterbury, Kent (2017) - Mie DyashaMie_Dyasha
ไปค้นหาความสุขในเมือง Canterbury (Stafford House Canterbury) - Mie Dyasha
  •   สวัสดีฮะ ~ เราชื่อ "มี่" เด้อ ตอนเขียนบล็อคนี้ก็อายุ 16 ปีแล้ว (จะครบตอนสิ้นเดือนมิ.ย.60 แหละครัช) 
    สิ่งที่เราจะเขียนก็คือ.. เกี่ยวกับ Canterbury นะคะ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เดือนเมษา-พฤษภา 2560 เราได้มีโอกาสไปเรียนภาษาระยะสั้น (มากๆ) ที่อังกฤษ เมือง Canterbury แคว้น Kent ระยะเวลา 3 weeks จ้า บินคือหลังสงกรานต์ กลับมาก่อนเปิดเทอมวีคเดียว 5555 สถาบันที่เราเรียนนั้นคือ Stafford House Canterbury นั่นเอง~ ?????? 
    และ.. นี่ย์คือเมือง Canterbury นะฮะ เอาภาพมาแปะๆ อิอิอิ เรียกน้ำย่อยๆ (ในภาพคือ city centre) 
    Canterbury Christ Church University

    **แจ้งให้ทราบ : รูปภาพทุกภาพบน blog และบทความนี้ ที่มีความเกี่ยวข้องกับโฮสต์ของเราและคนในภาพ เราได้ทำการขออนุญาตเจ้าตัวแล้วว่าขออนุญาตเผยแพร่ภาพ พร้อมส่งลิ้งค์ blog นี้ให้กับคนที่ปรากฎในภาพ โฮสต์ของเราอนุญาตให้เผยแพร่ได้ และ ห้ามนำภาพของเราที่โพสต์ลงบน blog นี้ ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเรา (มี่) โดยเด็ดขาด ทั้งรูปตัวบุคคลเองและทิวทัศน์ต่างๆที่เราบันทึกภาพมาด้วยตัวเอง หากทุกท่านเห็นภาพที่ถูกนำไปตัดต่อในทางลบหรือทำให้คนในภาพได้รับความเสียหาย หรือ เห็นภาพของเราถูกนำไปเผยแพร่ โปรดพิมพ์ comment ลงมาเพื่อแจ้งให้เราด้วยนะคะ ขอบพระคุณค่ะ และเราทำ blog นี้เพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อธุรกิจแต่อย่างใด (กลัวว่าบางคนจะเข้าใจผิดว่าเป็นหน้าม้า) และขออภัยหากไปกล่าวพาดพิงถึงใครแล้วเจ้าตัว/คนในเหตุการณ์นั้นๆมาเห็น เราแค่อยากเล่าเป็นประสบการณ์เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝงอย่างแน่นอน
    พิมพ์ข้อความนี้ ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2560 เวลา 13.11 น. จึงแจ้งและเรียนมาเพื่อให้ทุกท่านทราบ**

  • อ่าววว กลับมาต่อแล้วนะคะ ถ้าใครไม่ชอบสำนวนการเขียนของเราเราต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ แต่อยากขอให้ติดตามก่อนนะ~ และ ขออภัยเกี่ยวกับความผิดพลาดบางประการนะคะทุกคน ? ทุกตอนเลยนะคะ

    Chapter 0 : อะไร? ทำให้ไปอังกฤษ ? 
    เอาความจริงเลยไหมอะ .. อืม เล่าไปเหอะ ถึงคุณไม่อยากฟังฉันก็จะเล่า คืองี้ ย้อนกลับไปสมัยม.2 (ก่อนขึ้นม.3) ค่ะ อายุ 14 ปี ขอป้าสุดที่รัก (?) ไปเรียนซัมเมอร์ที่ต่างประเทศ.. ละไงต่อ? ป้าไม่ให้ไปจ่ะ บอกว่ายังเด็กไป ก็เลยรอๆไป ละลองขอใหม่อีกรอบ ตอนก่อนขึ้นม.4 เนี่ยแหละ เออ โอกาสและเพ-ลาดี ช่วงนั้นเห็นบอร์ดหน้าโรงเรียนพอดีว่ามี English Camp ไปที่เมือง Canterbury, Kent ไอ้ตอนแรกก็ไม่ได้รู้หรอก ว่าเมืองไรฟะ ไม่เห็นรู้จักเลยอะ #คือสมัครคิดแต่ว่าจะไปตปท.ชิกๆว่างั้นเหอะ? เออประมาณนั้นแหละฮะ ก็ไปแบบไม่ได้คิดอะไร ป้าอนุมัติด้วยอะ #กำลังครุ่นคริส และป้าเลยไปขออนุญาตย่าให้ ย่า approved!! เออ ดีใจไป ราคาล่ะหนู? อ่อ 3 วีค 148,000 บาทค่ะ !!! สมัครไปค่ะ รอมาทั้งที แกล้งให้เรารอเกือบ 1 ปี เขาออกเงินอย่าได้แคร์ 555555 (คนเห้หนิ) ได้เรียนสถาบันไหนลูก? จะบอกดีไหมนะ หรือเก็บไว้ตอนต่อไปดีหนิ บอกเลยละกัน ชื่อคือ Stafford House Canterbury คนับ เห็นรีวิวมันแบบน้อยจริงๆแทบไม่มีเลยเดะเราจิมารีวิวให้เด้ออออ 
  • Chapter 1 : รับ Visa สักหน่อยไหมครับ?
    เย้ๆ ในที่สุดก็ได้วีซ่า ที่หน้าตาสุดเหียกเหา
    เปิดประเดิมมาด้วยรูป Visa ที่แทบไม่เห็นอะไรเลย
    จะเกริ่นว่า การขอวีซ่ามาอังกฤษเนี่ย ขอไม่ยากถ้าเอกสารครบนะจ๊ะ และมีหลักฐานอะไรที่มัดตัวว่าจะกลับมาแน่นอน ยิ่งเป็นนักเรียนไม่ต้องห่วงยังไงก็ได้อยู่แล้ว การมาเรียนภาษาที่อังกฤษไม่ว่าจะกี่อาทิตย์ก็ต้องขอวีซ่า C-Short term student (เขียนถูกเปล่าอะ) เขาได้ให้มา 6 เดือน (180 วัน) จะบอกว่า มี่ไม่ต้องทำไรเลยจ้า นั่งตามเอกสารของพ่อกับแม่ยิกๆ เอาไปทำเป็นสำเนาละสั่งไปทั้งภาษาไทยอย่างนั้นแหละ (เสียเงินละบริษัทเอเจ้นไรแปลให้หมดแหละ) **พ่อแม่ใครไม่มีทะเบียนสมรสต้องขอใบปค.14 นะคะ ขอได้ที่สำนักงานเขตตามที่อยู่ในทะเบียนบ้านจ้า** แต่คนออกค่าใช้จ่ายรอบนี้ไม่ใช่พ่อกับแม่ไง แต่ย่าก็เหมือนโอนเงินให้พ่อก่อนละไปขอสำเนาสเตทเม้นอะไรแบบนี้ (จขกท.ก็ไม่รู้เหมือนกัน) ก็เลยติ๊กว่าคนออกคชจ.เป็นพ่อไป (ป้าบอกถ้าเป็นคนอื่นที่บ่แมนผู้ปกครองจะทำให้เอกสารมันยุ่งยากขึ้นไปอี๊ก~) ก็ตีเนียนๆกันไป ละวีซ่านี่แบบทางบ.นัดไปยื่นเอกสารก่อนไปประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนไป(คือเรากลัวมาก ว่าจะไม่ทัน เพราะปกติควรจะขอวีซ่าเผื่อเวลาไง ละทางบ.เหมือนไปรับวีซ่าคืนก่อนวันไปประมาณ 2 วัน คือมันจะรู้สึกเหมือนมีอะไรมารนก้นนะ อ่อ ไฟน่ะ) แต่สุดท้ายก็ผ่านด้วยดี ได้รับวีซ่า 6 เดือนทั้งที่ไป 3 วีค #มันจะรู้สึกอยากโดดวีซ่าเป็นโรบินฮู้ดหน่อยๆ อยู่ต่อได้นะ #แค่เจ้าจะไม่มีเงินใช้เฉยๆ

