เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#ในชีวิตฉันไม่มีใครดูหนังเป็นเพื่อนเลยจางเม่ย
Julie & Julia (2009) หนังทำอาหารที่เหมาะสำหรับบล็อกเกอร์

  • เรื่องย่อนะจ๊ะ

    จากโปสเตอร์ก็จะเห็นแล้วเนอะว่าหนังเรื่องนี้นั้น based on two true stories อุบ๊ะ! มันเป็นไปได้อย่างไรกัน มาค่ะ ดิฉันจะเล่าให้ฟัง ก่อนอื่นก็อยากจะขอแนะนำตัวละครหลักทั้งสองคนพร้อมเรื่องราวของพวกเธอให้ฟังกันก่อน

    คนแรกที่เราอยากแนะนำให้รู้จักคือ Julia Child (นำแสดงโดย Meryl Steep) เธอเป็นหญิงอเมริกันที่เขียนหนังสือhome cookสอนทำอาหารฝรั่งเศสที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษเล่มแรก ชื่อเรื่องว่า Mastering the Art of French Cooking จนโด่งดังระเบิดเถิดเทิงไปทั่วประเทศ

    แม่ Julia โพสต์ท่าแหกตูดไก่ยิ้มแย้มแจ่มใส

    นอกจากนี้ยังมีหนังสืออีกเล่มเกี่ยวกับชีวิตในฝรั่งเศสของ Julia นั่นก็คือหนังสือที่มีชื่อเรื่องว่า My Life in France บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ช่วงที่เธอเริ่มเรียนทำอาหารในโรงเรียนเลอกองดองเบลอ ชีวิตคนอเมริกันในปารีส จนกระทั่งเขียนหนังสือทำอาหารเล่มแรกเป็นของตัวเองได้ โดยภาพยนตร์จะนำเสนอชีวิตของ Julia ผ่านหนังสือเล่มนี้

    สรุป เล่มขวา = หนังสือสอนทำอาหาร, เล่มซ้าย = หนังสือเกี่ยวกับชีวิตในฝรั่งเศส

    ต่อมาเราจะมาพูดถึงสุภาพสตรีอีกคนที่เป็นเจ้าของอีกหนึ่งเรื่องจริงในภาพยนตร์เรื่องนี้กันบ้าง เธอคนนี้ชื่อ Julie Powell ก็ตามชื่อเรื่องเนอะ (นำแสดงโดย Amy Adam >>>> เราชอบเขาในเรื่อง Enchanted มากๆๆๆๆ ตัดผ้าม่านมาทำเป็นชุดแล้วเต้นหมุนๆ) เรื่องราวของ Julie กับ Julia ในหนังน่าจะห่างกันประมาณ 40 ปีได้ (ถ้ามั่วก็ขอโทษด้วย) โดยที่จุดเชื่อมต่อหลักก็คือ Julie เป็นติ่ง Julia นั่นเอง


    หลักฐานยืนยันความติ่ง1: Julie อ่านหนังสือของ Julia


    หลักฐานยืนยันความติ่ง2: แต่งตัวตามไอดอลด้วยนะจ๊ะ

    จากชีวิตจืดชืดของ Julie ที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลคอยรับโทรศัพท์อะไรซักอย่างน่าเบื่อๆ (เนี่ย ขนาดจำชื่อตำแหน่งยังจำไม่ได้เลย คิดดู) เริ่มมีสีสันมากขึ้นด้วยการทำอาหารตามไอดอล เธอผ่อนคลายจากชีวิตการทำงานของเธอด้วยการเขียนบล็อกที่เกี่ยวกับภารกิจที่เธอท้าทายตัวเองโดยการทำทุกเมนูในหนังสือ Mastering the Art of the French Cooking ของ Julia ใน 1 ปี หรือ 524 เมนูใน 365 วัน

    ในภาพยนตร์เรื่องนี้เราก็จะได้รับชมชีวิตจากเรื่องจริงของทั้งสองสาว Julie & Julia บอกเล่าราวทั้งในบทบาทของการเป็นคนที่ชอบทำอาหาร คนเขียนหนังสือหรือคนเขียนบล็อก รวมไปถึงการเติบโต ความสัมพันธ์ และชีวิตในมิติอื่นๆ รอบตัวเรา มีเรื่องให้ยิ้มหรือมีวันที่ต้องเสียน้ำตาบ้าง ปะปนกันไป เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ในบทบาทไหน จะสวมหมวกเชฟ หรือหมวกของนักเขียน เราทุกคนต่างมีบทบาทเดียวกันนั่นก็คือบทบาทของความเป็นคน และหนังเรื่องนี้ก็ปรุงออกมาได้อย่างกลมกล่อมใช้ได้เลยทีเดียว



