เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
คลังเศษส่วนodorous
A lullaby | เพลงกล่อม(ไม่)นอน
  • 12 Keywords | 12 Days | 12 Stories

    2nd Day

    “ เ พ ล ง ก ล่ อ ม  ไ ม่  น อ น ”



    Seoul, South Korea

    เสียงฮีตเตอร์ดังแหวกผ่านความเงียบที่ปกคลุมอยู่ทั่วห้องใหญ่ เข็มวินาทีของนาฬิกากำลังเดินหน้าไปอย่างไม่หยุดหย่อน เฉกเช่นเดียวกับเหล่าเด็กนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใจกลางกรุงโซล ที่ต่างก็กำลังขะมักเขม้นกับการอ่านหนังสือหลังเลิกเรียน

    ห้องกว้างใหญ่ถูกแทนที่ด้วยโต๊ะอ่านหนังสือสีขาวสะอาดตาร่วมร้อยตัวเรียงเป็นแนวยาว แถวคู่คี่หันหน้าโต๊ะติดกัน ทว่าทุกโต๊ะนั้นขั้นด้วยกระจกใสติดฟิล์มฝ้าเต็มบานสูงไม่มากไม่น้อย หากแต่พอที่จะแยกสมาธิของทุกคนออกจากกันได้เป็นอย่างดี โคมไฟทรงกลมติดเพดานสูงถูกห้อยลงมาเหนือทุกโต๊ะเปิดส่องสว่างทั่วห้อง

    ที่หนึ่งซึ่งผู้คนอยู่รวมกันเกือบร้อยคนทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงของฮีตเตอร์และเข็มวินาทีเดินเท่านั้น

    เด็กสาวผิวขาวอมชมพูสับขาไวๆ สะพายกระเป๋าเป้สีกรมท่ามุ่งหน้ามาทางห้องกว้างดังกล่าว แขนขวาถือหนังสือคณิตศาตร์เล่มหนากอดไว้กับตัว มืออีกข้างใช้ดันประตูกระจกใสบานใหญ่เข้าไปสู่เขตที่เงียบเสียยิ่งกว่าป่าช้า แก้มขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อยเพราะอากาศที่หนาวเย็นจากทางเชื่อมตึก แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากก่อนจะก้มโค้งสองสามทีเป็นการขอโทษ ด้วยเพราะเพียงแค่เปิดประตู เสียงก็ดังกว่าในห้องเสียจนกลุ่มคนที่นั่งใกล้ประตูหันมามองอย่างอดไม่ได้ตามสัญชาตญาณมนุษย์ ร่างบางตัดสินใจเดินไปยังที่นั่งประจำอย่างคุ้นชินก็พบว่ายังว่างอยู่ จึงจัดการวางกระเป๋าลงและหยิบเครื่องเขียนออกมาวางไว้บนโต๊ะ

    เสียงเปิดกระดาษหนังสือคณิตศาสตร์ดังขึ้นเล็กน้อย ภายในเต็มไปด้วยลายมือขีดเขียนเป็นระเบียบเรียบร้อยของเจ้าของกว่าครึ่งเล่ม เปิดไปยันหน้าสุดท้ายที่ทำครั้งก่อน จากนั้นจึงหันกลับไปล้วงในกระเป๋าอีกครั้ง หยิบโทรศัพท์เครื่องบาง และหูฟังสีขาวขึ้นมาเสียบเข้ากับช่องของมัน นิ้วเรียวสวยกดลิสต์เพลงที่เคยเปิดเป็นประจำไว้ ก่อนจะหยิบปากกาสีชมพูอ่อนแท่งพอดีมือขึ้นมาทำโจทย์ข้อต่อไป และหลังจากนั้น เสียงหวานๆของหญิงสาวคนหนึ่ง รวมไปถึงท่วงทำนองที่เชื่องช้ากว่าต้นฉบับจริงก็ดังขึ้น... จากหูฟังและภายในจิตใจของเด็กสาวเจ้าของโทรศัพท์เครื่องบาง


    곰 세 마리가 한 집에 있어
    (มีหมีสามตัวอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง)