  • Chapter 2 : เก็บกระเป๋าสิรออะไร
     คืองี้จะขยายความว่าตอนที่ป้าให้เราเก็บกระเป๋าอะ เราไม่ยอมเก็บ (มีความไปเที่ยวดรีมเวิลด์โดยไม่เก็บของไรสักอย่าง มีความเที่ยวเตร่ แบบนี้ไม่ดีนะทุกคน ไม่แนะนำ) เรามาเก็บเอาตอน 3 วันก่อนจะไปเลยอะ คือซื้อของมาหมดแล้ว แค่ไม่ยัดลงเป๋านะ #วิธีนี้มีความเสี่ยงสูงถ้าไม่พร้อมจะโดนว่าหรือโดนด่าก็อย่าทำนะ 555 ? ละขาดของอะไรรู้ไหม? เขาจะไปรู้ได้ไงล่ะเออ ถามไรแปลกๆ #โอ้เธอเป็นไรหนิ ของที่ขาดคือ ของฝากโฮสต์ แบบไทยๆ อืมไปตามหาของฝากแถวคลองถมด้วยนะ ช่วงสงกรานต์!!! เจริญเหอะ แกจะเจอของไหมเล่า #เจอนะ แต่ก็เดินหากันร้อนตับจะหลุด ? ขาไปป้าแลกเงินให้เราไป £600 เทียบเงินไทยประมาณเกือบ 26,000 บาท บวกกับทำบัตรเดบิตไว้เผื่อฉุกเฉินกลัวเงินไม่พอ เผื่อฝากซื้อเป๋า 55 แต่เอาความจริงปะ? เงินเหลือกลับมาไทย 250 ปอนด์จ่ะ เป็็็็็็็็็นคนประหยัดค่ะ อิอิ
    ภาพตอนเก็บกระเป๋า ใช้ไซส์ 30 นิ้ว ของ Eminent นะคะ
    ปล. เราซื้อ Eminent จากสนามบินฮ่องกงค่ะ ซื้อตอนปี 2007
    ของฝากไทยๆให้ host แฟม เน้นว่า เขาชอบกางเกงลายช้างมากกว่าเป๋าเสียอีก หมดนี่ 800 กว่าบาท แต่ของก็เยอะตามภาพแหละ
    กางเกงเราซื้อไปให้น้องอีวี่ไง แต่แบบโฮสต์มัมชอบมาก เขาบอกว่าอยากได้เกงลายช้างแบบวี่บ้างง่า 
    บัตรเดบิต จากกสิกร สามารถใช้ซื้อจ่ายของได้ที่อังกฤษนะ แค่ต้องเซ็นลายเซ็นให้เหมือนบนบัตร ละจะตัดเรทตามค่าเงินตอนซื้อของ
  • Chapter 3 : โบยบินสู่กรุงลอนดอน
    ตั๋วเครื่องบินของเราค่ะ เรานั่ง 71H ท้ายลำมาก ประมาณว่าถ้าเครื่องบินตกฉันจะรอดตาย 555
    Landing Card ที่ต้องกรอกข้อมูลให้ครบ คล้ายๆใบตม.ของไทย แต่อันนี้เอเจ้นท์กรอกให้หมดแล้ว ชิวมากสบายมาก
    ภาพนี้คือ 1 ชม. ก่อนเครื่องจะแลนด์ที่ LHR
    คือทางโครงการเรานัดถึงสนามบิน 2 ทุ่มกว่า ไอ้นี่เป็นคนอืดอาดยืดยาด ไปละแบบถึงคนสุดท้ายเลยจ้า ไปถึง 3 ทุ่มกว่า (คือพยายามบอกพ่อละนะ แต่พ่อบอกไม่ต้องรีบหรอกเครื่องออกตี1หนิ แต่คือทุกคนรอ อิฉันก็เกรงใจนะคะ ไปถึงละต้องขอโทษขอโพยน้องๆทั้งหลาย) ไปกับการบินไทย รักคุณเท่าฟ้า 5555 เลขไฟล์ท TG 910 บินตรงประมาณ 12 ชม.กว่าๆ ขาไปได้นั่ง airbus A380 เราได้นั่งท้ายๆลำเลยอะ ประมาณ 71 H นั่งให้เกลียดเครื่องบินไปเลย ให้เมื่อตูดตายกันไปข้างเลยจ้า แอร์ของการบินไทยคือร้อนมากๆ เต่าเปียกตลอดเวลา ร้อนจนไม่อยากเรียกว่าแอร์เลย ละที่นั่งคือทุกข์ทนสุดๆ นอนยังไงก็ไม่ได้ คือนั่งริมทางเดินไม่มีที่เอนหัวไง ถ้านั่งริมหน้าต่างยังเอาหัวไปพิงตรงหน้าต่างได้ นี่ก็แบบปวดหลังมาก เลยพยายามเดินไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆ แต่อีกใจคือกลัวเครื่องตกหลุมอากาศมากๆ ไม่งั้นจะซวยมาก เจ้าอาจจะหัวแตกก่อนเครื่องแลนด์ก็เป็นได้ เวลาก่อนใกล้แลนด์แนะนำให้สังเกตริมหน้าต่างจะเห็น Tower Bridge มุมสูง
    อาหารๆๆๆๆ สิ่งเดียวที่ต้องการคืออาหาร!!! (มื้อแรก กินตอนตี 3 เราเลือกข้าวแกงเขียวหวานไก่)
    มีให้เลือก 2 อย่าง คือ ข้าวสตูหมูกับข้าวแกงเขียวหวานไก่ ในภาพคือแกงเขียวหวาน อร่อยมากๆสำหรับเรา ชอบไชโป๊วการบินไทยสุดๆ อร่อยหวานๆ แกงเขียวหวานด้วยความที่เราหิวหรือเปล่า แต่ข้าวนุ่มจริงๆนะ แกงเขียวหวานเหมือนจะไม่มีหนังไก่ ส่วนเครื่องเคียงคือเหมือนมันฝรั่งคลุกน้ำมันมะกอกอะ ก็อร่อยดี แต่มันจะมันๆหน่อย ส่วนขนมไม่แน่ใจว่าเรียกอะไรคล้ายๆ almond cake แต่หวานมาก เราไม่ชอบ กินครึ่งเดียวก็เลย..เลิกกิน แต่ของทุกอย่างหมดนะ ยกเว้นขนมนั่นแหละ แต่ข้าวเหมือนให้กล่องเล็กไปมั้ยอะ
    อาหารเช้าก่อนจะแลนด์ประมาณ 2-3 ชม.ได้ 
    ไม่มีตัวเลือกนะคะ มีแต่ breakfast ฝรั่ง แบบในภาพน่ะ ก็ไข่ทอดซอสเห็ด,ครัวซองต์(เลือกได้ระหว่างหนมปังกับครัวซองต์),มะเขือย่าง(เละสุด) ,มันฝรั่งอบ (ใต้ครัวซองต์), สลัดผลไม้, โยเกิร์ตแบบธรรมชาติ ละก็น้ำผลไม้รวม ส่วนไส้กรอกเราไม่กิน เราไม่ชอบไส้กรอกแต่เห็นน้องบอกว่าคือไส้กรอกไก่ เราไม่ได้กินโยเกิร์ตกับผลไม้ แต่น้องบอกโยเกิร์ตก็อร่อยเหมือนกัน (ไม่ชอบกินโยเกิร์ตแบบที่ไม่มีสตรอว์เบอร์รี่อะค่ะ)
    ภาพตอนที่เครื่องแลนด์ที่สนามบินลอนดอนฮีทโทรว์ LHR 
    ลงช้ากว่าเวลาไป 2 นาทีค่ะ ถึงประมาณ 7 โมงเท่าไหร่ไม่รู้ จำได้แค่ช้าจากกำหนดการ 2 นาที พอออกปุ๊ป ก็ไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง จะมีแยกโซนชัดเจน คือพวกคนในอียู (จำไม่ได้แล้วว่าเรียกอะไร ไม่แน่ใจโซนนี้เท่าไหร่อะค่ะ ผิดพลาดประการใดขออภัยค่ะ) กับ สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องขอวีซ่า เราต้องไปโซนนี้ พนง.ไม่ถามไรเลย เปิดแค่ passport ละก็เปิดหน้าวีซ่า ละปั๊ม arrived กับวันที่ 16 April 2017 ละก็ออกไปรอคนให้ครบละไปรับเป๋าละค่อยออกไปหาคนที่มารับเรา ชื่อว่า "Ffion" (ฟิ-ออน/ฟิ-ยอน) แต่เราเรียกเขาว่า ฟิยอน 555
    และนี่ก็คือฟิยอน นิวเบอร์รี่ อันนี้รูปก่อนกลับ
    ช่วงที่กำลังออกจากสนามบินลอนดอนฮีทโทรว์ รถก็จะติดหน่อยๆ แต่ก็ไปได้เรื่อยๆ ไม่ต้องรอนานมากแบบที่ไทย แต่พอออกจากโซนสนามบินละก็รถแทบไม่ติดละ
    ระหว่างทางที่นั่งรถไปที่เมือง Canterbury ห่างจากกรุงลอนดอนไปประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ
    ในภาพเหมือนเป็นเนินหญ้า (?) ละมีแกะ!!! คือแกะเยอะมากๆ แต่ในภาพคือเราถ่ายช่วงที่ตรงไม่ค่อยมีแกะพอดี เลยติดมาแค่ 1 ตัว (ฮาาา)
    ละคนขับรถพาไปเมือง Canterbury นี่แบบว่าแลดูหัวร้อนมาก คืองี้นะ เท่าที่สังเกตมาอะ คนขับชาวอังกฤษจะเตือนให้ผู้โดยสารคาดเข็มขัดนิรภัย แต่.. คนขับไม่รัดจ้า!! ละแบบมีครั้งนึงมีรถบีบแตร คือชัดเจนมาก คนขับชูนิ้วกลางละพูดอุทานว่า "fuck" เราก็รู้สึกอึ้งหน่อยๆ ละเราเจอแบบนี้ทั้งตอนที่เล่า,ตอนไป Westfield shopping ที่ Stratford ละก็ขาที่จะกลับ LHR เพื่อกลับไทยด้วย!!! ละคนขับก็ไม่รัดเข็มขัดนิรภัยเหมือนกันเด๊ะ ทั้งที่คนละคนกันนะ! 3 คนขับแต่ไม่รัดเข็มขัดเหมือนกัน #ไรเนี่ย
  • Chapter 4 : ยินดีต้อนรับสู่บ้านโฮสต์แฟม (ตอนที่ 1)
    นี่คือบ้านโฮสต์แฟมิลี่เราเอง บ้านโฮสต์เรามี 4 คน มีโฮสแด๊ดชื่อ Joe, โฮสต์มัมชื่อ Lisa, โฮสต์ซิส 2 คน คนโต 7 ขวบชื่อ Evie ส่วนคนเล็ก 4 ขวบชื่อ Isla อยู่ที่ถนน Babs Oak Hill
    บ้านดูน่ารักกรุ้งกริ้งมาก ตอนที่เราเปิดดูใน google earth นึกว่าสภาพบ้านจะไม่สวยขนาดนี้ เพราะใน gg maps เห็นโฮสต์บอกว่าในนั้นมันถ่ายเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนที่เห็นใน gg maps นี่แทบจะไม่คาดหวังอะไรเลยจ้า ร้องไห้หนักมาก แต่พอมาเห็นจริงละแบบเห้ยแกรรร บ้านมันดูโซคิ้วท์มากเลยอ่า มีความ modern เล็กๆ มีความขาวดำ~ 
    ปล. โฮสต์มัมกับโฮสต์แด๊ดช่วยกันแต่งบ้าน โฮสต์มัมบอกว่าเขาชอบการ painting ละถามต่อว่าที่ไทยทาสีกันแบบไหน เราเลยตอบไปว่าบ้านที่ไทยต้องจ้างคนมาทาสีซะส่วนมาก เพราะ.. ค่าจ้างที่นี่แพงมากสุด (เห็นโฮสต์บอก)
    Chocolate ที่โฮสต์ให้ตอนมาถึง
    อันนี้สวนหลังบ้านของโฮสต์เราเอง 
    ชอบตรงที่เขามีสนามเด็กเล่นให้น้องๆ2คนเล่น ละก็ที่โล่งให้จิบ English tea เนี่ยแหละ เราถ่ายวิวมุมนี้มาจากห้องนอนเราเอง ห้องนอนเราเป็นห้องใต้หลังคา
    บอร์ดที่โฮสต์เราเขียนเอาไว้ในห้อง
    คือห้องนอนลูกเขาอยู่ใต้ห้องเรา ละถามโฮสต์มัมว่าน้องๆนอนกี่โมง.. ได้ผลว่าน้องนอนตั้งแต่ 19.30 ละตื่น 7.00 (วันที่ไปโรงเรียน) วันไหนที่เป็นวันหยุดจะนอน 20.30 ละตื่น 8 โมงกัน บางครั้งเราเห็นน้องก็ตื่น7.30 บ้าง 9.00 บ้างแหละ นับว่าน้องนอนกันเยอะมากๆ โฮสต์มัมบอกว่า ลูกๆเขาชอบนอนเหมือนเขาน่ะ 5555 (โฮสต์มัมนอนประมาณ 4 - 5ทุ่ม ตื่น 6.50) ส่วนเราตอนไปที่นั่นก็นอน 22.15 ตื่น 6.30 กลัวไปเรียนไม่ทัน รถมารับตอน 07.53 อิฉันมีประสบการณ์ตกรถ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะคะ
    และนี่ก็คือห้องนอนของเราเอง เรานอนติดหน้าต่างและฮีทเตอร์ลืมบอกว่า.. ห้องนอนและห้องน้ำในห้องใต้หลังคาของเรา เตียงเขานุ่มมากๆ ผ้าห่ม นี่อุ่นมากๆ สุดๆไปเลย แต่มันสั้นไปหน่อยแค่นั้นแหละ 
    คิดถึงเตียงนี้มาก คือติดนิสัยจากไทยไงว่าแบบเวลานอนต้องเอาผ้าห่มสอดใต้ขา (กลัวผีมาดึงขาว่างั้นเหอะ แต่ความเป็นจริงผีก็ดึงแกไปทั้งผ้าห่มได้มั้ยอะ เออออ) ห้องนอนเราไม่มีกลอน (เขียนถูกปะเนี่ย) ล็อคประตูนะจ๊ะ แต่ไม่ต้องกังวลมาก บ้านโฮสต์เราใช้ประตูแบบเป็นระบบกดรหัสอะ (แต่เราไม่รู้รหัสนะ โฮสต์ไม่เคยบอกเรา เพราะกลับบ้านทีไรก็กดกริ่งละเขาก็มาเปิดให้ตลอด) ฮีทเตอร์เขาก็จะเปิดให้เฉพาะวันที่หนาวๆอะ ไม่เปิดทุกวันนะ เปลืองค่าไฟ 555 ในห้องนอนมีห้องน้ำในตัว
    นี่คือชักโครกของอังกฤษ (ต่างจากไทยตรงไหน) โปรดให้ท่านระลึกไว้เสมอว่า!! ส้วมที่อังกฤษทิ้งกระดาษทิชชู่ลงไปเลยจ้า อย่าได้แคร์ ส่วนถังเล็กๆนั่นเอาไว้ใส่ผ้าอนามัยกับเศษผมอะไรแบบนี้ คือคนไทยส่วนมากมักลืมตัวเอาทิชชู่ไปทิ้งลงไปในถังเล็กๆ (แบบที่กรณีเดียวกะคนไทยไปญี่ปุ่น) อย่างที่บอกทิ้งลงส้วมไปเลยจาาา โฮสต์มัมบอกมิต้องห่วงเรื่องส้วมตันนะ
    นี่ก็อ่างอาบน้ำ (ห้องเราไม่มีแบบ shower นะมีแต่อ่างน่ะ จะเอาไหม อิอิ) มีฮีทเตอร์ในห้องน้ำด้วย ส่วนก๊อกกับอ่างล้างมือนี่แบบค่อนข้างเล็ก ระวังกระเด็นออก เราชอบอาบน้ำอ่างเวลาอาบเลยไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แต่ อย่างที่บอกว่ามันคือห้องใต้หลังคา อาทิตย์แรกนี่หัวโขกกับหลังคาประจำเลยจ้า (คือมันจะมีส่วนที่ไล่มาจนเหลือแค่ 60 ซม.ด้วยไง ประมาณว่ามันสโลปอะ ไอ่นี่ก็ชอบวางเสื้อผ้าไกลๆอ่าง กลัวเสื้อผ้าเปียก หัวโขกจนระบมไปหมดเลย ลืมตัวตลอด นึกว่าอยู่ที่โล่งไง ชนจนไม่รู้จะยังไงต่อละ ชนละก็หงุดหงิดนะ มีแบบหัวร้อนด่ากำแพงไปบ้าง) 
         ภาพต่อไปนี้คือส่วนต่างๆของบ้านโฮสต์เรา (คำอธิบายใต้ภาพ)
    ห้องรับแขก + ครัวละก็โต๊ะที่กินข้าว ในรูปโฮสต์มัมทำข้าวให้กินตอน dinner 
           ห้องรับแขก + fireplace 
    ที่บ้านโฮสต์เราจะมีโปรเจคเตอร์ด้วย โฮสต์แด๊ดกำลังดื่มเบียร์ กะเมาแต่หัววันเลยบ่หนิ ฮ่าๆ
    โซฟาแบบนิ่มมาก comfy สุดๆ ในภาพนางแบบคือน้องวี่นะจ๊ะ คิดถึงนาง ? xxx
    สวนที่บ้านของโฮสต์ชอบต้นสีม่วงๆมากๆ
    ชอบต้นไม้ต้นนี้สุดๆ ดอกเยอะ สีสวย พยายามถ่ายให้ติดตัวบ้าน // me อยากขโมยกลับบ้าน
    ตััััวบ้านเห็นเหลี่ยมๆข้างบนไหม? นั่นอะห้องนอนเราเอง
    ชิงช้าและสไลด์เดอร์แห่งความทรงจำ~ เราชอบนั่งชิงช้าเล่น 555
    ของที่โฮสต์ทำให้กินช่วงบ่ายๆก่อนจะเล่น easter กัน คือมันอร่อยมาก หนมปังไส้ชีสกับแฮมไก่ แต่ก็น้อยชห. ดูไซส์ตัวอิฉันด้วยจ้า อ้วนขนาดนี้ ให้กินชิ้นเท่าแมวดม #เออจะขอเบิ้ลอีกชิ้นกลัวเขาตกใจ แต่เขาคงตกใจตั้งแต่เห็น size ตัวแกละนะ...
    วันที่ไปถึงเหมือนที่บ้านนี้เขาจะเล่นหาไข่ Easter กันพอดี โฮสต์ไปซื้อช็อคโกแลตรูปไข่มา ละก็เอาไปซ่อนตามสวนหลังบ้าน หาได้เท่าไหร่ก็เป็นเขาเราเท่านั้นแหละ เราได้มา 16 ลูก ก็เป็นของเรา~ พกกลับมาไทย เอามาให้ป้ากิน ป้าบอกว่าชอบกิน อร่อยมาก 
    อันนี้เจ้าน้องไอร์ล่าวาดไว้ต้อนรับวัน Easter Happy Easter ! Enjoy your egg from Evie & Isla
    English Dinner
    โฮสต์สายเฮลท์ตี้หรอลูก? ผักเยอะกว่าเนื้ออีกลูกเอ้ยยยยยย เปล่าค่ะซิส คือโฮสต์เขากลัวไม่ชอบอะ เลยไม่กล้าตัดให้เยอะ แต่กินละอร่อยมาก  ก็จะมีไก่ที่เขาอบละพอสุกก็ยีๆด้วยส้อม แฮมต้ม มันฝรั่งอบ มันฝรั่งอะทอดแบบยังไงอะ เหมือนทอดละเอาไปอบ ผักลวกๆๆๆ แครอทกับบร็อคโคลี่ลวก ละที่เด็ดสุดๆ.. Yorkshire Pudding  อร่อยมากๆ สุดๆ นึกภาพไม่ออกก็แบบ (ก็อยู่ในจานอะ ที่มีน้ำเกรวี่อยู่ด้านบน) เหมือนคล้ายๆ โดนัทละมีกลิ่นหอมๆ ของชินนาม่อนอะ อธิบายได้แค่นี้ แป้งก็จะกรอบๆหน่อย ละข้างในนุ่มๆ พูดละอยากกินอีกคนที่นี่เขาราดซอสเกรวี่ละก็กินเข้าไปเลยจ้า แต่โฮสต์เราเข้าใจนะ ว่าอาหารมันดูจืดๆ (ไม่จัดจ้านแบบอาหารไทยกับอินเดียนมาก โฮสต์เราชอบกินอาหารไทยมาก แต่..ไม่เคยเที่ยวไทย) เขาก็เลยให้ ketchup มา เขาไม่คิดว่าแบบเราไม่ให้เกียรติอาหารเขานะ คือรสชาติมันไม่คุ้นเคยไง 
    หนมไรไม่รู้ ข้างบนเหมือนแป้งของ choux cream ละข้างล่างเป็น chocolate mousse อะ อร่อยแบบเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ ชอบมากๆแต่ไม่รู้จักชื่อ อันนี้โฮสต์เขาทำเอง อยากกินอีกแต่เกรงใจเขา รสชาติจะประมาณดาร์กช็อคละก็รสออกมูสๆครีมๆ
    **เวลาตักเห็นลูกกลมๆข้างบนปะ เขาจะตัดแค่นั้นแหละ กินประมาณคำสองคำก็หมดแหลว ถ้ายัดก็คำเดี---- เอ่อ คีพลุคนิดนึง**
    พอกินข้าวเสร็จเลยขอโฮสต์ออกไป local shop (น่าจะชื่อ premier นะ) ตามหา..ของที่คนไทยอายุมากกว่า 20+ ตามหากันถึงขนาดมีเพจชื่อ "ทวงคืนไอติมเวียนเนตต้า" (น่าจะประมาณนี้) ขึ้นมาเลยทีเดียว ละก็ได้ลองแล้ว อร่อยมากเลย ฮิๆ ไม่แพงด้วยประมาณ 73 บาทไทย กิน 3 วีคยังไม่หมดเลย 555 อ่อ กินวีคละ 2 ชิ้น อวดๆ บางวันก็แค่เอาช้อนไปตัก 2 คำเลิก #เพราะมันเป็นของเลาาา (ภาษาวิบัติ)
    มาเซลฟี่กับน้องวี่ที่น่ารักกกกก คิดถึงนางมากๆเลย
    ชอบสภาพแวดล้อมในบ้านโฮสต์
      หมดวันแล้วก็ไปๆๆๆไปนอน หมดแรงก็ไปนอน ชาร์ตแบตให้เต็มที่ ??
    ปล. เราไม่มีอาการ Jet Lag นะ คือวันแรกที่ไปถึงนี่ไม่นอนเลย เล่นกะน้องๆทั้งวันจ้า 
    ละเก็บไปนอนตามเวลาท้องถิ่นเอา ? 
    เวลาท้องถิ่นจะช้ากว่าไทย 6 ชม. ใครบินไปยุโรปก็นอนบนเครื่องมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่เรานอนบนเครื่องได้ 6 ชม.จ้า
    บรรยากาศแถวบ้านโฮสต์
    แถวบ้านโฮสต์ ออกมาเดินเล่น
    ชอบต้นไม้โกร๋นๆหน้าบ้านโฮสต์ มันสื่อความรู้สึกได้หลากหลายดี
    ในขณะที่ต้นข้างๆกลับบานออกดอกสวยอย่างน่าแปลกใจ
  • Chapter 4 : ยินดีต้อนรับสู่บ้านโฮสต์แฟม (ตอนที่ 2)
    นี่คือ Host Family ของเราเองค่าาา วันแรกขอโฮสต์เขาเซลฟี่~ 
    โฮสต์มัมจะเป็นคนตาสีฟ้าแต่ผมดำ ส่วนโฮสต์แด๊ดตาสีเฮเซล ผมบลอนด์ 
    แต่ลูกเขา 2 คนได้ผมสีประมาณโฮสต์แด๊ด คนโตตาสีน้ำตาลเข้ม ส่วนคนเล็กจะตาฟ้าแบบโฮสต์มัม
    ตอนนี้จะมาแนะนำโฮสต์แฟมิลี่นะจ๊ะ
    ในภาพ (ซ้ายไปขวา) มี 4 คนในภาพนี้ก็คือ 
    1. โฮสต์มัม (ลิซ่า/ Host mom Lisa) : คือ เราจะชอบเรียกเขา ว่าโฮสต์มัมนะ เราไม่กล้าไปเรียกว่าลิซ่าหรอก มันเหมือนเรียกเพื่อนเลยไม่กล้าเรียกไง กลัวเขาคิดว่าไม่มีมารยาทอะไรแบบนี้อะ โฮสต์มัมจะแนวๆฝรั่งทั่วไปแหละ เขาเป็น physical therapist ประมาณว่านักกายภาพบำบัดในเด็ก ก็ไม่มีอะไรที่ไม่ชอบเขานะ นับว่าเป็นคนที่ nice มากๆ แต่ตอนที่มีปัญหา (เราขอไม่เล่าพาร์ทนี้เลยละกัน) โฮสต์มัมคือคนที่กอดเราและปลอบตอนเราร้องไห้เนี่ยแหละ คอยเป็นที่ปรึกษาด้วย เราชอบคุยเล่นกับเขาเวลากลับบ้าน พอถามว่าเป็นโฮสต์นานแค่ไหนแล้ว โฮสต์มัมบอกว่าเป็นมา 9 เดือนแล้วจ้า โฮสต์ของทาง stafford นับว่ารายได้พอได้ (แต่ค่าครองชีพเขาแพงนะ) อยู่นะ ประมาณเดือนละเกือบสามหมื่นแหน่ะ