    เนื้อหาที่เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ดู (ไม่มีสปอย 100%)

    • ชื่อไทย: ปรุงรักให้ครบรส --> ไม่มีจีบกันหวานแหววอะไรทั้งนั้น ไม่ใช่สารหลักของเรื่อง 
    • GENRE: BIOGRAPHY ชีวิตของตัวเอกทั้งสองคน / DRAMA ก็นิดนึงมั้ง ชีวิตอะเนอะ จะไปราบรื่นตลอดก็ไม่ใช่ / ROMANCE ออกแนวความสัมพันธ์มากกว่า 
    • IMDB: 7.0 ให้ฟีลเหมือนหนังฝรั่งดีๆ ที่เราดูตอนเด็กๆ มู้ดกลางเก่ากลางใหม่ อบอุ่นสบายๆ
    • RATE: PG-13 แรงสุดที่เห็นคือหั่นตูดเป็ดกับต้มล็อบสเตอร์
    • LENGTH: 1h 58min ก็ยาวนะ เราดูบนรถไฟฟ้าแล้วก็กลับมานอนดูต่อที่บ้าน สามารถดูๆ พักๆ ได้ หนังไม่ซับซ้อน ดูได้เรื่อยๆ ไม่ต้องการสมองจดจ่อ ไม่ต้องนั่งนิ่งเฝ้าจอตลอดก็ดูได้
    • ผู้กำกับ: Nora Ephron ผู้กำกับหญิงผู้รังสรรค์หนังดังเม็ก ไรอันทั้งนั้น เช่น Sleepless in Seattle, When Harry met Sally (เราชอบมากกกก), You've Got Mail
    • รางวัล: มากมายหลายหลาก Meryl Steep แน่นๆ จุกๆ เช่น นำหญิงจากงานลูกโลกทองคำ 

    Q: แล้วหนังเรื่องนี้มันเหมาะกับบล็อกเกอร์อย่างไร?
    A: อาจจะดูไว้เป็นเพื่อนให้กำลังใจ หรือดูไว้เป็นแรงบันดาลใจก็ได้จ้ะ อย่างเราที่เริ่มกลับมาเขียนบล็อกนี้อีกครั้งก็มี Julie&Julia เป็นอีกหนึ่งเหตุผลด้วยนะ เติมเชื้อเพลิงด้วยพลังงานฟีลกู้ด ให้เราไม่ลืมว่าจุดเริ่มต้นของเราคืออะไร 

    ส่วนในแง่การทำอาหารดิฉันอาจจะรับไม่ได้มากเพราะทำอะไรไม่เป็นเลย แหะ ;-;)

    AVAILABLE ON NETFLIX

    *คำเตือน: เนื้อหาหลังน้องแมวหมวกกล้วยจะเข้าสู่ช่วงสปอยแล้วนะจ๊ะ*


    น้องชื่อ POKI สามารถติดตามน้องได้ที่ช่อง Rachel and Jun ใน Youtube บ้านนี้น่ารักโคตร


    เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ (SPOILER ALERT)

    มาค่ะ สปอยเลยนะ หนังเรื่องนี้ใช้วิธีการเล่าแบบตัดสลับกันระหว่างชีวิต Julia ในอดีตก่อนที่จะเขียนหนังสือเล่มแรก(หนังสือสอนทำอาหารฝรั่งเศสเล่มนั้น)สำเร็จ และชีวิตของ Julie ที่ทำภารกิจ 524 เมนูใน 365 วันที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Julia ไอดอลของเธอ ตัดสลับกันไปมาระหว่างอดีต(Julia) กับปัจจุบัน(Julie) ไปจนจบเรื่อง

    เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ เราขอนำเสนอ Timeline ของเรื่องทั้งหมดเอาไว้ที่นี่

    Julia ใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส(กับสามีของเธอ) --> เข้าเรียนทำอาหารที่เลอกองดองเบลอ --> เขียนจดหมายส่งหาpen palของเธอ(เรื่องราวในจดหมายจะปรากฏในหนังสือ My life in France) --> เริ่มเขียนหนังสือ+เจอปัญหาต่างๆ เช่น ระหว่างนี้ก็ย้ายที่อยู่ตามที่สามีต้องไปประจำการไปด้วย ล้มลุกคลุกคลานกันไปตามประสา --> เขียนหนังสือและตีพิมพ์ได้สำเร็จ เย้!