    아빠곰 엄마곰 애기곰
    (พ่อหมี แม่หมี ลูกหมี)

    아빠곰은 뚱뚱해 엄마곰은 날씬해
    (พ่อหมีอ้วน แม่หมีผอม)

    애기곰은 너무 귀여워
    (ลูกหมีน่ารักมาก)

    으쓱 으쓱 잘한다 
    (ทำท่ายักไหล่ ใหญ่เลย)


    곰 세 마리가 한 집에 있어
    (มีหมีสามตัวอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง)

    아빠곰 엄마곰 애기곰
    (พ่อหมี แม่หมี ลูกหมี)

    아빠곰은 뚱뚱해 엄마곰은 날씬해
    (พ่อหมีอ้วน แม่หมีผอม)

    애기곰은 너무 귀여워
    (ลูกหมีน่ารักมาก)

    으쓱 으쓱 잘한다 
    (ทำท่ายักไหล่ ใหญ่เลย)


    ปลายปากกาจรดกาดอกจันเป็นคำตอบสุดท้ายอย่างพอดิบพอดีที่เพลงจบลง นั่นทำให้คนหน้าหวานยกยิ้มให้กับตัวเองอย่างคนพอใจในผลลัพธ์ ก่อนที่เพลงเดิมจะวนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เด็กสาวกำลังจะเริ่มทำข้อต่อไปทว่าเกิดแรงสะกิดเบาๆที่หัวไหล่เสียก่อน

    “โบซอก” เสียงหวานเอ่ยเรียกชื่อเมื่อเห็นเจ้าของแรงสะกิด — เพื่อนสนิทที่สุดของเธอ คนมาทีหลังส่งยิ้มให้ก่อนจะนั่งลงโต๊ะที่ว่างข้างๆและหันมาถามเสียงเบา “ฟังเพลงเดิมหรอ”

    เป็นอันรู้กันสำหรับคำว่า เพลงเดิม

    คนได้รับคำถามพยักหน้าตอบทันที “ก็เพลงลูกหมีสามตัวเป็-“

    “เป็นเพลงที่แม่ของเค้าร้องกล่อมนอนทุกคืนตอนเด็กๆ” ยังไม่ทันเอ่ยจบ เพื่อนรักก็แทรกขึ้นและบีบเสียงล้อเลียนเธอแทน ประกอบกับสีหน้าท่าทางที่ถูกทำให้เกินจริงกว่าต้นฉบับอย่างเธอที่เคยทำไว้นั่นทำให้ทั้งสองหลุดหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนจะพากันปิดปากตัวเอง สายตาสอดส่องลอกแลก ทว่าเมื่อไม่มีใครหันมามองก็โล่งใจที่เสียงของตนนั้นไม่ได้ไปทำการรบกวนใครเขาเข้า

    “นาอึล" คนที่พึ่งมาทีหลังกระซิบเรียกเสียงเบา ทว่าก็ยังคงได้ยินอยู่ดี คนถูกเรียกตัดสินใจวางปากกาขั้นหน้าหนังสือไว้แล้วหันมาหาเพื่อนสนิท นั่นทำให้โบซอกเอ่ยต่ออย่างไม่ลังเล "วันนี้เค้ามีธุระกับแม่ คงไม่ได้ไปเรียนพิเศษด้วย" กระซิบบอกออกไป เจ้าของชื่อพยักหน้าและส่งยิ้มให้เป็นการตอบรับ ก่อนจะหมุนเก้าอี้ตัวนิ่มมาหา “ไม่เป็นไร ...มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าของอีกคนพลางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    คนถูกถามส่ายหัวเป็นคำตอบ “ไม่ ...แต่นาอึลไปคนเดียวได้ไหม” เธอจับมือเพื่อนรักขึ้นมาแล้วบีบเบาๆทั้งสองข้าง -- คล้ายต้องการปลอบโยนและขอโทษในเวลาเดียวกัน เด็กสาวยิ้มกว้างอย่างใจดี “ได้สิ ไม่ต้องห่วงนะ ไปทำธุระกับแม่เถอะ” คนฟังพยักหน้ารับก่อนนาอึนจะหยิบปากกามาชูขึ้นในระดับสายตา เขย่าไปมาเบาๆเป็นการบอกใบ้ให้อ่านหนังสือกันต่อ โบซอกยิ้มรับและหันไปจัดการกับอุปกรณ์ของตนเอง เช่นเดียวกับนาอึลที่หยิบหูฟังมาใส่ ปลดล็อคโทรศัพท์เพื่อเลื่อนเพลงไปเริ่มต้นใหม่และลงมือทำโจทย์ข้อต่อไปอีกครั้ง