    2. น้อง (ไอร์ล่า/Isla) : ไอร์ล่าอายุ 4 ขวบ เวลาพูดเสียงไอร์ล่าจะขึ้นจมูกมาก (เห็นน้องเขาเคยเป็นโรคปีแอร์การ์แด็งมาตอนเด็กๆ ไม่มั่นใจว่าโรคที่น้องเคยเป็นแต่หายแล้วเนี่ยมีผลไหม) เพราะน้องเขาจะพูดไม่ค่อยชัด บวกกับเสียงที่ขึ้นจมูก ฟีลประมาณเสียงนาสิก ส่งผลให้เราฟังไม่รู้เรื่องแต่เราก็เล่นกะเขาได้นะ ก็สนุกดี แต่เวลานางพูดอะไรต้องให้วี่แปลให้ เพราะเราฟังไม่รู้เรื่อง (วี่เหมือนกันวุ้นแปลภาษาเข้าไปเลยลูก~) นางค่อนข้างจะฉลาด เวลาที่เรียกชื่อเราละเราไม่หันนางจะไปเรียกชื่อบัดดี้คนก่อนหน้าที่เรามีปัญหากันแต่นางย้ายออกไปละ ละเราก็จะหันไปทุกที 555 ละโฮสต์มัมก็จะพูดตลอดว่า "__ชื่อคนนั้น__ไม่อยู่แล้วเลิกเรียกชื่อเขาได้แล้วคนที่คุยอยู่น่ะชื่อมี่ ไม่ใช่ __ชื่อคนนั้น__" จริงๆแล้วนางชอบเล่นกับคนนั้นมากกว่าเพราะไม่ต้องพูดไรกันมากไงแค่เล่นๆไปก็พอ แต่ก็ไม่ได้โกรธเวลาที่นางเรียกชื่อคนนั้นหรอก #แต่แร้วงัยคัยแคร์ (คำว่าแคร์ทำเสียง r แอร์ค แบบในภาษาฝรั่งเศส) เดะนะหล่อน มันไปเกี่ยวกะไอร์ล่าตรงไหน?!?
    3. น้อง (อีวี่/Evie) : วี่อายุ 7 ขวบ เรียนอยู่เกรด 2 เราชอบเล่นกับอีวี่มากกว่าเพราะว่าฟังรู้เรื่องกว่า ละเราชอบวี่เพราะชวนคุยได้ไง วี่ช่างเจรจามากกว่า ด้วยเพราะเป็นเด็กเลยพูดชัดละก็ช้าทำให้เราเข้าใจง่าย (ภาษาจะพัฒนาไปได้เร็วอยู่ ทั้งการฟังละก็พูด) วันแรกที่มาวี่ก็เขินๆหน่อย แต่พอบ่ายๆนางก็รั่วละ ไม่ต้องเขินละน้องเอ้ย ฮ่าๆๆ วี่จะมา ให้สอนเลขบ้าง คือเราเก่งแค่บวกลบคูณหารนะ ที่เหลือเน่า 55555 (อังกฤษเหมือนวี่บอกว่าไม่มีท่องสูตรคูณ ละวิธีการเรียนการสอนบวกลบเลขของเขาต่างจากของไทยค่อนข้างมาก คือคนละวิธีกันเลย เราไปเรียนของเขาก็งง เราสอนให้วี่วี่ก็งง)
    4. โฮสต์แด๊ด (โจ/Host dad Joe) : เขาเป็นคนแนวเงียบๆอะ วีคนึงเจอหน้าเขาแค่วันเสาร์กับอาทิตย์เอง วันธรรมดาไม่ค่อยเห็น โฮสต์มัมบอกว่าโฮสต์แด๊ดเป็นคนขับรถบรรทุกคันใหญ่มากๆ เดาว่าน่าจะทำกะกลางคืน เพราะกลางวันไม่เคยเจอหน้าเลย เราไม่ค่อยสนิทกับเขานะ แต่เขาชอบชวนเวลาเจอกันว่า "จะเอาชาร้อนไหม" (เขาใช้คำว่า English tea นะ) ไอนี่ก็ไม่เคยปฏิเสธไง เป็นคนชอบดื่มชาค่ะ 555 ฟันถึงเหลืองขนาดนี้ไง๊ ชาอังกฤษก็จะเป็นชาใส่นมอะ แต่จะไม่มีน้ำตาลนะ คือจนถึงก้นแก้วละรสชาติมันจะแป่งๆอะ บอกไม่ถูก แต่มันเลี่ยนๆยังไงไม่รู้ ก็็็็็็็็กินได้แหละแนะนำให้ลองสักหน่อย
    คืองี้ ก่อนไปอะ ทางโครงการเขาแจกใบข้อมูลโฮสต์ให้ (จริงๆรู้ตอนได้วีซ่า) เลยถ่ายรูปเก็บไว้ แต่มีแค่ชื่อโฮสต์,ที่อยู่,เบอร์โทร ไม่มี e-mail อะไรเลย เราเลยพยายามติดต่อโฮสต์ตอนแรกก็ส่งข้อความไปทางโทรศัพท์ธรรมดา เสียข้อความละ 8 บาท ละอิฉันนี่ทริปเปิ้ลไป 3 ข้อความ (เหอะ อิผี 24 บาททำงก) โฮสต์ไม่ตอบ จนไปโหลด whatsapp ละไปล่าหาเบอร์มา.. จนสุดท้าย.. เจอโฮสต์ทาง whatsapp จ้า **นึกเข้าไว้ว่าหาไม่เจอก็มาหาใน whatsapp ซะ ฝรั่งส่วนมากจะมี whatsapp กัน** รีบส่งข้อความไปทักทาย~ ก่อนจะไปประมาณ 2 วีคได้ หูยดีใจมาก คนอะไรสืบเก่งจริงๆเลย (ความจริงคือเป็นคนขี้เผือก เพราะงั้นใช้ความขี้เผือกให้เป็นประโยชน์ เพราะหากคุณมีความขี้เผือก คุณก็จะมีความพยายามและแกร่งกล้าในการสืบเช่นกัน เอ่อ นี่คำชมตัวเองใช่ปะ??????)
    เซ็นเซอร์เพราะอายภาษาอังกฤษเว่ย สกิลการใช้แกรมม่าจิมีความกากหน่อยๆ #ขีดๆๆๆๆ 
    ลืมแนะนำไอ้เหมียวนี่ไปได้ยังไงกัน?
    เหมียวนี่หน้าตาไม่ต่างจากเหมียวไทยธรรมดา เจ้าเหมียวนี่ชื่อว่า Humphrey (ฮัม-ฟรี่) 
    อายุ (เดือน พ.ค. 2017) 8 เดือน
    เหมียวนี่มีวีรกรรมคือ.. "ชอบลากนกเข้ามาในบ้าน" เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
  • Chapter 5 : อ้าว? ไปเรียนภาษา? มาบูฮาย Stafford House Canterbury
    สวัสดีทุกท่านวันนี้จะแนะนำมาที่.. Stafford House แห่ง Canterbury (เสียงเอคโค่)
       อธิบายกันก่อนนะคะ ว่าตามสถาบันที่ภาษาอังกฤษสอนในอังกฤษ คือว่าถ้าใครที่ไปแล้วอายุยังไม่ถึง 16 ก็ต้องไปเรียนที่ตึกของ Junior Zone ก่อน เท่าที่ถามฟิยอนเห็นเขาบอกว่าเป็นไปตามกฎของ British Council ประมาณว่าอายุไม่ถึงก็เรียนตึกใหญ่ไม่ได้อะ ต่อให้จะ 15 ปี กับ 11 เดือนก็ตาม ซึ่งจะอยู่ห่างจากตึกใหญ่ไปคือจะมีถนนเหมือนเข้าไปในซอย Oaten Hill คือโรงเรียนฝั่ง Junior จะอยู่ตรงข้าม ร้าน Premier ตรง Oaten Hill Local Express เลยจ้า เปิดหาเว็บของ Premier stores ได้เลยละก็เอารหัส CT1 3HZ ไปใส่ได้เลย หรือถ้าจะเดินตาม gg maps ก็ก๊อปอันนี้ลงไปเลยจ้า 31-32 Oaten Hill, Canterbury Kent CT1 3HZ  แต่จริงๆวันแรกที่ไปโรงเรียนฟิยอนจะเป็นคนเดินนำไปโรงเรียนนะ แค่วันเดียวนะ วันเดียวเท่านั้น แต่เดินไม่ยากๆ ส่วนตึกใหญ่จะอยู่บน 19 New Dover Rd. , Canterbury CT1 3AH
     หน้าโรงเรียน ฝั่ง Junior ก่อนเข้าต้องกดรหัส     ละแบบว่าจะไม่มีป้ายบอกนะว่านี่คือโรงเรียน มีแค่นี้เองสติ๊กเกอร์จิ๋วๆ ตามในภาพเลยจ้า ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น
      คือการมาโรงเรียนทุกๆเช้าจะมีรถโค้ชมารับจากป้ายรถเมล์ ซึ่งป้ายของเราคือ Staines Hill ไปโรงเรียนแต่ก็จะส่งแค่จุดศูนย์กลางระหว่างตึก senior กับ ตึก junior คือผู้ใหญ่จะเดินตรงไป จำไม่ได้ว่าต้องข้ามถนนไหม ละก็เลี้ยวซ้ายเดินไปเรื่อยๆ ตึกผู้ใหญ่อยู่ ที่่ 19 New Dover rd. ก็จะต้องเดินตรงไปนิดหน่อยละรอตรงทางม้าลาย กดปุ่มสีเขียว ละอาจต้องรอข้ามถนน พอส่งสัญญาณข้ามได้ก็ข้ามไป ละก็เดินตามทางเดินไปเลยคือตรงไปเรื่อยๆ เลี้ยวขวาเข้าซอย ละก็เดินตามทาง จะอยู่ฝั่งเดียวกับ Premier น่ะแหละ เผื่ออยากหาของกินก่อนไง คือจะถึงก่อนเวลาเรียนประมาณ 20 นาที เดินมาถึงโรงเรียนจะไม่เกิน 8.21 น. ละจะเข้าเรียนที่ 8.40 น. ทุกวัน เรียนวันจันทร์-ศุกร์ ตารางเรียนจะแบ่งแบบนี้ 
    lesson 1: 8.40 - 9.40             break time 10 mins 
    lesson 2: 9.50 - 10.50           break time 10 mins
    lesson 3: 11.00 - 12.00         break time 10 mins
       เวลาพักประมาณนี้ คิดว่าคนไทยจะขึ้นมาตรงเวลามั้ย ก็ไม่อีกแหละ 5555 แต่ไม่ใช่เราเฉยๆ เปล่าแซะนะ แค่พูดความจริง รุ่นน้องที่ไปด้วยกัน ได้โปรดอย่าด่ากันนะ ที่เอามาเผาขนพวกแกเนี่ย มีวันนึงรุ่นน้องขึ้นมาสายไป 10 นาที ทีชเชอร์บ่นๆๆๆๆ ประมาณ 5 นาที หรือ 10 เนี่ยแหละ 
        คือแต่ละคาบเขาจะสอนแบบเนื้อหา คนละ topic กัน เนื้อหาจะไม่ซ้ำกัน เหมือนกันไม่ให้เด็กรู้สึกเบื่อหน่ายอะ ก็เรียนได้เรื่อยๆ สนุกบ้างเฉยๆบ้าง แต่เคยเบื่อไปหลายคาบอะ แต่จะพยายามดึงตัวเองไม่ให้เบื่อหน่ายไง ก็จะมี project works เป็นงานคู่ เช่น ให้คิดเทศกาลขึ้นมาเอง grammar บ้าง โจทย์คำถาม quiz อะไรแบบนี้ แต่ teacher จะมีแค่คนเดียวที่สอนกรุ๊ปนั้นๆ จะไม่ได้เปลี่ยนทีชเชอร์ เพราะตึก junior จะเปิดสอนแบบเป็นกรุ๊ปซะมากกว่า ละ teacher ของเราก็คือ Teacher Rebecca Jones 
    ** แต่การเรียนการสอนของที่นี่คือครึ่งเช้าจะเรียน (แล้วแต่ชนิดของคอร์ส แต่เราเรียนแบบธรรมดา เลยเรียนแค่ 3 ชม.) พอหลังเลิกเรียน (เที่ยง) ก็จะปล่อยไปกินข้าวที่ Canteen จะมีคำว่า CATS college นั่นแหละโรงอาหาร พอกินข้าวเสร็จบางวันจะมีไปทัศนศึกษา คือ half day excursions เช่น Chatham Dockyard, Canterbury Cathedral อาจจะ 2-3 วันต่อวีค แต่ส่วนมากจะเป็นสถานที่ใกล้เคียงเมือง Canterbury ซะส่วนมาก บางวันจะมีการทำ evening activities เช่น harry potter night คือให้ทำ wand อะ ทำกี่อันก็ได้/British culture quiz ก็จะแบบเหมือนให้ตอบ quiz เกี่ยวกับอังกฤษละลองกินอะไรที่คนอังกฤษจะกินกัน เช่น scones, digestive cookies, marmalade กับขนมปัง/Fashion show night ก็ประมาณว่าจะให้ถุงขยะสีดำ+อุปกรณ์ตกแต่ง ละมาประดิษฐ์กัน 
    ส่วน full day excursions จะมีแค่วันเสาร์วันเดียว พาออกไปนอกเมือง เช่น พาไป London, Oxford ส่วนวันอาทิตย์คือ free day เหมือนใช้เวลาอยู่กับโฮสต์ แต่โฮสต์เราพาไปเที่ยวนะ อิอิ (รีวิวทีหลัง) **
    นี่คือ Teacher Rebecca Jones 
    ทีชเชอร์รีเบคก้าปีนี้เขาอายุ 54 ปีแล้วนาจาาาาา คือตอนไปเรียนอะ ได้ happy birthday เขาด้วย 
    วันเกิดเขาคือวันที่ 4 พ.ค. นะ ใครไปละเจอเขาก็แฮปๆเขาหน่อยละกัน รู้วันเกิดเขาได้ก็เพราะ Course director นามว่า Amanda น่ะแหละ เราชอบคุยกับ Amanda เพราะว่าเขาคุยละสนุกดีอะ คุยละเหมือนพยายามชวนคุยต่อด้วย ทุกๆวันที่ไปเรียนเราชอบขึ้นไปห้องก่อนเวลาเรียนจริง 10 - 15 นาที ไปเคาะห้องยืนคุยกับเขาน่ะแหละ
    คนนี้คือ Amanda Reeves เป็น course director ที่ Stafford House Canterbury ฝั่งจูเนียร์
    ขอถ่ายรูปกับเขาตอนวันสุดท้ายก่อนกลับ T-T
    ภาพในห้องเรียนก็จะเป็นเก้าอี้กับที่เขียนตามในภาพ ห้องที่เรียนจะมีหลายห้อง แต่ห้องนี้อยู่ติดห้องของ Amanda เลยนะชื่อห้อง คือ Canterbury ห้องที่เป็นโต๊ะแบบโต๊ะเขียนก็มี ชื่อห้อง Chatham แต่ไม่ค่อยจะได้ไปเรียนห้องนั้นยกเว้น project works
    ตอนจบที่รับประกาศนียบัตรจาก Stafford House เขาจะมีพิธีรับฯเรียกว่า "Farewell Tea Party" (แต่อย่าคิดว่าจะมีชานะเพราะไม่มีไง มีแต่โค้กอะจะเอาไหม 555) เราได้ระดับภาษามาคือ B1 (Intermediate) ซึ่งดีใจมาก เพราะ
    ตอนม.2 เคยไปสอบ TOEFL JUNIOR มาก็ได้แค่ A2 (Pre-intermediate) เอาใบประกาศฯกลับมาไทยด้วยความภาคภูมิใจมาก เพราะในกลุ่มเราที่ไปมี 10 คน ละมีคนได้ B1 มา 3 คน คือมีเราละก็รุ่นน้องอีก 2 คน ที่เหลืออีก 7 คนได้ระดับ Pre-intermediate หมด กำลังจะบอกว่า Stafford ไม่ได้ปล่อยระดับเล่นๆ เพราะครูผู้สอนจะเป็นคนประเมินเองทั้งหมด ผ่านการสังเกตนักเรียนภายในห้อง เช่น การตอบคำถาม ทักษะการฟัง,พูด,อ่าน,เขียน และการทำใบงานหรือ project works ที่เป็นงานคู่ เพื่อประเมินให้มีประสิทธิภาพตาม CEFR 
     คำอธิบายระดับ B1 Intermediate : Can understand instructions in class. Can express opinions on abstract/cultural matters in a limited way and pick up nuances of meaning. 
    Can understand public announcements. 
    Farewell Tea Party ปาร์ตี้น้ำชา ที่ไม่มีชา
    ตอนถ่ายรูปกับ Amanda Reeves สัญญาว่าถ้าได้กลับไปละเรียนตึกใหญ่ จะแวะไปเยี่ยมเขาที่ตึกฝั่ง Junior Zone ให้ได้!!
    ถ่ายรูปกับ Teacher Rebecca เขามอบให้เรา เราได้คนสุดท้ายจ้า เหมือนเขาจะตื่นเต้นนะ มุมใบประกาศฯอิฉันยับหมดเลยจ้า
    ชีวิตการไปเรียนภาษาก็จะวนลูปอยู่อย่างนั้นทุกวันจันทร์-ศุกร์เลยฮะ แต่ที่สำคัญทาง Stafford จะมีกระดาษให้เขียนเหมือนไดอารี่ว่าวันนี้ทำอะไรๆบ้าง แต่เขียนไม่เยอะนะละก็ส่งให้ทีชเชอร์ตรวจละเขาก็จะส่งคืนให้ มันก็อยู่กะเราเนี่ยแหละ
    -- จบเรื่องการเรียนแค่นี้ฮะ พาร์ทหน้าจะต่อด้วย "ประสบการณ์ตกรถโค้ช" --
  • Chapter 6 : ประสบการณ์ตกรถโค้ช
    พาร์ทนี้นุ้งมี่จะมาพูดถึง "ประสบการณ์การตกรถ" ซึ่งนับว่าโคตรซวย แต่ก็คือความผิดเราเนี่ยแหละฮะ โทษใครไม่ได้หรอก เหตุการณ์นี้..เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 แห่งการไปโรงเรียนจ้า คือวันอังคารของวีคแรกที่ไปถึงเลย 555 คืองี้หลังบัตรนักเรียนทุกคนอะ (แบบที่เราห้อยตามด้านบนๆ) จะมีบอกถนนที่ต้องขึ้นรถอยู่ คือป้ายรถสาธาณะชื่อ bus stop คือ staines hill เวลาในบัตรคือรถจะมารับ 7.53 น. ไง ละจากบ้านเดินไป bus stop ถ้าเดินช้าๆเน้น slow life จะ 5 นาที แต่ถ้ารีบเดินจะ 3 นาที ละวันนั้นอะ ไอนี่ไปหยิบของหลังกินข้าวเสร็จไง ก็ออกจากบ้านประมาณ 7.48 น. แล้วเดินไปถึง bus stop ตอน 7.52 น. ซึ่งมันจะทันชะ? แต่!!! วันนั้นไม่ทัน!! เราไม่เห็นใครอยู่ที่ bus stop แล้ว หายไปหมดเลย มันก็หมายความว่า "เราตกรถ" อ้าว.. ละจะทำไง? ตอนนั้นยอมรับว่าแอบตกใจ แต่การแก้ปัญหาที่ดีคือควรจะตั้งสติละใช้สติปัญญาไง ไม่ใช่การโวยวายหรือร้องไห้นะ แนะนำว่าไม่ควรทำ เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นยังทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ละแนะนำนะคะ ว่าถ้ามีบัดดี้เนี่ย ละบัดดี้ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นก็ปล่อยไปนะคะ เราแก้ปัญหาเองน่าจะดีกว่า เราเลยตั้งสติละ keep calm ไว้ไง ละตอนนั้นไม่ต้องพูดถึงจ้า ไปตอนแรก ยังใช้ sim card ไม่ได้เลยยังติดต่อใครไม่ได้ไง เลยกลับไปบ้านก่อนหลังจากยืนอยู่นาน ละไปเชื่อม wi-fi ที่บ้านโฮสต์เอา ละส่ง whatsapp ไปบอกโฮสต์ว่าตกรถบัสนะ เหมือนวันนี้บัสมาก่อนเวลา 1 นาที แต่เข้าบ้านไม่ได้เพราะโฮสต์ออกจากบ้านไปทำงานแล้ว T_T ละเราก็ไม่รู้รหัสประตูบ้านเขา (อย่างที่บอกไง) ละทีนี้ข้างนอกหนาวมาก บวกกะติดต่อ group leader หรือใครก็ไม่ได้เลยเพราะพวกเขาคงกำลังไปโรงเรียนแหละละไม่มี wi-fi หรือเน็ตไง ซิมใช้ไม่ได้~ แต่ดีที่เราเมมเบอร์ emergency ของ stafford house canterbury ได้ เบอร์นี้นะทุกคน แอดไว้ใน whatsapp ก็ได้จะมีเจ้าหน้าที่อ่าน มี 2 เบอร์นะจ๊ะ คือเบอร์ +441227811507 กับ +441277453579 (ฟิยอนเคยบอกว่าถ้าตกรถบัส ก็ don't panic ให้พยายามติดต่อทางโรงเรียนละรออยู่หน้าบ้าน) แต่ก็อย่างที่บอกไง คือโทรไม่ได้ ส่วน whatsapp ไปเหมือนวันนั้นเขาอ่านช้าอะ เราเจอคนข้างบ้านโฮสต์ออกมาข้างหน้าบ้านพอดี (เพื่อนบ้านโฮสต์คนนี้เขาเหมือนชอบคนไทยนะ มีวันนึงที่เขาเข้ามาบ้านโฮสต์ละเขาบอกเราว่า "เนี่ยลูกชายฉันน่ะ เขาทำงานอยู่ที่ประเทศไทยนะ เขาอยู่พัทยา เขาเพิ่งกลับไปที่ไทยก่อนเธอจะมาแค่ 2 วีคเอง" โฮสต์มัมเลยแซวว่า "สักวันเธออาจจะได้เจอเขาที่เมืองไทยก็ได้นะ ฮ่าๆ" (ยิ้มแรง)) วันนั้นเราเลยบอกเขาไปว่า "เนี่ยคือหนูตกรถบัสอะค่ะ แล้วโทรศัพท์หนูใช้ไม่ได้เพราะว่ายังไม่ได้ลงทะเบียนซิมให้เปิดใช้งานได้ คือหนูอยากจะขอยืมโทรศัพท์ได้มั้ยคะ" ละเพื่อนโฮสต์ข้างบ้านเขาเลยชวนเข้ามาในบ้านก่อนเพราะวันนั้นข้างนอกหนาวมากกกกๆๆๆๆๆๆๆ เพื่อนบ้านโฮสต์ก็เลยบอกว่า "เอาเบอร์ emergency ของ stafford มาหน่อย (เลยให้เขาไป)" ละทีนี้พอเสร็จปุ๊บ เพื่อนบ้านโฮสต์เลยบอกว่า "ให้กลับไปรอที่ bus stop อีกรอบละถ้าเจอรถบัสธรรมดา (รถขนส่งสาธารณะส่วนมากจะเป็นของ stagecoach) ละบอกคนขับว่าไป stafford house พอไปถึงละค่อยไปขอเงินคืนกับทาง stafford เอาได้ แล้วเขาจะคืนเงินให้" เราก็เลยขอบคุณเขาไป ละออกไปรอรอที่ bus stop พอขึ้นรถของ stagecoach ไป ก็เลยบอกเขาไปว่า stafford house canterbury ละคนขับเลยตอบกลับมาประมาณว่า "เนี่ยไปไม่ถึงนะ ได้แค่ city centre คุณจะต้องรอรถโค้ชของทางโรงเรียน" (อ้าว ก็กูตกรถไงงงงง) ก็เลยลงมา *ถ้าจำไม่ผิด พวกรถบัสของอังกฤษจะต้องจ่ายเงินให้คนขับรถ ไม่มีเป๋ารถเมล์แบบไทย ละผู้โดยสารต้องจ่ายเงินให้ครบก่อน รถถึงจะออก* อืม ก็เดินกลับบ้านไปอีกรอบนึง นั่งเชื่อม wi-fi อยู่หน้าบ้าน ละเห็นข้อความใน whatsapp ของโฮสต์ละ โฮสต์ก็เหมือนส่งมาประมาณขำๆเราอะ ละคราวนี้เหมือน group leader จะถึงที่โรงเรียนละเชื่อม wi-fi ได้ เลยโทรมาหาเรา เราก็เล่าให้เขาฟัง เขาเลยบอกฟิยอนให้ส่งรถมารับเราหน่อย ละ group leader เลยบอกว่านั่งรอหน้าบ้านนะ บ้านอยู่บน babs oak hill โอสต์ชื่อลิซ่าใช่มั้ย? เราก็ตอบใช่ ละวางสายไป เราก็แบบเออโอเคๆ ทีนี้เลยนั่งรอรถของทาง stafford มารับ ประมาณ 15 นาทีได้ เขาก็มาจอดหน้าบ้านละบีบแตร ละเลยลงไป สรุปวันนั้นก็ไปถึงโรงเรียนประมาณ 9.30 กว่าๆ เกือบหมด lesson 1 ละเหอะ