    แถมโควตจากแม่ Julia ถูกใจมากแม่

    และต่อมา Julia ก็ออกหนังสือ ออกรายการทีวีอะไรต่อมิอะไรจนรู้จักกันไปทั่วสารทิศ

    อีก 1 ไทม์ไลน์คือ Julie ใช้ชีวิตเบื่อๆ เซ็งๆ ก็เริ่มมีไอเดียที่จะเขียนบล็อกเป็นของตัวเองขึ้นมา(เพราะตัวเองเคยเขียนหนังสือมาก่อน แต่ไม่ได้ตีพิมพ์) โดยได้ไอเดียว่าจะเขียนเกี่ยวกับการทำอาหารเพราะมี Julia เป็นแรงบันดาลใจ --> ล้มลุกคลุกคลานเช่นกันไปตามสูตร(ชีวิตมันยากเนอะ /ถอนหายใจ--> เริ่มดังและได้สัมภาษณ์ออกหนังสือพิมพ์ --> บล็อกของเธอได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือในที่สุด

    และหนังสือเล่มนั้นก็นำมาทำเป็นภาพยนตร์ให้เราดูกันนั่นเอง!

    นี่เลยจ้า ชื่อเรื่องเดียวกันเลยทีเดียว

    จากคนเขียนบล็อกคนหนึ่ง เริ่มเขียนเพื่อเติมเต็มชีวิตของตัวเอง สมัยนั้นยังไม่มีการลงรูปในบล็อกด้วยซ้ำ Julie จะโม้เก่งเอาก็ได้ว่าวันนี้ฉันทำเมนูนี้แล้วบลาๆ แต่เธอก็ทุ่มเทและให้ใจกับผู้อ่านของเธอ บอกเล่าเรื่องราวอย่างจริงใจจนสามารถสัมผัสได้ วันนี้ฉันทำได้ วันนี้ฉันทำไม่ได้ ต่างคนต่างเป็นกำลังใจให้กัน จนสุดท้ายสิ่งที่เธอรักก็ได้ตอบแทนเธอโดยการมอบอาชีพนักเขียนให้เป็นจริง แถมยังได้หนังอีกเรื่องมาเป็นของแถมให้ชื่นใจอีกต่างหาก

    โดยต้นเรื่องของภาพยนตร์เขาก็จะบอกเราอยู่แล้วอะนะว่า based on หนังสือ 2 เล่มคือ My life in France กับ Julie&Julia (และเป็นชื่อหนังอีกด้วยนะ) แต่เราไม่ได้สังเกตอะตอนนั้นก็เลยเกิดอาการ ว้าว! เซอร์ไพรส์จังเลย! สุดจะมหัศจรรย์ใจอะไรทำนองนี้


    นอกจากหนังจะเล่าถึงชีวิตของทั้งสองคนนี้แบบตัดสลับกันแล้ว ยังเลือกเล่าเรื่องราวของทั้งสองให้ขนานกันอีกด้วย ในที่นี้เราขอยกจุดที่มันน่ารักกรุบกริบมาแชร์ละกัน

    ซีนนี้ Julie บอกเล่าเรื่องราวความสุดยอดของเนยว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสิ้นโลก สิ่งที่เธอจะทำคือนั่งกินเนยจนหมดตู้เย็น (อะไรทำนองนี้แหละ จำไม่ได้แล้ว เอาเป็นว่าเนยมันสุดยอดมาก ก่อนตายต้องได้กิน)

    ซีนนี้น่าจะเป็นวันวาเลนไทน์ (นี่เอ็งเขียนจากการเดาได้ด้วยเรอะ เอาเป็นว่าไม่แม่นแต่ได้อรรถรสแน่นอน) สามีของ Julia ก็ใช้เนยในประโยคบอกรักเช่นเดียวกัน มุกจีบของคนทำอาหารอะเนอะ

    มาพูดถึงประเด็นทางด้านความสัมพันธ์กันต่อเลยดีกว่า ระหว่างดูอยู่นั้นมีเรื่องหนึ่งที่เรา(และน่าจะอีกหลายคน) คอยลุ้นอยู่เสมอว่า ทั้งสองคนนี้จะได้เจอกันไหม? คำตอบ(ที่ในหนังบอก)คือไม่ได้เจอจ้ะ แต่ Julie ได้อ่านบล็อกของ Julia แล้วนะ

