เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Fictober2018 | From A to Zm.mutsuki
From A-Z | Day1: A. Adam's Apple

  • สภาพของมันที่มาปรากฎตัวหน้าประตูห้องผมเหมือนกับลูกแมวที่เพิ่งฝ่าพายุฝนมาไม่มีผิด


    เนื้อตัวเปียกปอนตั้งแต่หัวจรดเท้า ไหล่ตก สองแขนทิ้งลงข้างกาย สองขาดูราวกับว่าแค่จะยืนให้ตรงก็ยากเต็มกลืน ผมที่มักแสกกลางลู่ลงปรกหน้า ปิดบังนัยน์ตาอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง

    “เข้ามาสิ” ผมหลีกทางให้ แต่แทนที่หยกจะเดินเข้าไปด้านใน มันกลับพาร่างโซเซมาใส่ทิ้งใส่ผมเสียได้

    “หนัก” ผมบ่นทีเล่นทีจริง แต่ก็รับตัวมันมาไว้ในอ้อมแขน “เปียกอีกต่างหาก”

    “เงียบน่า” มันแหวทั้งที่ยังซุกหน้าอยู่แบบนั้น ร่างกายสั่นเทาไม่รู้ว่าเพราะความหนาวหรือความเหนื่อยล้าจากภายใน

    “ถ้าไม่เช็ดตัวให้แห้งเดี๋ยวก็โดนหวัดกินหรอก”

    “รู้แล้ว”

    “ก็รู้นี่”

    “ขออยู่แบบนี้สักพักได้ไหม”

    “ไม่ได้ กูไม่อยากเป็นหวัด” ผมสืบเท้าไปทางประตูห้องน้ำ ลากไอ้ตัวปัญหามาด้วยทั้งอย่างนั้น น่าแปลกที่มันยอมสยบให้แต่โดยดี

    ผมคว้าผ้าเช็ดตัวที่ไม่ได้ใช้จากชั้นใกล้ๆ มาโปะบนหัวเปียกแฉะตรงหน้า ก่อนจะพลิกตัวมันไปหาประตูห้องน้ำ จัดแจงเปิดประตูเปิดไฟให้เรียบร้อย


    หยกยืนนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว ไม่โต้ตอบอย่างเคย

    ดูดีๆ แล้วสภาพของมันแย่กว่าที่คิด ข้อเท้าสองข้างมีรอยบาดเป็นทาง ขากางเกงแสล็คสีดำเปรอะโคลนเป็นด่างดวง เสื้อนักศึกษาหลุดลุ่ย แม้จะสังเกตได้ยากเพราะมันเปียกชุ่มแนบติดลำตัวจนแทบไม่เห็นพื้นที่สีขาว แต่มีร่องรอยของคราบเลือดและดินโคลนอยู่ประปรายอย่างแน่นอน

    ผมยืนมองมันอยู่เงียบๆ มีเพียงเสียงน้ำที่หยดลงจากปลายนิ้วกระทบแอ่งเล็กๆ บนพื้นเป็นจังหวะเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าร่างตรงหน้าไม่ได้เป็นเพียงภาพหลอน


    “ไม่ถามหน่อยเหรอ” มันเอ่ยขึ้นในที่สุด เสียงแหบพร่า แผ่วเบา

    ปกติแล้วผมคงยักไหล่แล้วตอบไปว่าส่งๆ ว่าชีวิตใครชีวิตมัน แต่อะไรบางอย่างในน้ำเสียงนั่นห้ามผมไว้ก่อนที่จะทันได้ไหวไหล่เสียด้วยซ้ำ

    “ถ้ามีอะไรอยากพูดก็จะรับฟัง แต่ไปอาบน้ำล้างตัวก่อน เดี๋ยวไม่สบาย”

    มันยังคงยืนนิ่ง ราวกับกำลังประมวลผลว่าควรจะทำอย่างไรดี ต่อมาครู่หนึ่งถึงยอมผงกหัว ก้าวเข้าห้องน้ำไปในที่สุด

    ผมถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เพิ่งรู้สึกตัวว่ากลั้นหายใจมาตลอด

    ก่อนอื่นก็ต้องจัดการกับร่องรอยบนพื้น มีทั้งน้ำทั้งโคลนยาวเป็นทางตั้งแต่ประตูหน้า ถ้าไม่รีบเช็ดให้แห้ง มีหวังพื้นไม้ปาร์เกต์ราคาแพงได้บวมหมด