    ข้อคิดจากเรื่องนี้ : 
    - การตื่นตกใจโวยวายไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ซ้ำจะทำให้สถานการณ์มันแย่ลงซะอีก ถ้ารู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้หรือเอาแต่โวยวาย ก็แค่เงียบไป ละบอกว่าช่วยไรไม่ได้หรอก ดีกว่าให้อีกคนที่กำลังแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามานั่งฟังคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันแต่ดีแต่เพิ่มความกดดันให้ มานั่งฟังอีกคนบ่นให้รู้สึกกดดันละหัวร้อนขึ้นไปอีก ทำแบบนี้เงียบๆไปซะยังจะดีกว่า
    - พยายามขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านถ้าเราใช้โทรศัพท์ไม่ได้จริงๆ เพราะจำเป็นต้องเอาตัวรอดและแก้ไขปัญหาจริงๆ
    - สติเท่านั้นที่จะแก้ไขทุกอย่างได้ ทุกคนก็มีทางแก้ปัญหาต่างกัน 
    - ควรจะไปถึง bus stop ก่อนเวลารถออก 4-5 นาที นะจ๊ะ

    ปล. หลังจากวันนั้นเราก็ไปถึง bus stop ไม่เคยเกิน 07.49 อีกเลย แต่หลังจากวันนั้นรถมาสายเกือบ 10 นาทีทุกวันเลยจ้า!!!! ยืนตาก-ลมรอบัสวันละ(เกือบ) 15 นาทีจิตแจ่มใส~ หนาวชนิดเกือบตัวแข็งตาย ??

    รีวิวซิมการ์ดเพิ่มเติมอีกหน่อย ~ 
    นี่คือหน้าตาของ sim card
    เราใช้ของเครือข่าย lebara ราคาซิมอยู่ที่ £23 
    รายละเอียดตามนี้นะคะ 
    All In £20 5GB (30 days) £20+ ค่า sim card £3 = £23 (ค่าโปร £20 + ค่าเปิดใช้ £3)
    500 national mins to UK (โทรได้ 500 นาทีแแบบโทรระหว่างประเทศ)
    5GB internet 3G (ใช้เน็ตได้ 5 gb คือตอนแรกมี่ก็คิดว่า ทำไมมันน้อยจัง? สุดท้ายก่อนกลับแบบวันสุดท้ายจริงๆ เน็ตเหลืออีก 1.1 gb จ้า เน็ตเขาไม่รั่วเลยนะเอาจริง ที่คิดว่าน้อยเพราะของไทยเน็ตรั่วบ่อยอะ บ่อยจนคิดว่ามัน 1 gb ปะ 555)
    100 national SMS to UK (ข้อความระหว่างประเทศ 100 ข้อความ) 
    Lebara to Lebara: Unlimited* mins and unlimited* SMS to UK Lebara numbers 
    (ระหว่างเครือข่ายเดียวกัน : ไม่จำกัดทั้งเวลาการโทรและจำนวนข้อความระหว่างเลบาร่า)

