เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เสมือนสมุดบันทึกเล่มหนึ่งPee Beepee
จากเพื่อนห่างๆ คนหนึ่ง
  • หลายวันก่อน มีเพื่อนทางเฟซบุ๊กหลายคนโพสต์อำลาอาลัยถึงผู้เสียชีวิตรายหนึ่ง

    เธอน่าจะเป็นรุ่นน้องฉันราวๆ 5 ปี

    ฉันไม่เคยรู้จักเธอเป็นการส่วนตัว คือ ไม่เคยพูดคุยกับเธอ หรือไม่เคยอ่านงานเขียนใดๆ ของเธอ

    แต่ฉันคลับคล้ายคลับคลาเหลือเกิน ว่าตนเองน่าจะเคย “ผ่านพบ” กับเธอมาก่อน

    ฉันนั่งทบทวนความทรงจำอยู่สักพักใหญ่ ก่อนที่ภาพอดีตเมื่อเกือบ 7 ปีก่อน จะปรากฏเด่นชัดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

    เวลานั้น ฉันไปทำตัวเป็น “นักเรียนโข่ง” เรียนปริญญาโทอยู่เมืองนอก ตอนอายุขึ้นต้นด้วยเลข 3

    ณ วันหนึ่งของเดือนตุลาคม 2013 ฉันเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจเขียนสารนิพนธ์เพื่อจบการศึกษามาได้ราวหนึ่งเดือน และอยู่ระหว่างการใช้ชีวิตตระเวนท่องเที่ยวหรือแสวงหาประสบการณ์แปลกใหม่ ก่อนจะเดินทางกลับเมืองไทยช่วงเดือนธันวาคม

    วันนั้น ฉันตัดสินใจเข้ามาฟังการบรรยายวิชาการในสถาบันการศึกษามีชื่อเสียง ซึ่งผู้พูดส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาปริญญาเอกชาวไทย 

    ฉันตั้งใจจะมาฟังการบรรยายในหัวข้อที่ข้องเกี่ยวกับเรื่องศิลปะและการเมือง 

    แต่ก่อนหน้าจะถึงหัวข้อที่ตัวเองอยากฟัง ก็มีนักศึกษาปริญญาเอกรุ่นใหม่คนหนึ่ง (เข้าใจว่านั่นคือปีแรกๆ ที่เธอเริ่มใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิต) มาพรีเซนต์เรื่องแบบเรียนของเยาวชนไทยในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับนโยบายขยายดินแดนของรัฐบาลสมัยนั้น

    ฉันยอมรับว่าไม่ค่อยได้ตั้งใจฟังการนำเสนอของเธอสักเท่าไหร่

    น่าเศร้าใจและน่าตกใจไม่น้อย ที่ฉันมาพบว่านักศึกษาปริญญาเอกคนนั้น กับผู้เสียชีวิตที่เพื่อนๆ ของฉันระลึกถึง คือคนคนเดียวกัน

    แว้บแรกที่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ ฉันแปลกใจว่าเวลามันผ่านไปราว 7 ปีแล้วหรือนี่? ทำไมเวลาจึงเดินเร็วนัก?

    มันคือเกือบๆ 7 ปี ที่ฉันยังไม่ค่อยได้ลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีงานการที่ตนเองภาคภูมิใจเป็นพิเศษ ฉันเคยมีคนรักก่อนจะเลิกรากันไป ขณะที่สังคมโดยรวมก็ไม่ได้ก้าวหน้าไปสู่ทิศทางที่ควรเป็น

    ทว่าเกือบๆ 7 ปี ของเธอผู้นั้น คงเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่น่าจดจำมากมาย เธอพากเพียรจนจบการศึกษาระดับสูงสุด เธอได้แต่งงานกับคนรัก และได้กลับมาสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยที่เธอเคยเล่าเรียนสมัยปริญญาตรี

    แต่ 7 ปีที่น่าจดจำ ก็นำมาสู่บทสรุปที่แสนสั้นและรวดเร็วเกินไปเช่นกัน เมื่อเธอต้องมาป่วยไข้และอำลาโลกในวัยเพียง 30 กว่าๆ โดยยังไม่ได้ลงมือทำงานที่ตัวเองรักอย่างเต็มที่และต่อเนื่องยาวนาน

    แม้จะพบเธอเพียงผ่านๆ เมื่อเกือบ 7 ปีก่อน แต่ฉันเชื่อว่าเธอเป็น “คนดี” คนหนึ่ง

    ประจักษ์พยานสำคัญ คือ การที่เพื่อนๆ ของฉัน/เธอ คนแล้วคนเล่า พากันเขียนถึงความดีงามและความมีมิตรจิตมิตรใจของเธอ ผ่านประสบการณ์ของแต่ละคน

    ประสบการณ์เหล่านั้นเปรียบเสมือนภาพจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ซึ่งพูดถึงเหตุการณ์ ห้วงเวลา และการกระทำที่ไม่เหมือนกันเลย แต่พอนำมันมาประกอบรวมกันเป็นภาพใหญ่ ความเป็น “คนดี” ของเธอผู้เพิ่งจากไป กลับยิ่งขยับขยายเด่นชัด

    ฉันอดเสียดายไม่ได้ที่ไม่ยอมตั้งใจฟังเธอพูดในวันนั้น และไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักกับเธอหลังการบรรยายสิ้นสุดลง 

    แต่กระนั้น คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ถ้าฉันอยากจะขอร่วมไว้อาลัยเธอ ในฐานะ “เพื่อนห่างๆ” คนหนึ่ง  

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in