เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
คลังเศษส่วนodorous
Accoding to our light | ให้เราภาวนา
  • 12 Keywords | 12 Days | 12 Stories

    1st Day

    “ นั ก อ ธิ ษ ฐ า น ”



    Lisse, Netherlands

    เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน ดวงตาคมสวยจ้องมองเหล่าก้อนน้ำแข็งนอกหน้าต่างตกลงสู่ดินครั้งแล้วครั้งเล่า พวกมันต่างพากันทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วงโลก และทับถมกันจนในที่สุดพื้นก็กลายเป็นสีขาวโพลน

    จะเหมือนกับตอนที่เธอกระโดดทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนิ่มไหมนะ

    ริมฝีปากบางเผลอคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวกับความคิดนี้ก่อนจะกะพริบตาเรียกสติตัวเองอยู่สองสามที เจ้าของเส้นไหมธรรมชาติหยักศกสีน้ำตาลโอ๊คยาวสลวยปัดปอยผมที่ปรกหน้าตนเองออกก่อนจะหันกลับมามองเทอร์โมมิเตอร์ที่ติดอยู่ตรงผนังของบ้าน -- ใกล้กับประตูครัว ปรอทสีแดงที่ขยายตัวขึ้นนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างจากเธอได้เป็นอย่างดี

    “เพิ่มขึ้นสี่องศาก่อนหิมะตก” หันกลับมามองนอกหน้าต่างอีกครั้ง ขัดแขนเรียวทั้งสองข้างวางที่ขอบหน้าต่างไม้แล้วพิงแก้มลงนอนใช้แขนแทนหมอนหนุนอย่างสบายใจ

    คราวนี้หนาวกว่าหลายปีที่ผ่านมา

    เธอกะพริบตามองหิมะที่ยังคงเคลื่อนตัวพริ้วไหวอยู่ด้านนอกหน้าต่าง ก่อนร่างบางอ้อนแอ้นของเด็กสาวจะสะดุ้งโหยงและจัดการขยับนั่งหลังตรงเมื่อนึกอะไรดีๆขึ้นได้ แขนบางยกสองมือขึ้นประสานนิ้วเรียวไว้ด้วยกันแล้วหลับตาลง

    “ขอให้ฤดูใบไม้ผลิมาหาพวกเราในเร็ววัน” ริมฝีปากบางยกยิ้มให้กับคำอธิษฐานที่เธอเฝ้าขออยู่ทุกปี ก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้าย เพื่อสิ้นสุดคำขอ “อาเมน”

    “คอร์เทียร์ลูกรัก ทำอะไรอยู่หรือ” เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้น มาพร้อมกับแก้วนมร้อนๆในมือทั้งซ้ายขวา เด็กสาวรีบลุกขึ้นเดินไปรับแก้วทั้งสองใบแล้วว่างไว้บนโต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้องรับแขกก่อนจะเอ่ยตอบ 

    “ขอบคุณค่ะพ่อ” เธอยิ้ม “หนูกำลังอธิษฐาน...” เจ้าตัวเงยหน้ามองผู้เป็นบิดาเล็กน้อย “เหมือนทุกครั้งที่เคยทำ” จากนั้นจึงเดินไปหยิบจานช็อกโกแลตที่วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ในครัวอย่างรู้งาน
    คนอายุเยอะกว่าเมื่อได้ยินดังนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยอย่างเอ็นดู หันไปทางห้องครัวที่ลูกสาวเดินไวๆเข้าไป “ลูกก็รู้ว่าถึงไม่ขอ ยังไงฤดูใบไม้ผลิก็มาถึงอยู่ดี” แกล้งขมวดคิ้วเมื่อคอร์เทียร์เดินกลับมาพร้อมจานใส่ช็อกโกแลตหลากหลายก้อน หยิบแก้วขึ้นเป่านมร้อนแล้วจิบเล็กน้อยก่อนจะยกขึ้นชี้ไปทางหน้าต่าง บอกใบ้ให้ลูกสาวหันมองตาม “อีกไม่นานหิมะจะหยุดตก แล้วฤดูใบไม้ผลิก็จะมาถึง มันเป็นไปตามธรรมชาติลูกรัก”

    “หนูรู้ค่ะพ่อ” เด็กสาวเอ่ยตอบก่อนจะนั่งลงที่โซฟาตัวยาวแล้วทำการเลื่อนแก้วนมมาใกล้ตัว

    “รู้แล้วทำไมยังขอ” น้ำเสียงอ่อนโยนถามออกไปอย่างไม่จริงจังนัก ขณะที่ฝ่ามือใหญ่ข้างที่ว่างก็ลูบศีรษะบุตรสาวอย่างเชื่องช้า สายตามองหิมะที่เริ่มตกลงมาเบาลง ทว่าตรงพื้นดินก็ยังสูงเป็นกอง

    “เพราะหนูเหมือนพ่อมากไงล่ะคะ” เธอฉีกยิ้มกว้างให้ รู้ว่าที่ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามนั้นเป็นเพียงการหยอกล้อเท่านั้น เพราะที่จริงแล้ว บิดาของเธอก็มีคำอธิษฐานที่เอ่ยวิงวรต่อพระผู้เป็นเจ้าอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน

    “งั้นหรอ ...รู้จักกฎธรรมชาติไหม” คนอายุเยอะกว่าหลุบสายตาลงมองลูกสาว

    “ยังไงคะ” เธอถาม ขณะที่มือบางก็เอื้อมไปหยิบช็อกโกแลตมาก้อนหนึ่ง จัดการหย่อนลงในแก้วนมของตนเอง และหยิบอีกก้อนหนึ่งหย่อยลงในแก้วของผู้เป็นบิดา

    “แม้แต่คำอธิษฐานก็เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นไม่ได้หรอก” เขาพูดเสียงเบาหลังจากรับช็อกโกแลตจากลูกสาวแล้ว ก้มลงหยิบไม้คนแก้วที่ทำจากโลหะขึ้นมา

    “เหมือนพ่อกำลังบอกตัวเองมากกว่าบอกหนูนะคะ” เด็กสาวหรี่ตามองพลางส่งยิ้มให้ ก่อนจะแย่งไม้คนในมือผู้เป็นบิดามาคนให้เสียเอง

    “พ่อก็ว่างั้น” เอ่ยตอบพลางมองลูกสาวคนช็อกโกแลตแก้วในมือของเขาให้ ก่อนตนเองจะนึกเอะใจขึ้นมาในช่วงเสี้ยววินาที “เดี๋ยวนะ... ลูกหมายความว่าไง”

    “ก็สิ่งที่พ่อมักจะขอทุกปีไงคะ” เด็กสาวเงยหน้าตอบผู้เป็นบิดาหน้าตาเฉย แม้มือจะกำลังคนของเหลวในแก้วต่ออย่างเรื่อยๆ

    “ลูกรู้หรือ” คนเริ่มสับสนขมวดคิ้ว “พ่อจำได้ว่าไม่เคยบอกลูก”

    “ถ้าพ่อรู้คำอธิษฐานของหนูฝ่ายเดียว โลกนี้ก็อยุติธรรมเกินไปแล้วค่ะ”

    “ไม่... ลูกรัก ไปแอบได้ยินตอนไหน” คนแก่กว่าเริ่มเท้าเอวตนเอง

    “พ่อเคยบอกหนู” พูดไปพลางหยิบไม้คนแก้วออกมาแล้วคนแก้วของตนเองต่ออย่างเชื่องช้า “นึกดีๆสิคะ นึกไม่ออกแปลว่าแก่นะ” เธอยิ้มล้อ

    “ไม่...” ตั้งท่าจะปฏิเสธต่อทว่าก็เงียบไปสักพัก “โอเค เคย” เจ้าของสียงทุ้มเอ่ยยานคาง “แต่นั่นมันตอนที่ลูกยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ” เขาทำมือประกอบการอธิบายว่าตอนนั้นเธอยังสูงไม่ถึงเอวเขาเลยด้วยซ้ำ

    “เป็นเด็กไม่ได้ความจำเสื่อมสักหน่อยนี่คะพ่อ” เด็กสาวยู่ปากว่า ก่อนจะยกแก้วนมที่บัดนี้กลายเป็นโกโก้อุ่นๆขึ้นจิบ

    “ลูกไม่น่าจำได้นะ ตอนนั้นลูกยังเล็กมาก” ผู้เป็นพ่อวางแก้วลงกับโต๊ะและยกมือขึ้นยีหัวลูกสาวแสนรัก

    “ที่หนูจำได้ อาจจะเพราะมันเป็นคำอธิษฐานที่หนูชอบที่สุดมั้งคะ”

    “...” เขาทำเพียงยิ้มไม่ตอบอะไรไป ทว่าเรื่องราวในวันนั้นกลับกำลังหลั่งไหลมาหาพวกเขาทั้งสองคนอย่างไม่หยุดหย่อน

    ชั่งเป็นความทรงจำที่แสนวิเศษ


    สิบปีที่แล้ว

    สายลมพัดเอื่อยเฉื่อย ปีกยาวของกังหันลมเคลื่อนหมุนอย่างเชื่องช้าตามแรงลม บริเวณฐานถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าต้นหญ้ามิสแคนทัสสีทองอร่ามตา เด็กผู้หญิงตัวน้อยในชุดเอี๊ยมกำลังวิ่งไล่จับผี้เสื้อที่โบยบินเหนือหญ้ามิสแคนทัสเผื่อโต้สายลม เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กตัวน้อยดังพอที่จะทำให้ผู้เป็นบิดาซึ่งกำลังให้อาหารแกะอยู่ไม่ไกลนักได้ยิน

    เพียงเท่านั้นรอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขา

    “คอร์เทียร์ ลูกทำอะไรอยู่” แม้จะรู้อยู่แล้ว ทว่าก็ถามออกไปเพื่อชวนบุตรสาวคุย คนถูกถามรีบวิ่งมาหาพร้อมรอยยิ้มกว้างที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว “หนูจับผีเสื้อค่ะพ่อ แต่ว่าจับไม่ได้เลย” แทนที่จะงอแงร้องไห้ เธอกลับพูดไปหัวเราะไป “หนูอยากบินเร็วๆเหมือนผีเสื้อจังเลยค่ะ” นิ้วป้อมชี้บอก

    “ลูกบินได้ที่ไหนกันเล่า เราไม่มีปีกนะ” เอ่ยพลางหันหลังให้เด็กน้อยเห็น

    “จริงด้วยค่ะ” เด็กน้อยเงียบไปสักพัก “พ่อคะ”

    “ว่าไง คอร์เทียร์”

    “หนูชอบตอนที่ดอกไม้ทุกดอกของเราเป็นสีๆแบบนี้” เด็กน้อยทอดสายตามองทุ่งทิวลิปที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ผู้เป็นพ่อมองตาม ทิวลิปหลากหลายสีถูกแบ่งเป็นโซนอย่างมีระเบียบ ซ้ายสุดเป็นทิวลิปสีส้ม เรียงตัวกันเป็นทางยาวจนเห็นกังหันลมที่อยู่อีกฟาก ข้างๆกันเป็นทิวลิปสีแดง ถัดจาดนั้นเป็นสีม่วง ชมพู และเหลือง ตามลำดับ แถวต่อจากนั้นก็วนสีแบบนี้เช่นเดิม เลื่อนสายตาไปเรื่อยจนเห็นเหล่าทิวลิปฝั่งซ้ายมือที่ยังเป็นสีเขียวให้เห็นไกลๆอยู่จึงยิ้มออกมา

    “ยังไม่ทุกดอกหรอกคอร์เทียร์ ดูตรงนู้นสิ” เขาชี้ให้เธอดูตรงบริเวณที่ทิวลิปยังไม่โตเต็มที่

    “จริงด้วย แล้วเมื่อไหร่จะเป็นสีๆล่ะคะ” เด็กน้อยเงยหน้ามองรอคำตอบ

    “เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ฝั่งตะวันตก”

    “ตะวันตก” เธอเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ เขาจึงพยักหน้าตอบแล้วชี้ให้ดู “ลูกเห็นดวงอาทิตย์ไหม”

    “เห็นค่ะ” เด็กน้อยมองตาม

    “ตอนนี้เป็นตอนเช้า ถ้าดวงอาทิตย์อยู่ตรงไหน ตรงนั้นเรียกตะวันออก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยบอกช้าๆอย่างใจเย็นสลับกับหันมาดูว่าเด็กน้อยข้างตนนั้นฟังทันไหม “ตอนบ่าย พระอาทิตย์อยู่ตรงไหน ตรงนั้นจะเป็นตะวันตก”

    “ตอนบ่ายคือตอนไหนคะ”

    “อืมม...” คนถูกถามนิ่งไปสักพัก “คือตอนที่ลูกทานข้าวแล้วก็ล้างจานมื้อที่สองของวันเสร็จ” เมื่อได้คำตอบ เด็กน้อยก็พยักหน้าและยิ้มกว้างส่งมาให้ “เข้าใจแล้วค่ะ”

    “จำเมืองที่พ่อเคยบอกได้ไหม” เขาเผลอถามเด็กน้อยทั้งๆที่ยังไม่ได้เกริ่นเรื่อง จึงได้ผลลัพธ์กลับมาเป็นใบหน้ามึนงงอย่างไม่ต้องสงสัย

    “ที่นี่คือเมืองอะไรลูกรัก” เขาถามคำถามที่มักจะถามเธอเป็นประจำ

    “ลิซเซ่ค่ะ”

    “ใช่แล้ว ทีนี้ เราไม่ใช่เมืองเดียวในเนเธอร์แลนด์นะลูก”

    “จริงหรอคะ” เด็กน้อยตาโต นัยตาแวววาวเป็นประกายความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิดเมื่อรับรู้เรื่องใหม่ๆเข้า คนแก่กว่าจึงพยักหน้ายืนยันแล้วอธิบายต่อ “เมืองอัมสเตอร์ดัมอยู่ทางตะวันออกของบ้านเรา ส่วนตะวันตกเป็นเมืองเฮก” เด็กน้อยอ้าปากค้างกะพริบตามองเขาเพราะตามไม่ทัน นั่นทำให้คนถูกมองอดที่จะยิ้มเอ็นดูไม่ได้

    “อัมสเตอร์ดัมอยู่ตะวันออก” เขาชี้ใหม่อีกครั้ง

    “ค่ะ” เด็กน้อยพยักหน้าทันทีเมื่อประโยคสั้นลง

    “ส่วน เฮก อยู่ตรงข้าม ก็คือตะวันตก”

    “ค่า” เธอขานรับเสียงใส

    “ที่นี้ดวงอาทิตย์อยู่ตรงนี้” เขาชี้ “เป็นตะวันออก ใชไหมลูกรัก” คนถูกถามพยักหน้าแล้วยิ้มแป้นเป็นคำตอบ “ถ้างั้นอัมสเตอร์ดัมกับเฮกอยู่ตรงไหน”

    “อัมสเตอร์ดัมอยู่ตรงโน้น” นิ้วป้อมชี้ไปทางดวงอาทิตย์ “ส่วนเฮก อยู่ตรงนู้น” เด็กน้อยใช้แขนอีกข้างชี้ไปอีกฝั่ง นั่งทำให้ผู้เป็นพ่อยิ้มดีใจที่สอนลูกน้อยได้

    “ใช่แล้ว เก่งมากลูก” คนเป็นพ่อก้มลงกดจูบที่หน้าผากเนียนอย่างรักใคร่

    “พ่อคะ” เด็กน้อยเงยหน้ามองอีกครั้ง เห็นดังนั้นเขาจึงตัดสินใจนั่งลงข้างๆจุดที่ลูกสาวยืนอยู่ “ว่าไง คอร์เทียร์”

    “หนูชอบตอนที่ไม่หนาว แล้วก็มีผีเสื้อบิน แล้วก็..” เด็กน้อยนิ่งค้างนึก “แล้วก็ดอกไม้เป็นสีๆค่ะ” เมื่อฟังจบ ผู้เป็นพ่อยิ้มขำ “เขาเรียกว่าฤดูใบไม้ผลิ”

    “ใบไม้ผลิ” เด็กน้อยพูดตามก่อนจะยกมือขึ้นมาประสานไว้แล้วหลับตาลง “หนูของให้ใบไม้ผลิมาถึงไวๆ” เสียงเจือแจ้วเอ่ยออกมา

    “นี่ก็ใบไม้ผลิแล้วลูก” เขาบอก พลางลูบศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู

    “รู้แล้วค่ะ แต่หนูหมายถึงครั้งหน้า” เธอฉีกยิ้มกว้าง “ให้ครั้งหน้ามาเร็วๆ” เด็กน้อยตอบเสียงดังฟังชัด เขายิ้มให้เธอกลับไป “คำขอของลูกต้องเป็นจริงแน่ๆ”

    “จริงหรอคะ ถ้างั้น พ่อลองอธิษฐานบ้างสิคะ”
    ผู้เป็นพ่อเลิกคิ้วขึ้น “เอางั้นหรือ” และคำตอบที่ได้กลับมาก็คือการพยักหน้ายืนยัน คนอายุมากกว่าจึงยกมือขึ้นมาประสานกันและหลับตาลงบ้าง “พ่อขอ...” แม้ลึกๆแล้วเขาจะรู้ดีว่ามันชั่งเป็นคำของที่ไม่มีทางเป็นจริง แม้จะรู้แบบนั้น “ขอให้ได้อยู่กับลูกของพ่อตลอดไปตราบนานเท่านาน” แม้จะรู้อยู่แล้ว ...แต่การได้อธิษฐาน ก็เหมือนเป็นที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวของเขา “เราพูดคำสุดท้ายพร้อมกันนะลูก” ที่พึ่งที่อย่างน้อยที่สุดที่ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงไหม อาจจะทำให้เขาได้อยู่กับลูกนานขึ้นอีกสักนาที
    เขาหลุบตามองเด็กน้อยพยักหน้าทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ก่อนจะหลับตาลงตามอีกครั้งและเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน

    “อาเมน”

    “อาเมน”


    เมื่อโตขึ้น เราทุกคนต่างก็รู้ว่าคำอธิษฐานนั้นจะไม่สามารถเป็นจริงได้เลย หากเราไม่ลงมือปฏิบัติทำให้สิ่งที่เป็นนามธรรมนั้นเกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมา ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการอธิษฐานนั้นทำให้อบอุ่นหัวใจแค่ไหน ตอนเป็นเด็ก เรามักจะอธิษฐานขอของขวัญ ของเล่น และแน่นอน พ่อแม่ทำให้คำอธิษฐานของลูกๆเป็นจริงได้เสมอ หรืออย่างคอร์เทียร์ลูกของเขา ที่ขอให้ฤดูใบไม้ผลิหวนคืนกลับมาให้เร็ววัน แน่แนอนว่าไม่มีทางเร็วขึ้น แต่ในที่สุดก็ต้องถึง ทว่าพอโตขึ้น เรามักเรียกร้องอะไรที่ต่างออกไป ที่สำคัญคือยากมากขึ้น ขอให้มีความสุข ขอให้มีเงินทอง หรือแม้กระทั้งคำขอของเขา ...ขอให้ได้อยู่กับใครสักคนไปนานๆ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นคำขอที่ดูจะไร้ประโยชน์อยู่ในเชิง ทว่าการได้พูดออกมา รวมไปถึงการร้องขอ กลับเป็นคอมฟอร์ทโซนของมนุษย์ได้อย่างน่าประหลาดใจ เหมือนมีใครสักคนคอยเป็นต้นไม้ใหญ่ให้เราได้พิง ใครสักคนที่อยู่ในความรู้สึก ที่มองไม่เห็น คล้ายกับกลายเป็นเด็กที่อ้อนขอสิ่งนั้นนี้จากผู้ใหญ่ แต่จะเป็นอะไรไป เพราะอย่างไร เราทุกคนก็มีนักอธิษฐานตัวน้อยๆ ซ่อนอยู่ในจิตใจ



    #คลังเศษส่วน
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in