    10:22 PM

    “กลับมาแล้วค่ะ” เด็กสาวในชุดนักเรียนกระโปรงพริ้วตะโกนเสียงดังขณะก้มลงถอดรองเท้าหนังสีดำขัดมันเงาออกแล้วเก็บเข้าตู้ไม้ที่ตั้งอยู่ติดกับประตูบ้าน จากนั้นจึงเดินไปที่ห้องครัวอย่างที่ทำเป็นประจำ สายตาพบกับผู้เป็นมารดาที่กำลังล้างอุปกรณ์ทำครัวใบสุดท้ายอยู่ หลุบสายตาลงมาที่โต๊ะไม้สีน้ำตาลอ่อนกลางห้องครัวก็พบกับอาหารที่ผู้เป็นมารดาเตรียมไว้ให้

    “กับข้าวน่าทานมากเลยค่ะ” กลิ่นของมันหอมฉุยจนเธออดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ และแน่นอน... ได้รับฝ่ามือพิฆาตลงที่ไหล่บางมาเสียเต็มรัก “นี่แหน่ะเรา! ใครให้ดมข้าวแบบนี้” ทว่าเอ่ยดุไปแบบนั้นแต่ก็พยักพเยิดให้เด็กสาวนั่งลงบนโต๊ะอาหารก่อนจะหยิบเหยือกน้ำพลาสติกมาวางไว้ใกล้กับชามเซรามิคสีครีมที่ใส่บิบิมบัมไว้ “กินเยอะๆนะลูก”

    “เรื่องมันแน่นอนอยู่แล้ว!” เด็กสาวส่งยิ้มกว้างให้อย่างสดใส จัดการหยิบตะเกียบโลหะขึ้นมา ค่อยๆปาดโคจูจังไปโดยรอบก่อนจะคลุกส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน

    ถั่วงอก ผักโขม หมูนุ่ม แครอท ไข่ลวก เห็ด ข้าวสุก และโคจูจัง อาหารง่ายๆที่เธอชอบที่สุดเพราะแม่เป็นคนทำให้


    12:20 PM

    เพลงลูกหมูสามตัวดังคลอเบาๆออกมาจากลำโพงโทรศัพท์ เสียงหวานซึ่งมีผู้เป็นมารดาของเธอเป็นเจ้าของถูกขับร้องออกมาอย่างเชื่องช้า – เสียงของแม่ที่ร้องกล่อมเธอนอนเมื่อหลายปีที่แล้ว


    곰 세 마리가 한 집에 있어
    (มีหมีสามตัวอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง)

    아빠곰 엄마곰 애기곰
    (พ่อหมี แม่หมี ลูกหมี)

    아빠곰은 뚱뚱해 엄마곰은 날씬해
    (พ่อหมีอ้วน แม่หมีผอม)

    애기곰은 너무 귀여워
    (ลูกหมีน่ารักมาก)

    으쓱 으쓱 잘한다 
    (ทำท่ายักไหล่ ใหญ่เลย)


    곰 세 마리가 한 집에 있어
    (มีหมีสามตัวอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง)

    아빠곰 엄마곰 애기곰
    (พ่อหมี แม่หมี ลูกหมี)

    아빠곰은 뚱뚱해 엄마곰은 날씬해
    (พ่อหมีอ้วน แม่หมีผอม)

    애기곰은 너무 귀여워
    (ลูกหมีน่ารักมาก)

    으쓱 으쓱 잘한다 
    (ทำท่ายักไหล่ ใหญ่เลย)


    เสียงเพลงยังคงดังต่อไปในห้องรับแขกของบ้าน ผู้เป็นแม่เดินลงมาจากบันไดชั้นสอง เห็นเด็กน้อยของเธอในวันวานกำลังตั้งอกตั้งใจขีดเขียนอะไรบางอย่างลงในหนังสือเล่มหนา อดไม่ได้ที่จะทอดมองด้วยสายตาเป็นห่วง ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกเจ็บจี๊ดอยู่ในอก ...ก็คือเพลงนี้

    เสียงหวานที่ดังออกมาจากลำโพงยังคงดังต่อไป ทว่าสมาธิของเด็กสาวนั้นกลับจดจ่ออยู่ที่ตัวเลขมากมาย – เสียงเพลงถูกใช้เป็นเหตุผลบางอย่างที่นอกจากเปิดเพราะเป็นเสียงของมารดา

    “เปิดเพลงนี้อีกแล้วหรอลูก” ผู้เป็นมารดาเดินมานั่งลงที่โซฟาข้างเด็กสาว อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบผมสลวยที่ถูกปล่อยยาวอย่างรักใคร่

    “ไม่ดีหรอคะแม่” คนถูกถามเงยหน้ามาตอบพลางส่งยิ้มให้

    “แม่ไม่ชอบ ลูกมีเหตุผลอะไรถึงได้เปิดเพลงนี้วนไปวนมาตอนอ่านหนังสือทุกคืน” เธอถามเด็กน้อยเสียงเบา ทว่าคิ้วเรียวกลับเริ่มผูกกันเป็นโบวอย่างคนไม่เข้าใจ

    คนถูกถามวางปากกาลงแล้วเอื้อมมาบีบมือผู้เป็นมารดาแทน “หนูไม่ได้อ่านหนังสือ หนูทำข้อสอบค่ะ”

    “ทำไมลูกจะต้องใช้เพลงนี้ด้วย” เอ่ยอย่างเหนื่อยใจ ไม่ได้อยากที่จะว่าเลยสักนิด แต่มันชั่งเจ็บที่หัวใจเหลือเกิน

    “ประชากรประเทศเกาหลีใต้มีเกือบหกสิบเก้าล้านคน” นาอึลตัดสินใจขยับตัวลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาตัวนิ่มก่อนจะหันมาหาผู้เป็นมารดา “นักเรียนมัธยมปลายปีสามมีประมาณสามแสนคน” พูดต่ออย่างใจเย็น ริมฝีปากสวยได้รูปฉีกยิ้มขึ้นเมื่อคิดได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้อธิบายเหตุผลที่แสนจะยาวยืดของเธอ

    “โรงเรียนมัธยมชินกูอยู่อันดับที่เจ็ดของประเทศ ถึงหนูจะเป็นที่หนึ่งในโรงเรียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นที่หนึ่งของประเทศด้วย” ผู้เป็นแม่มองหน้าบุตรสาวนิ่ง ยากที่จะหยั่งถึงว่าเธอคิดอะไรอยู่ ไม่เหมือนโกรธ หากแต่ก็ไม่ใช่ยิ้มยินดี

    “โรงเรียนมัธยมปลายมีจำนวนนักเรียนเฉลี่ยอยู่ที่สองร้อยห้าสิบคน” นาอึลเริ่มชูนิ้วขึ้นประกอบการอธิบาย “หมายความว่าหกโรงเรียนเท่ากับหนึ่งพันห้าร้อยคน” เด็กสาวนิ่งเม้มปากตัวเองอย่างหนักใจ “แน่นอนว่ายังไม่รวมคนที่เก่งๆอีกมากมายที่ซ่อนอยู่ทั่วประเทศ หนูอาจจะอยู่ลำดับอะไรสักอย่างที่ไม่ต่ำกว่าพันห้า” เพียงแค่คิด น้ำตามันก็เหมือนจะไหลมาให้ได้ซะอย่างงั้น เธอหวังไว้สูง เธออยากให้แม่สบาย ปากบางถูกเม้มแน่นก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อไม่ให้มารดาเห็นน้ำตาที่เริ่มคลอออกมา …แต่มีหรือที่ผู้เป็นมารดาจะไม่รู้

    “นั่นเพียงพอแล้วสำหรับแม่” คนอายุเยอะกว่าลูบหัวบุตรสาวอย่างอ่อนโยน แม้จะยังไม่เห็นด้วยกับการใช้เพลงนี้ก็ตาม

    “ไม่เลยค่ะ มันไม่พอ”

    “ลูกไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือดึกๆดื่นๆ เปิดเพลงลูกหมีอะไรนี่วนซ้ำแล้วซ้ำเล่า” มารดาเอ่ยเสียงเบา ทว่ากลับทำให้เด็กสาวชะงัก

    “เพลงลูกหมีอะไรนี่.. หรอคะ”

    “มันจะอะไรกับเพลงนี้นักหนาล่ะลูก” มือนิ่มของผู้เป็นมารดายังคงยกขึ้นลูบที่ศีรษะสวยของบุตรสาวอย่างอ่อนโยน

    “เพลงมีความยาวหนึ่งนาทีกับอีกห้าวินาที มันพอดีต่อการทำโจทย์แต่ละข้อของหนู”

    “เพลงอื่นที่มันยาวเท่านี้ก็มีเยอะแยะ”

    นาอึลเม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยตอบ “ก็เพราะมันเป็นเพลงที่คุณแม่ใช้กล่อมหนูนอนมาตลอดนี่คะ” ช้อนตามองพูดเป็นมารดาอย่างคนรู้สึกน้อยใจและไม่เข้าใจ — ไม่เข้าใจเลย “แล้วทำไมคุณแม่ต้องมีปัญหากับเพลงนี้ด้วย”

    “ก็เพราะมันเป็นเพลงที่แม่ใช้กล่อมลูกนอนไง” เผลอขึ้นเสียงอย่างอดไม่ได้

    “...” คนได้รับคำตอบขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

    “หนูบอกว่าแม่ใช้เพลงนี้กล่อมให้หนูหลับทุกวัน” เธอนิ่งไป ดวงตาฉ่ำวาวไปด้วยน้ำใส “แต่ทุกวันนี้หนูกลับใช่เพลงนั้น ทำให้ลูกไม่ได้หลับได้นอน” หยดน้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ เด็กสาวมองผู้เป็นมารดาอย่างไม่เข้าใจ “หนูทำเพื่ออนาคต แล้วก็เพื่อคุณแม่นะคะ” ไม่เขาใจว่าเธอทำอะไรผิดหรือ มารดาของเธอถึงได้ร้องไห้แบบนี้ “ถ้าหนูหยุด จะมีคนอีกกี่สิบ กี่ร้อยคนในประเทศก็ไม่รู้แซงหน้าหนู” เด็กสาวมองมารดาที่พยายามปัดเช็ดสายน้ำแห่งความรู้สึกที่ไหลออกมา คนแก่กว่าก้มหน้า ส่ายหัวคล้ายจะบอกว่าไม่ใช่ ลูกไม่ควรคิดแบบนั้น — ไม่ควรเลย เธอเงยหน้ามองดวงตาลูกสาวที่บัดนี้ขอบตาร่างมีรอยคล้ำเล็กน้อยจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ “แล้วหนูคิดว่าแม่ดีใจหรอคะที่ได้ยินเสียงเพลงที่แม่ใช้ทำให้ลูกหลับสบายทุกวันกลายเป็นอดหลับอดนอน” เธอพูดเสียงดังขึ้น บอกความในใจที่อดทนมานานกับลูกสาว ทว่าเธอก็ไม่อยากเห็นลูกนั้นเป็นทุกข์ นิ่งมองเด็กน้อยที่ดูจะสับสนเหลือเกินในเวลานี้ จึงตัดสินใจเอ่ยตัดจบไป “แม่ไปนอนแล้ว ไม่ต้องคิดมาก ฝันดีนะลูก”


    07:45 AM

    “โบซอก เค้าไม่เข้าใจอะ” เด็กสาวเอ่ยทันทีหลังจากเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนรักฟังจนจบ คิ้วเรียวขมวดอย่างสับสนอยู่ในเชิง มือทั้งสองข้างถูกวางไว้บนโต๊ะไม้เคลือบเงาของโรงอาหาร นิ้วเรียวจับกันแน่นอย่างคนคิดไม่ตก

    “เหมือนกับมีคนเอาแตงกวามาให้เค้ากินตอนลดน้ำหนัก” โบซอกมองคนที่สีหน้าไม่ค่อยดีแต่เช้าอย่างเอ็นดูพลางเอ่ยต่อ “แต่เค้ากลับเอามาราดน้ำผึ้งจนเยิ้ม แล้วค่อยกิน”

    “อะไรนะ” คนฟังขมวดคิ้ว “โบซอกพูดถึงอะไร”

    "ตอนที่เค้าตั้งใจจะลดน้ำหนักเมื่อปิดเทอมฤดูร้อน จำได้ไหม" คนเล่าหันไปถาม และได้รับคำตอบมาเป็นการพยักหน้าสองสามทีจากเพื่อนรัก "นั่นแหล่ะ... คุณอาของเค้า เขาเอาแตงกวามาให้ เพราะว่าท่านเคยทานเปล่าๆตอนลดน้ำหนัก มันเป็นสูตรที่ดีมาก" ชูมือยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นทั้งสองข้างเป็นการยืนยัน "แต่นั้นแหล่ะ กินแตงกวาอย่างเดียวจะไปอร่อยอะไร ใช่ไหมล่ะ" เธอยู่ปากบอก นาอึลพยักหน้าเห็นด้วย

    "เค้าหั่นแตงกว่าเป็นแว่นๆ หยิบโหลมายองเนสออกมาจากลิ้นชักใต้เคาน์เตอร์ แล้วลาดอย่างไม่บันยะบันยังเลยแหล่ะ" เธอหัวเราะขำ นั่นทำให้คนฟังนึกภาพออกก่อนจะหัวเราะตามเล็กน้อย

    "วันต่อมา คุณอาแวะมาหาเค้าอีก ท่านเห็นเค้าทำแบบเดิม ดุเสียการใหญ่เลย" เธอหันมาสบดวงตากับเพื่อนรัก "ท่านบอกว่า เอามาเพื่อให้ลดน้ำหนัก ไม่ใช่เพิ่ม" พูดพลางหัวเราะขำก่อนที่จะออกแรงบีบมืออีกคนเบาๆ

    “นาอึล”

    “หื้อ”

    “นาอึลของเค้าเป็นคนฉลาด …เค้าแค่ลองเปรียบเทียบดู อาจจะไม่เหมือนมาก แต่เค้ารู้ว่านาอึลจะเข้าใจ ...บางที แม่นาอึลอาจจะคิดแบบนี้ ที่ท่านว่า เพราะเป็นห่วงนะ”

    “…”

    “ต้องให้เค้าอธิบายเพิ่มรึเปล่า”

    “…” คนถูกถามส่ายหน้าเป็นคำตอบ เธอเข้าใจแล้ว เหมือนกับที่แม่ของเธอตั้งใจใช้เพลงนั้นกล่อมให้เธอหลับนอนในทุกๆคืน ทว่าเธอกลับเอาเพลงนั้นมากล่อมให้ตัวเองไม่นอน

    ทำไมโหดร้ายกับแม่ตัวเองขนาดนี้ นาอึล


    10:12 PM.

    เด็กสาวเปิดประตูเข้ามาในบ้านด้วยความประหม่า ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาตอนเข้าบ้านสักครั้ง — ไม่มั่นใจและกังวล เด็กสาวเม้มริมฝีปากแน่น ก้มลงหยิบรองเท้าหนังเก็บเข้าตู้อย่างที่เคยทำ สายตาสอดส่องหาพูดเป็นมารดา “กลับมาแล้วค่ะ” น่าตลก เสียงที่เปล่งออกมานั้นเบากว่าทุกครั้ง

    เธอนั่งลงก้มหน้ามองพื้นอย่างทำตัวไม่ถูกอยู่หลายนาที ก่อนจะตั้งใจจะลุกขึ้นและเข้าบ้าน ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับบุคคลที่วนเวียนอยู่ในความคิดของเธอมาตั้งแต่เช้า “แม่…” หลุดเอ่ยออกมาเสียงเบาก่อนน้ำตาจะเริ่มไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “หนูขอโทษ” เด็กสาวเอ่ยพลางเปลี่ยนเป็นนั่งทับขาทำท่าว่าจะก้มลงไปคำนับขอโทษคนยืนอยู่จึงรีบดึงเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก เด็กสาววาดแขนกอดผู้เป็นมารดาแน่น “หนูขอโทษค่ะแม่”

    “ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร” กอดปลอบลูกสาวก่อนจะลูบหลังให้ สายน้ำไหลออกมาจากดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่เช่นกัน — เธอห้ามไม่อยู่จริงๆ

    ถึงจะบอกไปว่าไม่เป็นไร ทว่าเธอก็เจ็บอยู่ดี เมื่อนึกถึงทุกครั้งที่ลูกเปิดเพลงนั้น เพลงที่เป็นเสียงของเธอ แล้วทำให้เด็กน้อยในอ้อมอกอดหลับอดนอน

    “หนูจะไม่เอาเพลงของแม่มาเปิดเพื่อให้ตัวเองไม่ได้นอนอีกแล้ว” เธอกอดซุกอกอุ่น ถึงจะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี …แน่นอนว่าเธอไม่ยอมนอนแต่หัวค่ำแน่ “หนูจะนอนให้เร็วขึ้น …สักสามสิบนาที” ประโยคสุดท้ายเด็กสาวเอ่ยเสียงเบา “ได้ไหมคะ”

    คนเป็นแม่กอดลูกแน่น “ก็ยังดีลูกรัก” ก้มลงหอมศีรษะบุตรสาวอย่างรักใคร่แม้น้ำตาจะยังคงไหลรินลงมาอย่างไม่ยอมหยุด “แม่รู้ว่าถ้าวันไหนหนูไม่ได้อ่านหนังสือ หนูจะเป็นทุกข์” คนฟังกอดกลับแน่น น้ำตาลไหลออกมาอีกครั้งทั้งที่เมื่อครู่หยุดลงไปแล้ว แม้แต่แม่ยังรู้ ทำไมเธอถึงไม่รู้บ้างเลยว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้น ทำให้แม่เป็นทุกข์มานานแค่ไหน

    เด็กสาวเงยหน้าขึ้นหอมแก้มผู้เป็นมารดาหลังจากที่กอดกันอยู่สักพักใหญ่ “หนูหิวแล้วค่ะ” จัดการปาดน้ำตาให้ผู้เป็นมารดาก่อนจะช่วยพยุงกันยืนขึ้น

    “มาสิ วันนี้มีของโปรดหนูเยอะแยะเลยล่ะ” เอ่ยบอกก่อนจะดึงแขนคนบ่นว่าหิวเข้าไปในครัว คนถูกดึงเดินตามอย่างไม่อิดออด มองแผ่นหลังบางของผู้เป็นมารดา

    ต่อไปนี้หนูจะไม่ทำให้ เพลงกล่อมนอน ของแม่ เป็น เพลงกล่อมไม่นอน อีกต่อไป หนูสัญญาค่ะ


    #คลังเศษส่วน




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
grumpy boy (@hibino93k)
เจ้าเด็กน้อยเข้าใจแม่มากขึ้นแล้วสิ เป็นเรื่องที่อยากจะหันมาดูแลตัวเองเพื่อคนที่รักมากขึ้นเลยค่ะ ชอบเรื่องของเคอร์เทียร์ตอนก่อนด้วยเหมือนกัน เป็นความห่วงใยจากพ่อแม่ทั้งสองเรื่องเลยซี ชอบจัง