    และนี่คือสิ่งที่ Julie กล่าวถึง Julia อ่านก็ได้ไม่อ่านก็ได้ ขอยาดคลุมดำนะ

    Child and Powell never met, but Child did have a comment about her exploits:
    Judith Jones, senior editor and vice president at Alfred A. Knopf, and Child's editor and friend, shared Child's sentiments with Publisher's Weekly:
    "Julia said, 'I don't think she's a serious cook.' ... Flinging around four-letter words when cooking isn't attractive, to me or Julia," Jones said. "She didn't want to endorse it. What came through on the blog was somebody who was doing it almost for the sake of a stunt."

    ที่มา https://www.chowhound.com/post/julia-thought-julies-blog-643152
    ป.ล. พยายามไปอ่านที่อื่นมาแล้ว controversial มากเว่อ คนพูดนั่นพูดนี่เยอะแยะ ไม่รู้จริงแท้เยี่ยงไร ก็เลยขอรู้เท่าที่หนังบอกก็พอ


    สุดท้ายก็ได้ถ่ายรูปกันในพิพิธภัณฑ์นะ ตัวจริง VS. นักแสดง ส่วนก้อนๆ ข้างล่างรูปนั่นก็คือเนยที่ Julie นำมาฝาก Julia นั่นเอง (Awwww, How sweet!)


    ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของทั้งสองคนนี้เราขอข้ามไปนะ (ไม่เคยมีแฟน ไม่เก้ท) 

    มีประเด็นเร้กๆ ประเด็นหนึ่งที่ทำให้เรามาฉุกคิดต่อแล้วอยากมาแชร์กัน คือตอนที่ Julie เฟลเพราะอะไรสักอย่าง(จำไม่ได้อีกแระ) แล้วแฟนของเธอก็ปลอบด้วยคำพูดที่ดีนะ ถึงมันจะแย่แต่ก็ให้มองในแง่ดีไว้ ทำนองนี้แหละ แล้ว Julie ก็เถียงขึ้นมาว่า "Don't tell me to look on the bright side" อาจจะจำโควตได้ไม่ถูกต้องเป๊ะ ประมาณว่า อย่ามาบอกให้ชั้นมองโลกในแง่ดีตอนนี้ 

    ซีนนี้ทำให้เราคิดถึงตอนที่เพื่อนของเราเล่าให้เราฟังว่า เวลาแฟนสอบได้คะแนนไม่ดีเมื่อไหร่ เพื่อนเราจะพยายามไม่เข้าไปปลอบอะไรมาก เพราะเคยปลอบไปว่า ไม่เป็นไรนะ ครั้งหน้าเอาใหม่ แต่ยิ่งกลับทำให้แฟนรู้สึกแย่ลงไปอีก (ขอยาดเพื่อนเจ้าของเรื่องตรงนี้ด้วยนะ คิดถึงเธอจัง)

    ทั้งสามีของ Julie และเพื่อนของเรานั้นต่างไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายเลย ตรงกันข้ามอีกต่างหาก ทั้งสองคนต่างอยากให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นด้วยซ้ำ แต่คำพูดของทั้งคู่ต่างแสดงความ ignorance (ไม่แน่ใจว่าใช้คำถูกบริบทหรือเปล่า) ออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้ ละเลยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอยู่โดยการหันเหความสนใจไปที่เรื่องอื่นแทน

    เราไม่ได้กำลังจะบอกว่าเรื่องนี้ใครผิด แน่ล่ะว่าถ้าเราบอกว่าเราเจ็บเพราะความหวังดีที่ได้รับมา อีกฝ่ายก็คงจะเจ็บด้วยเหมือนกัน แค่อยาก point out ประเด็นนี้ออกมาเห็นว่าเพราะเห็นว่ามันน่าสนใจ น่าเอามาคุยต่อ คิดเห็นต่างกันอย่างไรก็มาแลกเปลี่ยนกันได้นะ


    อีกอย่างที่ไปเจอมาแล้วอยากแบ่งปันกัน เห็นว่าน่ารักดี สมัยก่อนยุค Julia (จำปีไม่ได้) เดาจากcontextคือยุคที่คอมพิวเตอร์น่าจะยังไม่แพร่หลายหรือยังไม่มี ยังใช้พิมพ์ดีดกันแต่กๆๆ ยุคนั้นเขามีการทำโปสการ์ด(หรือน่าจะเรียกว่าส.ค.ส.) แบบถ่ายรูปเองแล้วแจกจ่ายให้เพื่อนฝูงกันด้วยนะ น่าจะเปรียบได้กับ MMS ในยุคที่เราโตมาหรือ Instagram ในปัจจุบันนี่แหละ 