    ไอ้ตัวแสบนี่ หาเรื่องมาให้ปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวัน


    ทำความสะอาดไปฟังเสียงน้ำฝักบัวตกกระทบพื้นไป รู้สึกตัวอีกทีก็ถูพื้นจนเรี่ยม ผมบิดน้ำออกจากผ้าเปียกใส่ถังเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไร้ประโยชน์ ยังไงก็ต้องซักใหม่อยู่ดี แถมตอนนี้ห้องน้ำก็ไม่ว่าง จะเทน้ำทิ้งก็ไม่ได้

    คิดดังนั้นผมจึงโยนผ้ากลับลงถังอย่างป่วยการ ว่าจะกลับไปนอนรอก็เพิ่งสัมผัสได้ถึงความชื้นของเสื้อผ้าที่สัมผัสกับผิวกาย

    เวรเถอะ เพิ่งจะอาบน้ำไปแท้ๆ

                ผมถอดเสื้อออกอย่างฉุนกึก ฝนซาลงแล้ว ตากไว้ข้างนอกน่าจะพอไหวอยู่--


                ปึงง!!


               “ไอ้หยก!” เท้าที่กำลังจะก้าวไปสู่ประตูระเบียงพาผมพุ่งตรงไปยังประตูห้องน้ำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโดยอัตโนมัติ มือที่เคยกำเสื้อไว้รัวทุบประตูอย่างร้อนรน

               “หยก!!”

               ไม่มีเสียงตอบรับ

              “ไอ้หยก! ตอบหน่อย!!” ผมร้องเรียกและรัวกำปั้นบนประตูอย่างไม่ลดละ พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นแล้วเงี่ยหูฟัง ทว่าเสียงที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงซ่าของน้ำฝักบัว

              “หยก!!!” ผมไม่เคยรู้สึกลนลานขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ไม่รู้ว่าเพราะอะไร รู้แค่ว่าขณะนั้นสมองผมหยุดสั่งการไปแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าร่างกายขยับไปเอง ก็คงเพราะมีสิ่งอื่นคอยบงการอยู่เบื้องหลัง

    “มึง! ยังอยู่ตรงนั้นใช่ไหม!?”

    ขณะที่ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกุม มือที่เลื่อนลงไปจับลูกบิดกลับพบว่ามันไม่ได้ถูกล็อคไว้ตั้งแต่แรก

    “ไอ้เวรนี่!!!”

    ผมไม่แน่ใจว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนผ่านไปเนิ่นนาน จำได้เพียงภาพที่ตัดเป็นฉากต่อฉาก ราวกับม้วนฟิล์มเก่าเก็บที่นำมาตัดแล้วต่อเข้าด้วยกันอย่างงุ่มง่าม

               ผมผลักประตูเปิดออกโครมใหญ่ ถีบตัวพุ่งฝ่าไอน้ำไปหาร่างตรงหน้าอย่างไม่คิดชีวิต

               มันนั่งพับเพียบซบกับมุมห้องอยู่ในสภาพที่หันหลังให้

               ผมปิดฝักบัว เอื้อมมือเข้าไปหาร่างขาวซีด ช้อนตัวมันขึ้นมากอดแน่นราวกลับกลัวว่ามันจะสลายหายไป ผมคิดว่าตัวเองกำลังร้องตะโกนอะไรบางอย่าง แต่เสียงที่ได้ยินราวกับเป็นเพียงเสียงสะท้อนจากอีกโลกหนึ่งที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน

                มันปรือเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย กระพริบไล่หยดน้ำอย่างเอื่อยเฉื่อย

    ผมกัดฟันแน่น มือข้างที่ไม่ได้ประคองร่างนั้นไว้เลื่อนไปสัมผัสใบหน้ามันอย่างแผ่วเบา

    มันยิ้ม เอื้อมมือมาวางซ้อนมือของผมอีกทีหนึ่ง

    ผมอยากจะตะโกนด่ามันให้สาแก่ใจ แต่ในหัวกลับมีแต่ความว่างเปล่า

    มันหลับตาลง ก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งช้าๆ ยันตัวขึ้นมานั่งอยู่ในระดับเดียวกับผม

    ผมลดมือลง แต่ก่อนที่ปลายนิ้วจะทันได้แยกออกจากผิวกายซีดเผือดตรงหน้า สายตาก็สะดุดเข้ากับรอยแดงช้ำบนคอยาวระหง

    รอยนิ้วมือ…

    ผมมองหน้ามัน รู้สึกว้าวุ่นในใจ แต่ความด้านชาทำให้ไม่สามารถแสดงความรู้สึกอะไรออกมาได้

    มันเบือนหน้าหนี ยกมือขึ้นราวกับพยายามจะปิดบังรอยแผลบนต้นคอ

    ผมคว้ามือมันเอาไว้ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะได้มองเห็นชัดขึ้น

    บริเวณที่เห็นได้ชัดว่าเป็นส่วนปลายนิ้ว มีรอยสีแดงสดเป็นแนวโค้ง สั้น อยู่สี่รอย

    มันบีบมือผมแน่น

    ผมบีบมือตอบ

    มันเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาฉ่ำน้ำที่มองตอบกลับมาอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

    ความทรมาน เกลียดชัง ความโกรธ

    ความเศร้า ความเหงา

    ความว่างเปล่า

       

    ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

    รู้แค่ว่าขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังประคองร่างตรงหน้าเอาไว้ มืออีกข้างกลับยื่นไปสัมผัสต้นคอขาว รู้ว่าใบหน้ากำลังยื่นเข้าไปใกล้เรื่อยๆ รู้ว่าปลายลิ้นกำลังแตะสัมผัสผิวเปียกชื้น ก่อนจะลากเวียนวนจากปลายกระเดือกกลมไปจนถึงติ่งหู ได้กลิ่นหอมเจือจางของแชมพูที่คุ้นเคย

    ผมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ราวกับสติสัมปชัญญาถูกผ่าแบ่งออกเป็นสองส่วน

               กระทั่งได้ยินเสียงครางด้วยความเจ็บปวด ผมถึงรู้สึกตัวว่าริมฝีปากกำลังสัมผัสกับผิวหนังส่วนที่ขรุขระและเปื่อยยุ่ย

               ผมดีดตัวผละออกด้วยความตกใจ แถมเผลอผลักร่างที่ราวกับจะไร้เรี่ยวแรงนั้นออกไปกระแทกเข้ากับผนังอย่างจัง

    “ขะ- ขอโทษ” ผมลนลาน ใจเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกเหมือนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

    “อือ…” เพราะมันก้มหน้าอยู่ก็เลยไม่รู้ว่ากำลังทำสีหน้าแบบไหน มองเห็นเพียงรอยยิ้มจางที่ไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ เท่านั้น

    “เจ็บหรือเปล่า…” ผมพยายามสังเกตร่างตรงหน้า พิจารณาดูว่ามีส่วนไหนบอบช้ำบ้างไหม แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามันไม่ได้สวมใส่อะไรเลยสักชิ้น แต่ก่อนที่จะทันได้คิด พูด หรือทำอะไร มันก็บุ้ยใบ้ไปทางประตู

    “ออกไปก่อนเถอะ ไม่เป็นไรแล้ว”

    ผมยั้งปากตัวเองไว้ไม่ให้โต้กลับ เด็กสามขวบยังรู้ว่าสภาพแบบนี้สิยิ่งกว่าเป็น แต่ด้วยความประหม่า เลิ่กลั่ก อับอาย หรืออะไรก็ตามแต่ ผมจึงยอมถอยทัพกลับโดยไม่ปริปากพูดอะไรอีก

    ถึงอย่างนั้น ก่อนจะทันได้ก้าวออกไป มีชั่วขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกลังเล รู้สึกว่าถ้าหากพ้นขอบประตูไป อาจต้องมานั่งเสียใจภายหลังก็เป็นได้

    “บอกว่าไม่เป็นไรไง” มันตะโกนไล่ เป็นเสียงตะโกนที่ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงแมวร้องคราง

    ทำมาเป็นพูดดี…


    ผมปิดประตูตามหลัง ทรุดลงนั่งพิงผนังด้านข้างอย่างเลื่อนลอย รู้สึกหมดแรงทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร

    ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝักบัวอีกครั้ง เคล้าคลอไปกับเสียงน้ำที่ระบายลงท่อ

    และถ้าผมไม่ได้หูฝาดไป

    ท่ามกลางเสียงน้ำไหล มีเสียงสะอื้นไห้ของใครคนหนึ่งอย่างแผ่วเบา











Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in