    แนะนำให้ติดตั้งแอพ lebara นะ (โหลดได้ใน gg play กับ app store) เพราะจะได้เช็คว่าใช้เน็ต/โทรระหว่างประเทศ ไปเท่าไหร่แล้ว จะได้ไม่ต้องกังวลค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่จริงๆซิมของอังกฤษก็ไม่มีเก็บเพิ่มเติมแล้วนะ ? ไม่เหมือนซิมประเทศแถวๆนี้ชาร์ตบ้าชาร์ตบออะไรเยอะแยะ---- ขอโทษค่ะ อิอิ
    หน้าตาของแอพ Lebara
  • Chapter 7 : yas, excursions and trips 1
    พาร์ทนี้ มี่จะเล่าถึงการไปทัศนศึกษานอกสถานที่อย่างเดียวนะคะ ทั้งแบบ half และ full day แล้วจะเรียงตามสถานที่ๆไปก่อนหรือไปหลังทั้งหมดค่ะ
    WEEK 1 : 
    1. Walking tour : Canterbury (City centre + Canterbury Cathedral)
    CANTERBURY CATHEDRAL GATE
    CANTERBURY CATHEDRAL
    - Canterbury Cathedral : เป็นมหาวิหารที่เด่นๆของเมืองแคนเทอร์เบอรี่เลยค่ะ ช่วงที่เราไปเขาซ่อมบำรุงบางส่วนพอดี เลยทำให้เห็นพวกอุปกรณ์ก่อสร้างมากมายอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Gothic ผสมผสานกับ Romanesque เป็นมรดกโลกด้วยนะ ถูกสร้างครั้งแรกตอนปีค.ศ. 597 (นานมากๆ) แต่โดนไฟไหม้ไป เลยสร้างใหม่ ตอนที่ไปจะมี audio tour ด้วย
    รูปร่างหน้าตาของ audio tour 
    วิธีฟัง audio tour คือ
    - มันจะมีปุ่มเขียวๆ ให้กด ปุ่มนั้นก่อน (play) แค่ครั้งแรกที่ก่อนจะกด 1
    - หลังจากนั้นกด number + play ตามที่ๆเราจะเริ่มเดินตามแผ่นที่เขาให้มา แล้วเขาจะบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ (จริงๆมีภาษาพวกสเปน,อิตาเลียน,เยอรมัน อะไรแบบนี้ด้วยนะ แต่ไม่มีภาษาไทยนะ) ละเอามาแนบหูเหมือนคุยโทรศัพท์
    - ฟังไปเรื่อยๆละก็เดินตามแผนภาพไป จะมีบางโซนติดป้ายว่าห้ามถ่ายรูป ก็คือ ห้ามถ่ายนะ ห้ามไปขัดข้อที่ห้ามเด็ดขาด
    ภาพบางส่วนภายในบริเวณของมหาวิหารฯ
    ส่วน city centre ก็ธรรมดาทั่วไปอะแหละ จะเอาภาพมาแปะให้ทีหลังนะ
    ขอเอาภาพตอน walking tour มาฝากละกันค่ะ
    DANE JOHN GARDENS
    เรารู้สึกชอบที่เมืองนี้มีธรรมชาติเยอะ เราชอบธรรมชาติค่ะ เรารู้สึกมีความสุขดี (Canterbury Christ Church University มหาลัยในเมืองคล้ายๆ U of Kent ค่ะ)
    2. Chatham Dockyard 
    คือ Chatham Dockyard จะห่างจากเมืองแคนเทอร์เบอรี่ไป 45 นาที เราโดยสารไปโดยรถโค้ชของทาง stafford นะคะ ตอนไปนี่นอนหัวทิ่มมากๆ Chatham ก็จะแนวๆเหมือนอู่จอดเรือที่ปลดระวางแล้วอะค่ะ ก็จะมี submarine ชื่อ HMS OCELOT (S17) เราชอบเรือดำน้ำลำนี้มากๆ เหมือนว่าทางเจ้าหน้าที่จะใช้ Ocelot เป็นผู้หญิงนะ เขาใช้สรรพนามว่า "she" ตอนที่ลงไปอยู่ใต้น้ำบรรจุคนไปด้วย 69 คน (ลงไปรอบละ 3 เดือนได้) เป็นผู้ชายทั้งหมดที่ต้องลงไปใช้ชีวิตอยู่ใต้บาดาลได้ บรรจุ Torpedo ได้ 8 ลูก (ด้านหน้า 6 ลูก ด้านหลัง 2 ลูก) ทำงานได้ 29 ปีก็โดนปลดระวาง ส่วนเรือลำอื่นๆ พวก HMS CAVALIER หรือ HMS GANNET เราออกจะเฉยๆมากกว่าแต่ก็มีรูปเหมือนกันนะ ละที่ Chatham ไม่ได้มีแค่เรือนะ ยังมีโรงผลิตเชือกหรือ The Ropery อีกด้วย
    นางมีชื่อว่า OCELOT 
    ประตูที่ปิดไม่ให้น้ำเข้ามา
    ที่นอนของคนที่ลงไปอยู่ในเรือ (จนท.บอกว่าจะแบ่งไซส์ของที่นอนตาม "ยศ")
    ห้องน้ำจะมีเพียง 3 ห้อง และไม่มีที่อาบน้ำ
    ชักโครกที่ใช้ ซึ่งจนท.บอกว่าเวลาเข้าจริงจะต้องมีถังทรายด้วย น่าจะกันไม่ให้ของเสียติดชักโครกหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ
    ห้องคนขับเรือ Ocelot
    ห้องเครื่องยนต์ของ Ocelot
    จมูกของ Ocelot ที่เจ้าหน้าที่บอกว่าลงไปใต้จมูกหน่อยจะเป็น Torpedo
    HMS GANNET 
    ถ่ายมาจากบนเรือ HMS CAVALIER
    ด้านหน้าของ HMS CAVALIER 
    ภายในของ The Ropery ปัจจุ
    บันก็ยังคงใช้การและผลิตเชือกอยู่ จะมีคนคอยคุมตลอดเวลา
    ที่ Chatham มีให้มาดูการทำเชือกด้วยนะ ละตอนที่เราไปเขามีสาธิตทำเชือกด้วย
    เหมือนจะเลือกคนออกไปละไปหมุนๆเชือกอะไรสัก
    อย่างอะบอกไม่ถูก รู้แค่สาธิตทำเชือกก็พอ
    3. Canterbury City Centre 
    ยืนถ่ายรูปที่อังกฤษแนะนำว่าอย่าชู 2 นิ้วแบบเรานะ มันมีความหมายนัยๆอะไรสักอย่าง
    ภาพ city centre
    เหมือนว่าเกือบทุกเมืองในอังกฤษจะมี city centre (คือการรวมหลายๆร้านทั้งร้านเสื้อผ้า,อาหาร,กาแฟ,ขายวัตถุดิบ, Marks and Spencer อะไรแบบนี้ เป็นการวมร้านแบบไม่ใช่บนห้าง จะเป็นสถานที่แบบเปิด) ร้านที่เราเข้าบ่อยๆก็จะมี Marks&Spencer ที่อังกฤษ จะมี M&S FOODHALL ด้วยนะ(แต่ใหญ่อลังการกว่าของไทยเยอะมากๆ) คือของเมืองเราชั้นแรกครึ่งนึงจะขายเสื้อผ้า อีกครึ่งจะเป็น FOODHALL กับ M&S CAFÉ ละมีถึงชั้น 3 ชั้นที่เหลือก็จะขายพวกเสื้อผ้า,ชุดชั้นใน,สูทอะไรแบบนี้ เราชอบหาของกินใน M&S FOODHALL เพราะราคาไม่แพงมากละมีตัวเลือกเยอะ M&S FOODHALL ที่นี่จะขายทั้งอาหารสด,แห้ง,แช่แข็ง,แปรรูป,น้ำผลไม้,กาแฟ,นมสด, ขนมปังต่างๆ อธิบายง่ายๆก็เหมือน Supermarket แต่เขาผลิตเองภายใต้แบรนด์ของเขาทั้งหมด ร้าน clintons ขายการ์ดขายตุ๊กตา ป้าเราชอบหมี me to you มาก ป้าเราเคยอยู่ที่ Exeter มา 1 ปี ป้าเล่าให้ฟังว่าชอบเข้า city centre ละซื้อการ์ดวีคละใบ ละแบกกลับไทยมา5555/ร้าน tiger ชอบซื้อหลอดช็อคโกแลตมากินกับนม/ร้าน primark ก็ชอบเข้าไปแต่ไม่ซื้อของนะ primark เหมือนเสื้อผ้าตาม big-c โลตัสประเทศไทยเนี่ยแหละ ราคาก็ถูกๆดีคุณภาพก็ตามราคา ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นแต่พอใส่ได้อะ เหมาะกะการซื้อไปเป็นเสื้อยืดตอนนอนมากกว่า/ร้าน lush เราซื้อกลับไทยด้วยนะพวก bath bombs กับ bubble bars/และร้านที่สำคัญที่สุดคือ poundland กับ poundworld ประมาณว่า everything's one pound ไม่ว่าจะเป็นขนม,อาหารแห้ง,ไอติม,ของใช้บางอย่าง,ลิปบลาม (จะบอกว่าพลาดมากซื้อ nivea ลิปที่ปลอกน้ำเงินไปจากสนามบินสุวรรณภูมิมัน 111 บาทละเข้าไปเดินเล่นใน poundworld.. มันขาย £1 จ้า อหๆๆ เราเคืองมาก) คล้ายๆ daiso ประเทศไทยแต่เขาจะเน้นขายของกิน/ของใช้บางอย่างมากกว่าเน้นของใช้อย่างเดียวแบบ daiso นะ
     รูปของภาพ City Centre โดยรวมนะคะ
    นี่คือ City centre ค่าาาาา
    ร้าน Cookshop ที่นี่อลังการมาก เข้าไปละ ของเยอะมาก ถ้าชอบทำอาหารจะแบบกรี๊ดมากค่ะ
    ในเมืองมีร้าน Pandora น้าาา
    มี Dorothy Perkins, Body Shop
    มี Starbucks นะ แต่คนเข้า Costa เยอะกว่า
    จำไม่ได้ว่าส่วนไหนของ M&S น่าจะฝั่งด้านหน้า
    ทุกๆวันศุกร์จะมีตลาดอะค่ะ แบบมาขายผลไม้สดๆ ของราคาถูก เสื้อผ้าถูกๆ มือ2อะไรแบบนี้
    ลุงเขามาแสดงเพื่อเปิดหมวกค่ะ
    เห็นว่าขายช็อคโกแลต แต่ไม่เคยเข้าไปซื้อ
    ร้าน Office จะขายรองเท้าหลายยี่ห้อในร้านเดียวอะค่ะ พวก converse ละก็ยี่ห้ออื่น
    หน้าร้าน Poundland (ลุงเข้ามาทำไรเนี่ย)
    บรรยากาศหน้าร้าน Lush 
    Marlowe Arcade 
    จะมีหลายๆร้านอยู่ในนี้ ถ้าจำไม่ผิดจะมี APPLE ขายอยู่ เผื่อมีคนอยากมาซื้อ earphone กลับไทยแบบเจ้าโฟร์ท ซึ่งราคาถูกกว่าที่ไทยหลายร้อย (แล้วแต่ค่าเงิน)
    City Centre เมืองเราจะมีหอนาฬิกาด้วย
    ของที่ชอบซื้อมากินจาก poundworld
    รสชีสอร่อยสุด แต่แนะนำให้ลองให้ครบ มีชีส,ไก่,มะเขือเทศละก็ Sweet and Sour
    สอยรัวๆ ช็อคโกแลต aero นับว่าอร่อยมากๆ
    อย่าพลาด Cadbury รส oreo mint นะ ไม่แน่ใจว่ามีขายที่ไทยหรือเปล่า
    หน้าตาของ mugshot เราชอบเอามากินตอนเช้าให้ร่างกายอุ่นๆหน่อย ซุปมันจะเหนียวๆเปรี้ยวๆแต่พอกินใกล้หมดมันก็จะเลี่ยน ปล. เราว่าน้ำแอปเปิ้ลของอังกฤษกลิ่นแรงไป//กินอาหารเช้าไม่เคยอิ่มเลอะ 555555
    ไอติม double caramel ของ magnum ราคา £1 จากร้าน poundland คือ 
    Magnum ในอังกฤษจะมีรสที่ไทยไม่มีพวก mint, double raspberry, double coconut, double chocolate, double peanut butter, cookie crumble, intense dark, pistachio, dark chocolate ละก็ honeycomb
    Welcome to Primark! 
    หน้าตาของเสื้อ Primark 
    #ของดีราคาถูก #คุณภาพตามราคา 
    #ไพรมาร์กเปรียบเหมือนเสื้อผ้าใน Big c
    นี่คือการ์ดหมี me to you ราคาใบละ £1 - £2 แล้วแต่บางแบบที่พิเศษ/สวยๆหน่อยจะ £2
    ตุ๊กตาหมี me to you ในร้าน clintons
    มันมีหลายแบบแก้วน้ำก็มี
    ตุ๊กตาหมาตัวนี้คือตอนแรกป้าจะเอาหมีข้างบนแต่พอเห็นหมาละชอบหมา (ซะงั้น) ตุ๊กตาหมาตัวนี้ชื่อว่า "Boofie" ตกราคาประมาณตัวละ £13 (ตัวไซส์เล็กนะ ถ้าไซส์กลางจะประมาณ £20 กว่าๆ)
    จริงๆแล้วของน่ารักๆในร้าน Clinton เยอะมาก
    หลอดช็อคโกแลตกับสตรอว์เบอร์รี่ร้าน Tiger
    อันนี้หอม โฮสต์ให้ใช้ตอนอาบน้ำ ที่ Boots ปล. ที่ไทยก็มี แต่อังจัดโปรบ่อยจ้า
    ลิป Burt's bee ก็มา
    ขนมหวานใน M&S FOODHALL 
    ของน่ากินเยอะมากๆ
    พวกน้ำพวกนมของ M&S FOODHALL
    ซูชิที่ชอบซื้อกินประจำ เรามองว่าโคตรแพงอะ แต่มันอร่ยชริมๆ
    ซูชิแซลมอนของ M&S นับว่าอร่อย~ เออช่างมัน #แพงแต่หร่อยเด้
    Hot chocolate อันนี้อร่อยจริงๆ หาซื้อได้ตามร้าน premier ราคาอยู่ที่ £1.49
    ร้านอาหารไทยในเมือง Canterbury ชื่อ Lanna Thai Cuisine
    ชอบจานนี้มาก "spicy fried rice with chicken" ราคา £6.50 ต้องสั่งแบบเผ็ดมากนะถึงจะแซ่บถึงอกถึงใจ ชนิดอร่อยปากลำบากตูด????????
    ต้มยำไก่ของน้องโฟร์ทราคา £4 เป็นถ้วยเล็ก (ถ้าจำไม่ผิดต้มยำกุ้งน่าจะ £6)
    4. Oxford City Centre & University of Oxford & Bicester Village (เสพรูปอย่างเดียว ส่วน Bicester มีเรื่องเล่า)
    ก็ City centre อะแหละ
    อะไรก็ไม่รู้เหมือนกั
    การแสดงบน street ที่ city centre ของ Oxford ไม่ได้มีแค่การแสดงเดียวนะ
    ฟิยอนบอกว่า นี่เป็นสะพานที่เชื่อม 2 colleges ไว้ด้วยกัน Ffion บอกว่า ถ้าวิ่งรอดใต้สะพานนี้ จับมือวิ่งกับ (เพื่อน/แฟน) จะอยู่ด้วยกัน/รักกันตลอดไป ละ Ffion ก็จับมือวิ่งกับคนที่เราขอถ่ายรูปด้วย (แปลว่าเขาเป็นเพื่อนรักกันจริงๆแหละ 555555) แต่นะเคอะ ~ Taylor Swift ได้กล่าวว่า "nothing lasts forever" ในเพลง Wildest dreams ซึ่งเราก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกัน เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน #นี่ดราม่าทำไม #เปล่าดราม่าจ่ะ
    คนที่ฟิยอนวิ่งจับมือรอดใต้สะพานเชื่อม (คิดเหมือนเราไหมว่านางสวยมาก เหมือน Cara Delevingne + Elle Fanning) 
    ฟิยอนบอกกว่าคนนี้เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของเขามากๆ เขาเลยชวนวิ่งรอดใต้สะพาน 5555
    สวยชริงๆนะฮะ
    University of Oxford
    ตอนไปซื้อ Bottega Veneta ให้ป้า

    ก็ป้าฝากซื้อกระเป๋าตังค์ Bottega นะคะ ตอนแรกป้าจะเอากระเป๋าแบบหิ้วชะ แต่เขากลัวเราเอากลับไม่ได้ แต่ตอนแรกเราขอพี่พนง.หญิงดูแล้ว (ไม่ได้ racist หรือเหยียดเชื้อชาตินะ นะ เดาว่าน่าจะเป็นคนอังกฤษ เชื้อชาติอินเดีย เพราะว่าเขาเหมือนคนอินเดียอ่ะ แต่เขาพูดจาดีนะ พูดช้าเพื่อให้เราเข้าใจด้วยแหละ แต่เคืองหน่อยที่เขาเรียกฉันว่า madame หน้าฉันแก่หรอม 5555 ละเราก็รบกวนเขาเยอะมากด้วย จนสุดท้ายป้าตัดสินใจเอากระเป๋าตังค์เนี่ยแหละ) หลังจากนั้นเลยต้องเปลี่ยนมาเป็น long wallet คือเกรงใจเขาไง อุส่าต์ช่วยหยิบช่วยถามให้ คือเรามีบัตรเดบิต แต่ไม่รู้ว่าใช้ได้ไหม เขาก็ขอบัตรไปถามพนักงานที่จ่ายเงินว่าได้ไหม เขาก็กลับมาบอกว่าได้ เพราะว่าถ้ามีสัญลักษณ์ visa หรือ mastercard จะสามารถใช้ซื้อของได้เช่นกัน หลังจากนั้นพอจ่ายเงิน ก็จะมีเรทเงิน 2 เรท คือเรท USD กับ GBP ซึ่งเรทของ USD จะอยู่ที่ $458.85 (ประมาณ 15,761 บาทไทย) ส่วนเรทของ GBP อยู่ที่ £345 (ประมาณ 15,187 บาทไทย) เลยเลือกเรท GBP ไป ราคานี้ไม่ใช่ราคา Tax free หรือ Tax refund นะ พนักงานเขาบอกว่า เราอายุไม่ถึง 18 ปี (ยกเว้นว่าจะมีผู้ใหญ่มาเซ็นขอ tax free ให้) ไม่สามารถซื้อของแบบ tax free ได้ (ถ้าได้ tax free ก็อาจจะถูกกว่านี้พันบาทไทยได้)
    #อิ้งกากก็ซื้อของได้ค่ะขอแค่กล้าพูดนะคะ

    --- จบ week 1 ---

  • Chapter 7.1 : โฮสต์พาไปเที่ยว (เฉพาะโฮสต์)
    1. Beltinge Beach (Herne Bay)
    จะห่างจากบ้านโฮสต์เราไป 10 นาทีเอง โฮสต์พาไปเดินเล่นเก็บเปลือกหอย mussels วี่ชอบมากๆ โฮสต์พาไปวันอาทิตย์ตอน week 1 อะแหละ วันที่ 23 เมษายน (หลังไป Oxford)
    นุ้งไอร์ล่าชอบปีนโขดหิน (จริงๆปีนตามอีวี่)
    นางวาร์ปมาถึงนี่เลยจ้า
    ทะเลก็สวยดีนะ แต่สวยสู้ที่ไทยไม่ได้แน่ๆ โขดหินเยอะมาก ละหาดทรายมีอยู่จึ๋งเดียว
    หินกรวดและเปลือกหอยเต็มไปหมด แต่น้ำใสจริงๆ แต่ไม่เห็นคนลงไปเล่นนะ เพราะมันหนาวอยู่ ประมาณ 11°c วันที่ไป ส่วนมากเขาไปเก็บเปลือกหอยกันมากกว่า โฮสต์มัมบอกว่าบางทีโชคดีอาจเจอ mussels ได้~
    โฮสต์มัมถือ scooter ให้น้องไอร์ล่า เพราะว่าไอร์ล่าเล่นอะไรพิลึกๆละล้มลงไป
    วี่ก็ไถต่อไป แต่ไถไม่นานนางก็ล้มลงไปเหมือนไอร์ล่าเลยจ้า แต่พวกฝรั่งเขาไม่ค่อยโอ๋ลูกตอนหกล้มเหมือนคนไทยนะ เผลอๆแค่ไปจับให้ลุกขึ้นละก็บ่นๆว่าไม่ระวังเอง

    2. Soar Trampoline Park
    โฮสต์พาไปวันอาทิตย์ของ week 2 จะอยู่ที่เมือง Gillingham (ถัดไปจากเมืองที่เราอยู่ประมาณ 20 นาทีได้) เป็นแทรมโปลีนปาร์คคล้ายๆ Bounce ของไทย ไปวันที่ 30 เมษา (หลังไป London) 
    On the way to Soar Trampoline Park!
    Wristband ของ Soar Trampoline Park
    คือ ตามสวน Trampoline ต่างประเทศ(เพื่อนชาวแคนาดาเคยถามเราว่า Bounce ที่ไทยต้องเอาลายเซ็น ผู้ปกครองไปไหมตอนนั้นก็งงๆ แต่เคยไปละไม่ต้องเซ็น คือเซ็นให้ตัวเองก็พอ) หรืออังกฤษ ถ้าไม่มีผู้ปกครองหรือไปเองละไม่มีการเซ็นยินยอมจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองจะเข้าไปเล่นไม่ได้ โฮสต์เราออกเงินให้เล่น (เราขอบคุณเขาไปหลายรอบมาก จะจ่ายคืนก็ไม่เอาเขาบอกว่าไม่เป็นไร เขา treat เอง) ละตอนที่เข้าไปคือโฮสต์มัมต้องเซ็นยินยอมให้เราด้วยว่าให้เล่น เพราะอายุไม่ถึง 18 ปีพอเข้าไปถึงปุ๊ปต้องเปลี่ยนอะไรให้เสร็จก่อนละเข้าไปชม Video เกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น ห้าม 2 คนไปโดดบน tram อันเดียวกัน, ห้ามทำ double flip, เวลาจะหยุดโดดให้ลง 2 ขา ห้ามลงขาเดียว เพราะอาจจะผิดท่าละขาหักได้ คือประมาณนี้อะ ละบังคับให้เข้าไปดูทุกคน ในขณะที่ไทยจะไม่มี video พวกนี้เลย
    ถ่ายกับไอร์ล่า เพราะวี่ไม่ยอมมาถ่ายด้วย
    โฮสต์แด๊ดถ่ายไว้ให้
    กลายเป็นว่าพอกลับไปบ้านหลังเล่น tram เสร็จ ละร้อนมาก 16° เรายังว่าร้อนเลยนะ เพราะปกติมันแค่ประมาณ 6-10° มากกว่า 

    เราคุยกับโฮสต์มัมไว้ว่าถ้าปีไหนที่กลับไปอีก จะ whatsapp ไปบอก แล้วคิดว่าตอน postgraduate อาจจะขอป้ากลับมาเรียนที่ University of Kent ละจะขอเช่าห้องอยู่หน่อย โฮสต์มัมก็เลยบอกว่าได้สิแต่อาจต้องนอนห้องลูกสาวเขานะ เพราะข้างบนที่เขาเปิดให้ชาวต่างชาตินอน ลูกๆเขาจะย้ายไปข้างบน ตอนที่โตแล้ว เพราะห้องปัจจุบันของลูกๆเขาเป็นเตียง 2 ชั้นละใช้พื้นที่ได้จำกัด แต่ถ้าเราจะกลับมาเขาจะเอาเตียง 2 ชั้นออกละไปซื้อเตียงเดี่ยวมาใส่ไว้ให้ แต่จะไปก็แจ้งเขาก่อน ณ ตอนนี้เรากับโฮสต์มัมก็ติดต่อกันอยู่ เขาส่งรูปตอนที่ไปเที่ยว Majorca, Spain มาให้เมื่อวาน (24 มิ.ย. 60)

    --- จบทริปที่โฮสต์พาไป ---
  • Chapter 7 : yas, excursions and trips 2 
    WEEK 2 :  
    1. The Canterbury Tales : จะเกี่ยวกับตำนานแคนเทอร์เบอรี่ เขียนโดย Geoffrey Chaucer (เจฟฟรี่ ชอว์เซอร์) TCT จะอยู่ในแถบ City Centre เหมือนกับ Canterbury Cathedral (ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาชอบเอาไปรวมๆกันไว้ ซึ่งก็ดีอะ ดูเสร็จชมเสร็จช็อปปิ้งต่อเลยไง ไม่ต้องเดินทางหลายที่)
    ภายในจะมีอยู่ 5 เรื่องให้ได้ฟังเรื่องเล่าและหุ่นขี้ผึ้งประกอบกัน
    เข้ามาจะเป็น The Pardoner's Tale (ถ้าเราจำไม่ผิดนะ)
    เอาความจริงมันมีความรู้สึกเหมือนบ้านผีสิง เพราะกลิ่นด้านในจะแปลกๆละไฟจะกึ่งมืดๆกับสลัวๆไปตลอดทางระหว่างเปลี่ยนไปดูอีกเรื่อง ละบางครั้งหุ่นขี้ผึ้งมันขยับได้นี่สะดุ้งกันเป็นโขยงเลย เช่นเรื่องที่ 3 นี่คือหุ่นมันพุ่งออกมาได้ ละเสียงดัง ตกใจจ้า
    ตอนแรกที่เข้าไป อันนี้อยู่ฝั่งซ้าย
    ลืมบอกว่า TCT ก็มี audio tour เช่นกัน 
    พอออกมาก็จะมีหนังสือขายละก็พวกของที่ระลึก

    2. Project Work (รีวิวหน่อยๆ) ซึ่งจะต้องทำทุกวันอังคารช่วงบ่าย จะไม่ได้เที่ยวนะ
    เราได้หัวข้อคือ The differences between language Thai and English language ตอนแรกก็สงสัยนะว่า "ทำไมต้องทำโปรเจคเวิร์คด้วย" สุดท้าย คือ จริงๆแล้วเขาให้ออกไป present วันที่รับประกาศนียบัตรจ้า งานนี้จะเป็นงานคู่นะ 

    3. Leeds Castle
    ปล. อย่าว่ากันนะ อันนี้ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ มาเพราะโดนลากมา 5555 
    รูปภายนอกก็จะประมาณนี้
    มีเรือให้ลงไปนั่งเล่นด้วยนะ
    ภายในก็อลังการงานสร้างดี
    ห้องรับประทานอาหาร
    น่าจะห้องอาหารอีกห้องนึง
    ปราสาทแบบเต็มๆ
    แผนที่ของ Leeds Castle
    จริงๆ ต้องเดินเพื่อไปที่ปราสาทนะ แต่สวยมากจริงๆ
    ทางระหว่างเดินกลับไปที่รถ (ทีชเชอร์เจสสิก้า)
    ชอบน้ำรอบๆตัวปราสาทมาก มีห่านมีหงส์ด้วยนะ น่ารักมาก
    แถมๆ วันเกิดของน้องโฟร์ท ตัวพลุอลังการเว่อร์วังมาก (คนนี้พี่ไมเคิ้ลลลล)

    4. Kent Cricket Academy 
    อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าเขาพามาเล่น cricket นะจ๊ะ จะบอกว่า พามาที่ cricket club ก็จริง แต่ให้มาเล่นบาส,แบด,วอลเล่ย์ ละก็ปิงปองนะฮะ ไม่ได้ให้มาเล่น cricket นะ 55555555 
    หน้าตาก็จะเปิดแบบนี้
    ด้านข้างๆจะฝึกซ้อม cricket กัน
    ส่วนนี้เขาจะใช้แข่ง cricket หรือให้คนมานั่งดูกัน

    5. London !!!! 
    อย่างที่บอกไปว่าก่อนมาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า Canterbury คือที่ไหน ก็เลยทำให้อยากมาเรียนที่ London มากกว่า สุดท้าย พอได้มา London จริงๆ กลับไม่ชอบซะงั้น เรามองว่า London เมืองใหญ่มาก ละวุ่นวายสุดๆ คือ city centre เดินทีนี่คือขาลากอะ ใครว่า London เล็กๆอะ นี่ขาลากไปหมดเลยเอาจริง
    ถ่ายรูปมาตอนนั่งอยู่ในรถ
    รถโค้ชจอดตรงนี้ละเราเห็นว่าสวยดี 
    โรงแรมนี้เรารู้มาว่าชอบตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ๆ เพราะที่อเมริกาก็มี ตั้งอยู่ตรง Times Square ด้วย
    Tower of London แน่นวล
    ภาพนี้ Cr. By Fort นางถ่ายมาเนียนดี ไม่ได้เผลอแบบเพื่อถ่ายรูปนะ อันนี้คือเดินจริงละนางแอบถ่ายมาตอนไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้ทำแบบหลายๆคนที่แอ๊บเป็นเผลออะค่ะ #นี่แหน่ะไปแซะเขาอีก
    ระหว่างรอเรือเขาให้ไปเดินเล่นกับหาของกิน
    ตารางเรือไปตามที่ท่าต่างๆ
    เรานั่งเรือจาก Tower Millennium Pier ไปขึ้นที่ Westminster (หรือหอนาฬิกาเอลิซาเบธน่ะแหละ) อย่าหวังว่าแม่น้ำ Thames จะน้ำใสนะ ความจริงก็สีโอวัลตินแบบแม่น้ำเจ้าพระยาแหละจ้า ~
    ระหว่างรอเรือก็ถ่ายรูปวนไป
    ตึกอะไรทำไมเหมือนตึกในเปียงยาง 55555 เปรียบเทียบซะเสียหายเหอะ
    นั่งเรือผ่าน London Eye แต่ไม่ได้ขึ้นนะ แต่อีกกรุ๊ปได้ขึ้น แต่ไม่ได้นั่งเรือ
    มันจะเจอ Landmark(s) ของที่นี่เยอะหน่อยๆ
    เผื่อคนสงสัยว่าใครคือ Millie คนนี้แหละคือ Millie
    Tube / Underground ในลอนดอน
    พอขึ้นฝั่งมา Millie จะพาเดิน Millie บอกว่านางเกิดและโตที่ลอนดอน (นางบอกว่า "ใครคิดว่าลอนดอนเล็กน่ะ คิดผิดมากเลยแหละ เพราะเมืองมันใหญ่กว่าที่เห็นซะอีก") ละย้ายไปอยู่ที่ Canterbury ตอนโตแบบบรรลุนิติภาวะอะ คนนี้พูดละน่าสนใจมากกว่าฟิยอนอีกนะ 555 นางจะปล่อยมุกแบบเรื่อยๆ ปล่อยละไม่ขำเองนะ แค่ยิ้มอย่างเดียว แต่คนฟังจะขำเอา เช่นตอนที่ไป 10 Downing Street นางบอกว่า "คนธรรมดาเข้าไม่ได้หรอกนะ และที่นี่มีการดูแลความปลอดภัยสูงมาก แต่ลุงฉันทำงานเป็น security ฉันเคยเข้าไปแล้ว เข้าไปหาลุงน่ะ"
    ทำไมบ้านเมืองเขามันสวยและสะอาดขนาดนี้ แต่ก็ไม่ชอบ London อยู่ดี
    ถ่ายมางั้นแหละ
    ระหว่าง Millie พูดๆเลยถ่ายรูปรอ
    เสพรูปไปนะ ขี้เกียจเขียนแคปแล้วจ้า
    Buckingham Palace โฮสต์แด๊ดบอกว่า "ถ้าอยากรู้ว่าพระราชินีอยู่ไหมให้ดูที่ธงว่าอยู่ตรงไหน" ส่วนสีทองๆที่เป็นรูปปั้น Millie บอกว่าเขาเพิ่งมาทาสีทับไม่นานนี้เอง พอเสร็จจาก Buckingham ก็กลายเป็น free time แล้ว อิอิอิ
    ที่นี่คือ Covent Garden จะมีลานกิจกรรมมาทำพวกโชว์ต่างๆละคนดูเยอะมากๆ มาแนวตลกๆบ้าง แนวมายากลบ้าง
    ก็นั่งแหละ สั่ง Iced Latte ที่ Costa กิน ส่วนโฟร์ทก็กินช็อคโกแลตร้อนไป ด้วยความที่มันเป็นเมืองใหญ่ละขี้เกียจเดินไป Oxford street (ชื่อ Oxford street แต่อยู่ในลอนดอนนะเธอ) 

    --- จบ Week 2 ---
  • Chapter 7 : yas, excursions and trips 3 
    WEEK 3 :
    จริงๆคืออาทิตย์นี้จะไม่ค่อยได้ไปไหน จะวกวนอยู่ใน City centre ซะมากกว่า ละวันพุธไป Dover Castle วันพฤหัสพอรับใบประกาศฯเสร็จ ก็ไป city centre วันศุกร์นี่คือดีมากๆ ได้ไป Warner Bros. (Harry Potter) Studio London กับ Westfield shopping แต่เหนื่อยมากๆ (ไป 2 ที่ในวันเดียวก่อนกลับ)

    1. Dover Castle :
    จะมีพวก The underground hospital คือเราชอบมาก คือมันเก๋สุดๆ เคยเป็นโรงพยาบาลใต้ดิน เพื่อรักษาคนป่วยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กึ่งๆรักษาไปด้วยละหลบภัยไปด้วยงี้ เข้าไปข้างในจะมีจำลองเหตุการณ์แบบไฟติดๆดับๆ ละมีเสียงเหมือนเตือนภัยว่าจะทิ้งระเบิด มีเสียงซาวด์ประมาณว่าเป็นเสียงส้นสูงของพยาบาลเดินอยู่ กลิ่นใต้ดินที่แปลกๆ
    ละจะมีพวกห้องที่อยู่ใต้ดินที่เอาไว้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งวิดีโออันแรกจะมีความเกี่ยวข้องกับ NAZI ด้วย ซึ่งตรงนี้เราฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ คือวิดีโอพูดค่อนข้างเร็ว แล้วไม่มีซับเลย ศัพท์ถือว่าบางคำเราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เข้าใจประมาณว่า ทหาร evacuated ออกจากพื้นที่บริเวณนั้นบริเวณนี้ จะมีการนับจำนวนกี่คนๆ เพราะอะไร ตายไปกี่คน 
    ปล. ในชั้นใต้ดินต่างๆจะ ไม่อนุญาตให้เก็บภาพด้านในนะคะ และ วันไหนที่ฝนตก ระหว่างเดินลงชั้นใต้ดินระวังพื้นลื่นด้วยนะคะ เพราะว่าพื้นมันลาดชันลงไปใต้ดิน ถ้ามีน้ำจะลื่นง่ายมาก
    ใบแจ้งรายละเอียด Dover Castle
    ภายนอกตัวปราสาท
    ประตูทางเข้าไปตรงตัวปราสาทอีกรอบ
    เหมือนเขาไม่ได้เปิดให้เข้าไปภายใน ให้ดูแค่ภายนอก
    อิอิอิ
    Dab dab dab
    วิวรอบๆเมือง Dover เขาบอกถ้าอากาศเปิดจะเห็นชายแดนของฝรั่งเศสได้ แต่จะไกลมากสุดลูกหูลูกตา อาจจะเห็นแต่ไม่ได้ชัดเจน ถ้าไม่มีกล้องส่องทางไกล

    2. Warner Bros. Studio Tour London
    เกริ่นก่อนนะคะว่า เราเคยดู Harry Potter ไปนิดหน่อย คือภาคแรก ประมาณ 40 กว่านาที อาจจะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างนะคะ เน้นเสพรูปไปดีกว่าเนอะ ถ้าภาพสลับกันขออภัยนะคะ คือเราลืมรายละเอียดไปหมดแล้วว่าตรงไหนมาก่อนตรงไหนมาหลัง แฟนๆแฮร์รี่ก็เสพรูปละคิดตามดีกว่าเนอะว่านี่ฉากไหน เพราะเราไม่เคยดูชนิดละเอียดมากจนเข้าใจทั้งหมด
    วู้วววตื่นเต้นกันมั้ย?
    ตั๋วสวยมากฮะ ได้ passport ด้วยแหละ (ไม่ทราบว่าอายุสูงสุดเท่าไหร่ที่จะได้ passport เป็นที่ระลึกนะคะ) 
    ป้าชุดชมพูมหาภัย 
    รถไฟในตำนาน
    ถ่ายกับน้องโฟร์ท อยากให้โฟร์ทมาเห็นจังอิอิ
    ต้องวิ่งให้ทะลุกำแพงด้วยใช่ปะ
    เข็นของไปสิ จริงๆภาพนี้แสงดีมาก ตกลงหน้าพอดี
    ถ่ายรูปลง snapchien เอ้ย snapchat (ฝรั่งเศสไปอี๊ก)
    เคาท์เตอร์ที่ขายบัตเตอร์เบียร์ มีแก้วตามที่เห็นในภาพเลยค่า
    Butterbeer by Mie 
    Fort w/ Butterbeer! ?
    เสพรูปไป I have no idea ค่ะ มาแบบงงๆ
    Magic wands!
    - จบของ Warner bros. Studio - 
    3. Westfield Stratford
    คือคิดไว้เลยนะถ้ามาที่นี่เมื่อไหร่มันคงหมายความว่าเวลาของการอยู่ที่อังกฤษของเรามันคงน้อยลงทุกที อาจจะน้อยจนเกือบไม่ถึง 24 ชม.อีกแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็นี่แหละคือชีวิต มันจะต้อง move on ต่อไป เราคิดไว้เสมอว่า life goes on ถึงแม้อาจจะไม่ใช่ทิศทางที่ต้องการก็ได้ ละตอนที่ไป Westfield เรากับโฟร์ทคุยกันตลอดเลยว่า "พรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้วหรอ เร็วจังเลย ยังอยากอยู่ที่นี่ต่อ มันเร็วเกินเหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวานเลยเนอะ.." โฟร์ทก็ยังคงมีความรู้สึกเดียวกับเรา
    มาที่ Westfield Stratford จ้า
    ร้าน Pasta Remoli อร่อยดี เราไม่เน้น shopping คือเรากับโฟร์ทเป็นสายกินกับเดินเล่นไง แต่ก็ไปซื้อ adidas ของฝากกลับมาที่ไทยให้ป๊าเหมือนกันนะ (ป๊าชอบไป fitness)

    --- จบ week 3 ตอนต่อไปคือของกิน ---
  • Chapter 8 : สุขสันต์เวลากิน
    พาร์ทนี้ไม่ต้องพูดเยอะ เสพรูปละนึกถึงรสชาติเอาเด้อ อิอิ #อย่าดูตอนกลางคืนนะ
    อาหารเช้าทุกวันโฮสต์จะวางไว้แบบนี้ให้เลือกกินเองแต่ก็มีแค่ซีเรียล,ขนมปัง(ปิ้งได้) มีแยมสตรอว์เบอร์รี่/แยมบลูเบอร์รี่/น้ำผึ้งละก็ nutella ให้ทา
    แต่ของที่ชอบสุดๆคือ shreddies!!! อร่อยมาก
    คือเราชอบกินแบบนี้นะ เท shreddies มานิดหน่อย ละเทนมสดไปหน่อยๆ (ชอบกินแบบกึ่งกรอบๆ กึ่งนุ่มๆ ละนมไม่เยอะมาก) ละเอาช้อนไปตักนูเทลล่า ละเอา shreddies ที่เทก่อนหน้ามาปาดๆเอานูเทลล่าลง ละคนนูเทลล่าให้มันเข้ากันเป็นนมรสนูเทลล่าละค่อยเท shreddies ตามปริมาณที่จะกิน ในภาพมี crumpet (คล้ายๆมัฟฟิน แต่คนละอันกันนะ)
    แซนวิชกับน้ำและผลไม้ที่ฟิยอนไปซื้อมาจาก boots ละเอามาให้พวกเรากินตอนลงจากเครื่องบิน เขาซื้อให้เผื่อหิว แต่มันก็ไม่อร่อยหรอกนะ แค่พอกินได้เวลาหิว แซนวิชง่อยๆ ตามราคาสไตล์ £1 แต่ผลไม้อร่อยดี
    อาหารกลางวันที่ canteen เป็นรีซอตโต้ชีส กับเพนเน่ซอสเพสโต้ ก็พอประทังชีวิตได้ แต่เลี่ยน ถ้าไม่ชอบเลี่ยนๆอย่ากิน
    ปล. แต่เราชอบนะ เราโซ๊ยไป 2 จาน ส่วนคนไม่ชอบจะบอกว่ามันแหยะๆไม่อร่อย
    อาหารเย็็นพอกินได้แต่ไม่อร่อย 
    ข้าวแข็งเหมือนข้าวอินเดียร่วนๆด้วย (ซึ่งวันแรก ต้มข้าวเละเหมือนข้าวต้ม แต่เราชอบอันนั้นมากกว่า เพราะไม่ชอบข้าวแข็ง) แต่ไก่พอกินได้ มั่นฝรั่งทอดอร่อย
    อาหากลางวันของอีกวัน ก็รวมๆอร่อยดี
    โฮสต์ทำให้กิน พาสต้าซอสมะเขือเทศ (ไม่ใส่เนื้อสัตว์ให้เลยนะ อิอิ)
    ร้าน wasabi ที่ไปกินตอนที่ไป Oxford แซลมอนอร่อยมาก สดมาก
    พอได้อยู่ กินได้ แต่เย็นชืด
    อันนี้เลี่ยนมาก ใครเบิ้ลได้นี่กราบ
    อันนี้ปลาแซลมอนอร่อยมาก มันฝรั่งกำลังดี แต่ซุปห่วยแตกกกกกก
    อาหารไทยร้าน Lanna Thai อร่อยมากๆ เราชอบจานนี้สุดๆ
    อันนี้ของโปรดปรานมาก แพ็คนึงขาย 2 ถ้วย ก็หารกับโฟร์ทคนละ £1.25 เพราะมัน £2.50
    แต่ทาง M&S ไม่มีช้อน ต้องใช้ส้อมกินละยกซดเอา รันทดมาก แต่ไม่แคร์มันอร่อย??
    ของโปรดของเจ้าโฟร์ทเขา มีวันนึงนางสอยไป 2 ถ้วยแหนะ กินไอติมแทนข้าวละมั้ย
    หน้าตาของเมนูไอติม 3 แบบ มี Cadbury, Crunchies, Oreo
    ป้าบอกว่า "ให้มาลองกิน doughballs ที่ร้าน pizzaexpress ดูนะ"
    ชอบน้ำแอปเปิ้ลแบบนี้มากกว่าที่ซื้อจากร้าน premier อะ
    นี่คือหน้าตาของ doughballs ก็อร่อยดี จิ้มเนยกิน แต่ระวังอ้วนนะ555
    Risotto แบบนี้อร่อยมาก ร้าน pizzaexpress
    ทำมาละไม่เลี่ยน กำลังอร่อย
    ชีสยืดดดด
    โฮสต์ส่งมาให้ หลังจากที่กำลังนั่งรถจาก London ไปที่ Canterbury เพราะเขาไม่อยากทำอาหาร เราเลยบอกว่า "อยากทาน chicken biryani" โฮสต์มัมบอกว่าโอเคได้เลย
    หน้าตาของ chicken biryani อร่อยดีนะ กินอาหารอินเดียนครั้งแรก~
    Veggie curry ! อร่อยเหมือนกัน กินกับข้าวจะอร่อยมาก ก็นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี
    แต่ฟังดีๆนะคะ : อย่างที่บอกเพิ่งกินอาหารอินเดียนครั้งแรกชะ พอกินเสร็จปุ๊ปประมาณ 1 ชม.กว่า เกิดอาการปวดท้อง เลยไปเข้าห้องน้ำอาการเหมือนท้องเสียจ้า อห
    M&S FOODHALL แถวๆบ้านของโฮสต์เรา
    ซูชิ M&S อร่อยยย ราคาไม่โหด
    ชอบซูชิมาก แค่ได้กินก็สุขใจ
    อันนี้ซื้อมานั่งกิน แต่ดูวี่อยากกิน เลยให้วี่กิน ละดูวี่ชอบด้วยนะ เลยเอามากินกับวี่
    English dinner with English tea โฮสต์มัมเห็นว่าชอบ Yorkshire pudding เลยอัดมาให้ 3 ชิ้นเลยจ่ะ 
    Mocha ชนิดดาร์ก ขมมาก
    แต่อันนี้หอมๆหวานๆ อร่อยมาก ถูกใจ
    พอกินได้ แต่แซลมอนนี่เศษมาก ซอสเทอริยากิแต่ซอสเปรี้ยวสุดๆ เหมือนพอนสึ #ทำไมย้อนแย้ง
    แซลมอนก็คิดถึง ฮือ จะร้องไห้
    โฮสต์เอาซองพาสต้าสำเร็จรูปที่เราซื้อมาทำให้ เขาบอกว่าวิธีการกินที่ถูกต้องคือต้องต้มกับ "นมสด" ละอร่อยมาก มีความเข้มข้นมาก ถูกใจสุดๆ ละโฮสต์มัมต้มให้กินอะ ซาบซึ้ง เพราะวันนั้นอาหารโรงเรียนรสชาติหาความอร่อยไม่เจอ (วันนั้นเป็นเหมือนบะหมี่ ละก็มีแกงตั้งชื่อว่า Thai red curry เลยไปกิน แต่มันไม่อร่อย) ละโฮสต์มัมถามพอดีว่าจะกินไหม
    ถ้วยนี้ £10 แต่เยอะมาก ไก่จุใจสุดๆ ทอดใหม่ๆ ร้าน Happy Samurai ใน city centre
    จริงๆสั่ง aero mint ice-cream โว้ยยยย ไหงได้ oreo milkshake ฟะ 5555 แต่อร่อย ให้อภัย
    อันนี้จืดๆอะ ไม่มีไรหวือหวา พอแก้ขัดได้ 
    (ลืมบอกว่าเป็นเด็กกินกาแฟตั้งแต่ม.2 แล้ว ป๊าซื้อให้กินเป็นมอคค่า เลยชอบกินทุกเช้า)
    โค้กวนิลา~
    น้ำแร่ที่อังกฤษราคาถูกกว่าไทยหน่อย 
    Evian, Volvic อะไรแบบนี้ ต้องตักตวงให้ได้มากสุด เพราะในไทยน้ำแร่แพง แต่ถ้าอยาก save เงินให้พกขวดน้ำเปล่าๆขึ้นเครื่องบินละเอามาเติมได้ตามก๊อกน้ำ เพราะที่นี่น้ำก๊อกดื่มได้ (แต่ห้ามเปิดก๊อกน้ำร้อนละใส่ขวด)
    ฮิฮิฮิ ราคาประมาณ 27 บาท
    มาม่าจากไทยมีขายที่ Tesco แต่ราคาแพงกว่าไทยมาก ราคาถ้วยละ £1 ซึ่งในไทยถ้วยละ 13 บาท แถมรสชาติไม่อร่อยเหมือนที่ไทยแท้ๆด้วยค่ะ ทำมาละเหมือนรสชาติฝรั่งทาน
    Daim อร่อยนะ อย่าลืมซื้อมากิน
    รสชาติคล้ายน้ำเปล่าผสมน้ำส้ม แต่ก็อร่อยดี เราเรียกว่า คาปริ๊ซัน 5555555555
    ร้านซับเวย์ที่นี่จะเริ่มประมาณ £2.50 ถ้าจะเอาเนื้อพวกแฮม,อกไก่ ก็สั่งราคาที่ £3 (พวกที่สั่งแบบคล้ายๆเลือกเนื้อสัตว์ได้ 2 อย่าง)
    สิ่งที่ดูประหลาดกว่า subway ที่ไทย ก็พวกของสับๆ ละก็ช้อนเหลืองๆ
    ต้มมาม่าเกาหลีกิน อิอิ (พกม่าแบบเผ็ดไป 1 แพ็ค เผื่อหิว แต่เหลือกลับไทย 1 ห่อ) นูเทลล่านั่นคือวันก่อนจะกลับโฮสต์มัมเห็นเราชอบกินซีเรียลผสมนูเทลล่า (เขาบอกเอง) เลยซื้อนูเทลล่าให้กลับไทย #รู้สึกซาบซึ้ง ? 
    --- จบเรื่องของกิน --- 
  • Chapter 9 : เรื่องราวแห่งความทรงจำ 
    - เราเข้าห้องน้ำ แล้วทีนี้ทิชชู่หมด ส่วนเด็กน้อย 2 คนก็มากระโดดเย้วๆกันอยู่หน้าห้องน้ำ ละทิชชู่หมด เลยบอกให้เด็ก 2 คนนั้นลงไปหยิบทิชชู่ให้หน่อย นางเลยลงไปหยิบมาให้ละแกล้งเปิดประตู แต่โชคดีที่เราเอาผ้าขนหนูมาคลุมแล้ว อิอิ
    - โฮสต์มัมหาของกินให้กินบ่อยมากทั้งที่โรงเรียนก็มีให้กินแต่เขาก็หาของกินให้บ่อยๆ ง่ายๆถามแทบทุกวันว่าจะกินไรอีกไหมๆๆๆ
    - ห้องนอนดีมาก เขาดูแลความสะอาดดีอะ ดูดฝุ่นอาทิตย์ละ 2 ครั้งให้ ละห้องนอนจัดดีมาก เตียงนุ่มมาก ไม่มีคืนไหนนอนละหนาวเลย พูดละคิดถึงอยากกลับไปนอนเตียงนั้นอีก
    - อีวี่กับไอร์ล่าเล่นกับเราดีมากๆ คือ ชอบชวนเราเล่น double (หรือบางที่เรียก spot it) ชอบนั่งคุยกัน ชวนคุย ชอบนั่งเล่นกัน ละ 2 คนนี้ก็ทะเลาะกัน นับว่ามี 2 คนนี้ละไม่ค่อยเหงา
    - ตอนมีปัญหา โฮสต์มัมก็ดูแลเรา โทรไปคุยกับโรงเรียนให้ ละก็ได้แก้ปัญหาไป ช่วยตลอด
    - ชอบ city centre มากๆ เป็นสถานที่แห่งความทรงจำเลยแหละ สวยมาก ไปเดินตรงนั้นละรู้สึกไม่คิดถึงบ้านเลย อยากอยู่ตรงนี้ไปนานๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม มันให้ความรู้สึกดีแปลกๆเนอะ
    - คือเอาจริงๆไม่รู้จะอธิบายยังไงต่อแล้ว มันรู้สึกมีความสุขดีอะ อิ่มเอมใจมาก

    ท้ายสุด บางเรื่องเราก็ไม่สามารถสื่อสารออกมาเป็นคำพูดได้ว่าควรจะอธิบายยังไง มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนหาคำพูดมาอธิบายไม่ได้เลย 
    แล้วท้ายที่สุดจริงๆ เราไม่อยากกลับบ้าน เราแค่อยากจะอยู่ที่นั่นต่อ ถึงขั้นหาที่เรียนม.ปลายต่อเลยอะ 555 แต่รู้แล้วว่าคงไม่ได้เรียนต่อ เพราะทุกคนเป็นห่วง อิอิ ที่ๆหาคือ Canterbury College เพราะว่าดูมันเซฟเงินมากกว่า high school (ถ้า High School แนะนำ The Canterbury Academy ไม่ก็ Canterbury High School ละกัน) ถึงขั้นคุยกับโฮสต์มัม (ป้าบอกให้คุยดู) ว่าแบบ อยากกลับมาเรียน University of Kent ช่วง Postgraduate ละขอเช่าห้องอยู่ในบ้านได้มะ 5555 โฮสต์มัมก็ขำละตอบว่าได้สิ แต่อาจจะได้อยู่ห้องข้างล่างแทนลูกสาวเขานะ เพราะว่าลูกสาวเขาจะย้ายไปข้างบน ที่มันไม่พอแล้ว ถ้าลูกเขาโต เขาบอกว่าอาจจะไปซื้อเตียงเดี่ยวกับตู้เสื้อผ้า ของใช้อะไรแบบนี้ไว้ให้แต่ก็ติดต่อเขาก่อนมาสักปีนึง(เผื่อๆ) ละกัน
    นี่คือเตียง 2 ชั้นของวี่และล่า อีวี่นอนข้างบน 
    ไอร์ล่านอนข้างล่าง (ละก็จะมีชั้นวางของเล่นนิดหน่อยตรงติดกำแพงห้อง)
    ปล. เหมือนว่าฝรั่งเขาไม่มายด์เรื่องทิศการนอนนะ เพราะล่ากับวี่นอนกันคนละทางเลย ล่านอนหัวติดกำแพง ส่วนวี่นอนเท้าติดกำแพง ถ้าเป็นที่ไทยคงจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ
    ห้องวี่กับล่าออกแนวยาวมากกว่า กว้างก็ประมาณ 2 เมตร แต่ยาวประมาณ 7 เมตรได้ แต่วางของก็เต็มมากละ 555 คิดว่าถ้าได้กลับมาอีก คงจะขอเช่าห้องเขานอนเอา ก็อยู่ห้องลูกสาวเขาไปแหละ 

    --- จบเรื่องราวความสุข --- 
  • Chapter 10 : แล้วมันกำลังจะจบลง
    (หัวข้อดราม่าเชียว) สวัสดี นี่คือ Chapter สุดท้ายแล้ว มันก็จะออกดราม่าหน่อยๆ แต่ขอบคุณทุกคนมากที่ติดตามมาจนถึง ณ ตอนนี้ เราจะเล่าเรื่องของวันสุดท้ายทั้งหมดให้ฟังว่ามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น มันคือวันที่พยายามทำตัวให้มันเหมือนกันว่ายังไม่จบลง แต่นี่คือวันที่มันกำลังจะจบลง พยายามทำตัวให้เหมือนว่ายังมีความสุข ยังไม่กังวลอะไร
    ปล. โฮสต์แด๊ดไม่อยู่นะ วันสุดท้ายนี่อะ เขาไปทำ charity work ไม่รู้ขับรถเร็วเกินกำหนดเปล่านะ 5555 เพราะตอนเขาขับรถเขาพาไป Beltinge Beach เขาเหยียบเร็วมากเว่ย
    พอเช้าปุ๊ป เราก็ตื่นมา แปรงฟัน ละแพ็คของให้เสร็จ แต่ยังไม่ได้ล็อคเป๋านะ 
    ปล. รูปนี้ วี่ไม่ยอมมาถ่ายด้วยนะ เหมือนนางงอแงร้องไห้ ละโฮสต์มัมเลยดุว่าอย่าทำตัวไม่ดีได้ไหม (เขาใช้คำว่า rude อะ แต่ถ้าแปลไทยมันจะแปลกๆ ถ้าบอกว่าอย่าทำตัวหยาบคาย จะผิดไหมอะ 555) วันนี้วันสุดท้ายที่มี่จะอยู่ที่นี่ละนะ ละนางก็ไปนั่งร้องไห้ สักพักก็กลับมา เวลาเราเล่นสนามเด็กเล่นคนเดียวสักพัก พวกนางจะตามมาเล่นด้วยทุกครั้ง เราแอบดีใจนะ นางบอกว่าไม่อยากให้กลับ5555555 เราก็ไม่อยากกลับนะวี่เอ้ย แต่ก็จำเป็น
    รูปนี้ไอร์ล่าถ่ายให้ เพราะวี่มัวไปร้องไห้อยู่
    รูปนี้วี่ก็ไม่ถ่าย วี่ร้องไห้อยู่นั่นแหละ
    Humphrey เป็นแมวที่เหมือน nocturnal animals เลยลูกเอ้ย นอนกลางวันตื่นกลางคืน
    สังเกตว่าจะมีนูเทลล่าอยู่ในถ้วยคอร์นเฟล็ก จะบอกว่านางติดโรคเราละ ผสมนูเทลล่าลงไปในอาหารเช้า นางบอกกินแบบนี้ก็อร่อยดีนะ (จริงๆคือตอนแรกนางก็ไม่เอา แต่โฮสต์มัมบอกนางว่าจะลองกินแบบมี่ไหม)
    ไอร์ล่าเอา crumpet ใส่นูเทลล่ามากิน (ลืมบอกว่าที่อังกฤษ เฉพาะบ้านโฮสต์เราเปล่าที่ ไม่เรียกนูเทลล่า ต่อให้เป็นนูเทลล่าก็ตาม เขาเรียกแค่ chocolate spread) 
    ไอร์ล่ามาถ่ายรูปด้วยกัน T-T
    เราชอบอันนี้มาก มันดีอะ มีให้อ่านละให้ฟังด้วย
    เรามาสนามเด็กเล่นกันเถอะ :( อีกไม่นานก็จะไปแล้วนะ ฮืออ ชอบชิงช้ามากอ่ะ น้ำหนักก็ไม่ใช่น้อยๆ กลัวชิงช้าน้อยหัก
    ตั้งใจจะเล่นสไลด์เดอร์อย่างเดียวหรอล่า?
    อีวี่กับไอร์ล่านั่งต่อเลโก้กันพร้อม SPINNERS 
    ซึ่งภาพนี้แหละ ตอนนั้น 15.45 คือก่อนรถจะมารับตอน 16.30 ละสักพักเลยขึ้นไปเปลี่ยนชุด
    โอ้ไม่นะ.. เตียงที่แสนสบาย
    มันโล่งมากละทุกอย่างมันเร็วมากอะ ฮือออ
    ภาพสุดท้ายที่ถ่ายรูป ละก็พอถ่ายเสร็จปุ๊ป ร้องไห้ได้ 2 นาที กริ่งดังหน้าบ้าน หมายถึงรถมารับไปสนามบินแล้ว มารับประมาณ 16.30 ละก็นั่งร้องไห้ไปตลอดทางตอนที่ไปสนามบินน่ะแหละ มันรวดเร็วแล้วก็น่าใจหายอยู่ พยายามทำใจมาทั้งวันแล้ว แต่ก็แค่การเสแสร้งว่าไม่เป็นไรอีก พอร้องไห้ปุ๊ปโฮสต์มัมเห็นเลยถามว่ามี่,ร้องไห้ทำไม ละก็ปลอบว่าไม่ต้องร้องไห้ ละกอดกันก่อนจะจากกันไปจริงๆ มันเร็วมาก
    ละเราทิ้งจดหมายอันนึงไว้บนห้องเราเอง
    เขาอ่านแล้ว ตอนไปเขาบอกเราว่า ขอให้ได้กลับมาอีกนะ แล้วก็มายืนส่งหน้าบ้าน 
    คนที่ใส่เสื้อออกฟ้าๆคนนั้นคือคนที่ขอยืมโทรศัพท์ตอนตกรถ ที่ลูกชายเขาทำงานอยู่ไทย(พัทยา) แล้วเขามาสอนโฮสต์มัมเราพูดคำว่า "สวัสดีค่ะ" พร้อมทำท่าไหว้ ก่อนเราจะไป
    พอเราออกไปแล้ว whatsapp คุยกับเขา เขาส่งมาละเขียนว่า "we love you x" 
    X ของอังกฤษหมายถึง kiss, mwah อะไรประมาณนี้นะ เท่าที่เราเข้าใจ โฮสต์มัมจะติดการใส่ xxxx มาก รัวมากจริงๆ
    ไม่อยากกลับเลยโว้ยยยยย
    ตั๋วเครื่องบินขากลับ ที่อังกฤษจะเป็นการเช็คอินแบบไม่ใช่เช็คแค่ที่เคาท์เตอร์สายการบินละดรอปกระเป๋าละเอาตั๋วไปได้เลย ต้องเช็คอินเอาตั๋วก่อน (จะมีพนง.ให้คำแนะนำแต่ แค่เลือกสายการบินแล้ว วางหน้าของพาสปอร์ตที่มีข้อมูลเราขี้นมา ว่าไฟล์ทไหน อะไรยังไงต่อ กระดาษนะไม่สวยแบบของไทย จะเป็นกระดาษาธรรมดาโล่งๆ ไม่ใช่กระดาษมันๆ แบบที่เคยเห็นกัน) จะมีเครื่องปริ้นตัวกับแท็ปเป็า ละจะได้แท็กกระเป๋าก็ต้องติดเอง
    ติดเสร็จก็ต้องไปต่อคิวรอดรอปเป๋าอีกรอบนึง พร้อมตั๋วละก็พาสปอร์ตอีกรอบนะ แล้วก็ค่อยเข้าเกต ที่นี่จะไม่มีการประทับตราขาออกให้
    อาหารมื้อสุดท้ายในอังกฤษ 2 อย่างนี้ก็ £5 ได้ละ แต่ volvic sparkling อร่อยมากมาย
    Bye, Angleterre เอ้ย England, We will meet again soon .. ?
    Cabin มืดมาก
    กินกรุบๆ ก็อร่อยดี เอาเป็นว่าชอบ แต่น้อยไปหน่อย
    สวัสดีน้ำแอปเปิ้ล ไม่ชอบน้ำแอปเปิ้ลจากอังกฤษที่ไม่ใช่ที่ร้าน pizzaexpress อ่ะ
    อะไรเอ่ย?
    ข้าวมัสมั่นไก่จ่ะ อร่อยดีแต่ให้น้อย ละมีถั่วด้วย ส่วนขนมไม่ชอบอะ กินละแหยะมาก คือมันยึ๋ยๆ ชวนอ้วกเหมือนผลไม้อะไรไม่รู้ รสชาติประหลาดมาก ส่วนสลัดนับว่าอร่อย ส่วนขนมปังแข็งดี ปาหัวหมาคงแตก
    อาหารเช้าที่ก็เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ spinach ที่อร่อย ไส้กรอกไม่กินเหมือนเดิม โยเกิร์ต
    อร่อยดี พอประทังชีวิตได้ ครัวซองต์ร่วนมาก กัดละเศษร่วงใส่เสื้อ
    ในที่สุดก็ถึงแล้วสินะ?
    สวัสดีสุวรรณภูมิ ฉันไม่อยากกลับมาเลย ฮือ

    ---------------------

    จบ blog และเรื่องทั้งหมดแล้ว คาดหวังว่าจะได้พบกันอีก กำลังคุยกับป้าว่าปีหน้าขอไปเรียนภาษา 1 เดือน กลับไปที่เดิม (รอบหน้าก็ได้ไปตึกใหญ่แล้วค่า)/ที่ Auckland, New Zealand ไม่ก็ Toronto, Canada ได้มั้ย แต่ใจอยากไปทั้ง 2 ที่ แต่ก็เอียงไปทาง NZ มากกว่า แต่ NZ แพงกว่าแคน แต่ก็ใกล้กว่าแคน (ไม่อยากเปลี่ยนครื่อง เพราะขี้เกียจ และแคนาดาบินนานมาก สำหรับเรา เราน่าจะอึดอัดมาก) แต่ขอคุยกับป้าอีกที เพราะป้าต้องดูสถานการณ์ความปลอดภัยอีกทีนึงด้วย แต่ย่าเราเหมือนจะเล็งให้เราไปติวเข้ามหาลัยช่วงปิดเทอมใหญ่ซึ่งเราก็ไม่อยากจะติวอะนะ แต่เข้าใจเราไว้เถอะ ว่าเราไม่ได้อยากจะเรียนต่อในไทย..  และถ้าเราได้ไปสัญญาว่าจะกลับมาอัพ blog อีก ขอบคุณค่ะที่ติดตามกันมาขนาดนี้นะคะ มีอะไรสงสัยทิ้ง comment ไว้นะคะ จะตอบค่ะ ???? xxxxx
    ปล.สุดท้าย : สัญญาว่า postgraduate จะเลือก psychology ไม่ก็คณะอื่น ที่ University of Kent แน่นอน

    ไปแล้วนะคะทุกท่าน สวัสดีค่ะ
    น้องๆเขาเพิ่งกลับจาก Majorca, Spain กัน 
    โฮสต์มัมส่งรูปมาให้ เขาไปพักร้อน(?) กันที่สเปน 2 วีค เพิ่งกลับมาช่วง 23 มิ.ย. 60

    จบ ณ วันที่ 28 มิ.ย. 60 เวลา 22.51 น.
    ไม่อนุญาตให้ copy ใดๆทั้งสิ้น
    ทั้งรูปภาพและเนื้อหา
    ห้ามนำไปดัดแปลงทำซ้ำใดๆทั้งสิ้น
    ห้ามนำรูปใดๆไปใช้ซึ่ง
    ทำให้บุคคลในภาพได้รับความเสียหาย
    ขอยพระคุณค่ะ แจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน
  • บทพิเศษ : ฮัมฟรี่เหมียวจอมแสบ
     อันนี้ภาพตอนน้องวี่ดุไม่ให้ฮัมฟรี่ออกข้างนอกนะคะ แต่เป็นของวันก่อนเกิดเรื่องนี้
    น้องลืมเล่าส่วนของฮัมฟรี่ค่ะ เลยกลับมาเล่าต่อ ขออภัยนะคะ น้องลืมจริงๆค่ะ ฮือออ อย่าโกรธกันนะคะ ?????
       คือไอ้เหมียวนี่ชอบกัดนกละคาบมาในบ้านจ้า ละวันนั้นมันเป็นช่วงวันหยุดของคนอังกฤษกัน ละโฮสต์มัมกับซิสยังหลับอยู่ ตอนแรกก็คิดงั้น แต่พอไปส่องๆห้องโฮสต์ซิส ปรากฎว่า... พวกนางแอบนั่งเล่นไอแพดกันในห้องของพวกนางขณะที่โฮสต์มัมยังหลับอยู่ ทีนี้เรานั่งกินซีเรียลอยู่ เหลือครึ่งถ้วย ละฮัมฟรี่เดินเข้ามาในบ้าน พร้อมกับคาบนกเข้ามาตัวนึง T-T ยังไม่ตายนะ แต่เหมือนขามันหักหรือเปล่า แถมขนยังร่วงอีกต่างหาก อห พอกินซีเรียลเสร็จ เลยเข้าไปบอกโฮสต์ซิส (ไม่กล้าเข้าไปปลุกโฮสต์มัม เดะเขาจะว่าเราเอาได้ ทีแรกก็คิดว่าจะบอกดีปะหว่า) ทีนี้โฮสต์ซิสก็เลยเข้าไปปลุกโฮสต์มัม โฮสต์มัมเด้งขึ้นมาจากเตียง ละมาเห็นฮัมฟรี่คาบนก.... โฮสต์มัมรีบหาอะไรมารองละเอานกออกไป เขาบอกว่ามันเหมือนซีเกิ้ล (นกนางนวล?) เขาบอกปกติไอ้ฮัมฟรี่ก็ชอบอะไรก็ไม่รู้เข้ามาในบ้านเต็มไปหมดเลย ทั้งนก ทั้งกบ คาบสารพัดจะคาบ โฮสต์มัมบอกว่ามันทำให้เขารู้สึกแบบน่าชวนอ้วก (disgusting) ซึ่งเขาไม่ชอบเอามากๆ (แต่ก็สัญชาตญานของสัตว์หนิ) ละเขาก็ขอโทษเรา เพราะตอนมันคาบเข้ามาเรากินซีเรียลอยู่ 555555 อร่อยเลยสิ คือก็ไม่ใช่คนแบบรู้สึกขยะแขยงอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ก็ถึงรอให้กินเสร็จค่อยบอกไง ก็นั่งมองพร้อมถ่ายรูปนั่นแหละ ละไม่รู้ว่าโฮสต์มัมไม่ชอบ ตอนแรกที่บอกว่าไม่กล้าปลุกอะ เลยถ่ายรูป+วิดีโอส่งให้โฮสต์มัม โฮสต์มัมเช็คโทรศัพท์เลยลบทิ้งใน whatsapp ละเขาบอกว่า ไม่อยากดูเลยมันชวนอ้วก ละแสดงท่าทางขยะแขยงอีก 
    ตอนคาบเข้ามาในบ้าน ในขณะที่ข้าน้อยกำลังนั่งกินซีเรียล
    ละก็คาบใหม่ เหมือนจะเอาไปอวดโฮสต์มัม
    ก็ตัวเท่านี้อะจ้า  
    หลังจากนั้น... โฮสต์มัมก็ไปเอาเครื่องดูดฝุ่นมาดูดฝุ่น ละหยิบนกไปไว้บนรังต้นไม้ พร้อมกับเอาที่ปิดประตูที่แมวมันออกได้ ละไอ้เหมียวนี่มันเกรี้ยวกราดดีอะ มันไม่พอใจโฮสต์มัมเพราะมันจะออกไปข้างนอก แต่โฮสต์มัมดันไปดักทางมันทัน มันเลยกระโดดขึ้นโต๊ะกินข้าว ที่เรากิน.. ละก็หางมันตั้งชูขึ้นอะ ไม่รู้ว่าภาษาเหมียวมันแปลว่าอะไร เหมือนจะขู่ๆ อะไรงี้เปล่า โฮสต์มัมเลยตะคอกใส่ มันก็ไม่ลง โฮสต์มัมเลยไปอุ้มมันลงมาจากโต๊ะ ละมันก็ขู่อะ เหมียวนี่มันเกรี้ยวกราดดีนะ 
    เพิ่มเติมวันที่ 23 ก.ค. 60 เวลา 22.53 น.
    แก้ไขเพิ่มเติมภาพและเนื้อหาบางส่วน 5 ก.ย. 60 เวลา 20.03 น.

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
praew_melanie (@praew_melanie)
พี่สอบโครงการไหนเหรอค้ะ
Mie_Dyasha (@daMiedy)
@praew_melanie ไม่ได้สอบค่ะ อันนี้เป็นโครงการที่เขาจัดขึ้นประมาณ summer course ต่างประเทศอะค่ะ
Mie_Dyasha (@daMiedy)
@praew_melanie หรือถ้าน้องอยากสอบไปต่างประเทศแบบสั้นๆ ที่พี่รู้จักก็มี UCE มี 4 ประเทศคือแคนาดา,อังกฤษ,ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์นะ แต่จริงๆมันขึ้นอยู่กับว่าน้องสอบได้อันดับที่เท่าไหร่ เพราะค่าใช้จ่ายก็จะลดหลั่นกันไปตามอันดับที่น้องสอบได้ค่ะ เช่น ถ้าน้องสอบได้อันดับต้นๆก็เสียเงินน้อยหน่อย ลองศึกษาดูใน dek-d.com ได้ค่ะ