    อ้างอิงจากที่ดิฉันเกิดปี 1998 ค่ะ

    ไปถ่ายรูปทำโปสการ์ดกัน

    ปั๊มข้อความออกมาเป็นแบบนี้เลยจ้า น่ารักเนอะ

    ไปเจอมา น่าจะของจริง เหมือนกันเด๊ะ


    นอกจากนี้หนังยังนำเสนอเรื่องการใช้ชีวิตอีกด้วย เราก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอก ไม่ใช่ว่าหนังนำเสนอไม่ดีนะ ทำให้เราเข้าใจได้เลยแหละ แต่คงเป็นเพราะช่วงวัยและประสบการณ์ของเราที่ยังไม่มากพอนั่นแหละที่ทำให้เราไม่สามารถอินไปตามสถานการณ์นั้นได้ เรายังไม่สามารถเข้าถึงความเคว้งคว้างของชีวิตวัยทำงาน ความงดงามของความสัมพันธ์ หรืออะไรเทือกๆ ที่คนโตๆ แล้วเขาจะอินกันได้ จะเอาอะไรมาก ฉันก็เพิ่งจะ21เองนะ วัยที่เด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจและดูเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าที่จะเรียกว่าเด็ก

    มาถึงตรงนี้ก็น่าจะพอเก้ทกันแล้วเนอะว่าถ้าบทความนี้ไม่ใช่รีวิว/วิเคราะห์/วิจารณ์แล้วมันคืออะไรกันแน่ (เฉลย: เสียงรำพึงรำพรรณของหญิงสาวที่ไม่อยากโตนั่นเอง)

    จากที่ดูในหนังจะเห็นได้ว่าชีวิตวัยทำงานถ้าไม่หาอะไรทำชีวิตเราก็ดูไร้จุดมุ่งหมายไปเลยทันที ในที่นี้ Julie&Julia มีการทำอาหารและการเขียนเข้ามาเป็นจุดหมายเพื่อเติมเต็มชีวิตของเธอ ส่วนตัวเรานั้นเกิดมาก็ต้องเข้าโรงเรียนมีหน้าที่ตั้งใจเรียนหนังสือ พอมัธยมก็ตั้งใจสอบเข้ามหาวิทยาลัย พอเรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็ต้องตั้งใจเรียนให้จบ แล้วต่อไปก็คงตั้งใจทำงาน กลับบ้าน ทำงาน กลับบ้าน วนซ้ำไปมาโดยไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร อะไรคือความสำเร็จ อะไรคือสิ่งที่เราต้องการ ช่างเป็นปริศนาของเด็กปี 4 คนนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าเรียนจบแล้วจะไปทำอะไรนั้นเป็นความลับของจักรวาล จากนี้จะเอายังไงกับชีวิต จะเป็นยังไงต่อไปก็ยังไม่รู้เหมือนกัน 

    แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็มีการตั้งใจดูหนังและเขียนบล็อกที่กำลังเริ่มต้นนี่แหละ ที่จะยังคงอยู่กับเราต่อไป


    สรุป หลังจากที่ Julia เขียนหนังสือออกมาส่งมอบแรงบันดาลใจให้ Julie ได้อ่านและนำมาเขียนเป็นบล็อกจนถูกตีพิมพ์และนำมาทำเป็นภาพยนตร์ให้เราได้ดูกัน เราก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ทราบซึ้งและได้รับแรงบันดาลใจในการพิมพ์แต่กๆๆ คลอดออกมาเป็นบล็อกที่คุณกำลังอ่านอยู่ตอนนี้ ตู้หูว ตื่นเต้นจัง

    หวังว่าเราจะสามารถช่วยส่งต่อและเติมไฟในชีวิตของคุณได้สักนิดให้คุณได้รู้ว่าชีวิตยังหอมกรุ่นอยู่นะ


    จนกว่าจะพบกันใหม่ (-:

    9 ก.ย. 2019

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
swiftism (@vividswift)
อ่านเพลินดีครับ 5555 เรื่องนี้ยังไม่ได้ดูเลย คงต้องหาเวลาแล้วล่ะครับ
จางเม่ย (@ningthita)
@vividswift ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่ะ you made my day (-: