เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
WILD BRIGHT NEON NIGHT (K/DA Fanfiction)เพลิงRF
But do you know how to bite? (Evelynn x Akali)

  • (เราเขียนมันต่อจาก growl, growl, growl, growl แต่คุณไม่จำเป็นต้องอ่านเพื่อรู้เรื่อง)






    อะไรที่ชวนให้หัวใจวายยิ่งกว่าการมีกูมิโฮะ– อาริคนนั้น– ก้าวเข้ามาในห้องรูหนูของเธอเหรอ?



    ไซเรน



    ขาแทบอ่อนในตอนที่นึกออกว่าเป็นใคร ตายห่า ก็ว่าทำไมเสียงคุ้นๆ



    ถึงจะพยายามรักษาสีหน้าอาการไว้ตอนที่ยื่นมือไปจับ แต่อาคาลิคิดว่าเธอปิดมันไม่ได้อยู่ดี คำพูดที่เคยลื่นไหลตะกุกตะกัก, ปลายนิ้วเย็นเฉียบจนน่าตลก, ไม่แม้แต่จะสู้สายตานั่น รอยยิ้มนั่น ร่างกายตึงเครียดและสับสน เมื่อสัญชาตญาณที่เธอไว้ใจนั้นวอกแวกไปหมด ครึ่งหนึ่งบอกให้รีบบีบมือนั่นไว้, ไม่ต้องแรงนัก แค่เป็นการบอกว่าเธอไม่ได้.. เอ่อ.. กลัว? ส่วนอีกครึ่ง– ลังเลระหว่างการสะบัดมือนั่นทิ้งแล้ววิ่งหนีออกไปเลย กับทำอะไรที่โง่กว่านั้น



    และเมื่อเธอตัดสินใจบีบมือ เอฟเวอลินไม่ได้สะดุ้ง, หรือมีปฏิกิริยาอะไรนัก เมื่อเธอคลายก็ดึงมือกลับตามปกติ มีเพียงตาสีทองที่ลุกวาวขึ้นในแบบที่อ่านไม่ออก



    อะไรวะ



    อาริดึงความสนใจเธอด้วยเอกสาร คอยชี้และอธิบายส่วนที่เธอควรจะพิจารณาในข้อตกลง เหมือนรู้ว่าเธอไม่คิดจะอ่านมันอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรตามที่ว่า เปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งเองก็ดูดีกว่าที่เธอหวังไว้เป็นกอง ความรู้สึกบอกเธอว่าดี, นี่มันดี อาคาลิจึงกดปากกาเซ็นไปง่ายๆ เช่นนั้น ยังมีอีกหลายแผ่นที่เธอต้องเซ็น อาริว่าแบบนั้น ขณะเก็บเอาเอกสารมาตรวจสอบอีกที, ยิ้มให้เธออย่างพอใจ แต่ตอนนี้แค่ใบเดียวก็พอ



    เธอขอตัวออกไปโทรศัพท์ที่ระเบียง บอกว่าต้องรีบแจ้งข่าวให้หลายๆ คนรู้ก่อน



    แล้วในห้องก็เหลือแค่เธอ.. กับเอฟเวอลิน



    การรับรู้นั้นทำให้อากาศในห้องหนักขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอไม่ได้มองไปทางโซฟานัก  บอกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมองมาบ้างรึเปล่า แว่นกันแดดกลับมาปิดบังสายตานั่นเอาไว้อีกครั้ง ถึงอย่างนั้น สาบานได้ว่าเธอรู้สึกถึงมัน, สายตาที่อ่านเธอได้เหมือนหนังสือ ทิ่มแทงอยู่บนผิว ไล่มองขึ้นลงหัวจรดเท้าเหมือนกำลังประเมินค่า, เหมือนกำลังหาอะไรซักอย่าง อาคาลิทำได้แค่ขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด



    มันยากที่จะวางตัวเมื่อสถานะของคนตรงหน้านั้นช่างหลากหลาย: ภัยคุกคาม, คนท่าทางไม่น่าไว้ใจ, หญิงสาวแปลกหน้า, ว่าที่เพื่อนร่วมงาน, ศิลปินที่เธออาจจะคลั่งไคล้อยู่ไม่น้อย นั่น ทั้งหมดนั่น, ไม่ควรรวมกันอยู่ในตัวคนๆ เดียวได้



    บางทีเธอควรจะชวนคุย? ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในหัว แต่จะคุยอะไรล่ะ? นั่นคือเอฟเวอลินนะ สภาพอากาศเรอะ? วันนี้อากาศดีนะคะ? เธอไม่–



    “เธอจะเป็นแบบนี้ตลอดรึเปล่า?”



    อาคาลิเกือบจะสะดุ้ง เกือบ– แค่เกือบ เก่งมากอาคาลิ– เธอหันไปหาต้นเสียง คำพูดที่ออกมานั้นไม่มั่นคงอย่างที่เธอตั้งใจนัก “..แบบนี้?”



    คนพูดยักไหล่ “ทำท่าระแวงเหมือนฉันจะพุ่งไปกัด”



    ก็คุณให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งในห้องเดียวกับสิงโต เธอตอบในใจ ถ่วงเวลาด้วยการหัวเราะแห้งๆ พยายามกลบความประหม่าในน้ำเสียง “ฮ่ะๆ.. ชัดขนาดนั้น? ก็.. มีบ้าง แต่เดาว่าฉันไม่ใช่คนแรกหรอกมั้ง”



    มุมปากยกเป็นรอยยิ้มน้อยๆ , อาคาลินับว่าเป็นการยอมรับ “ฉันไม่กัดเธอหรอก อาคาลิ” เอฟเวอลินว่า และเธอต้องกัดปากห้ามรอยยิ้มเมื่อได้ยินชื่อตัวเองในเสียงของไซเรนแบบเต็มปากเต็มคำ ใครจะไปนึกฝันว่าวันหนึ่ง–



    “เว้นแต่เธอจะชอบอย่างนั้น”



    อาคาลิเบิกตากว้าง ประโยคอ้อยอิ่งนั้นทำให้สมองเธอมีภาพแปลกประหลาดที่ไม่สมควรสุดๆ ผุดขึ้นมาหลายสิบ



    เดี๋ยว! นั่น- ไม่- นั่นมันควรจะหมายความว่า-”



    “อะไรเนี่ย หน้าแดงหมดแล้ว” เอฟเวอลินพึมพัมปนหัวเราะ ก่อนที่มือจะขยับลดแว่นกันแดดออกจากใบหน้า ส่ายหัวไปมา อาคาลิเสตาหลบ, ไม่รู้จะเอามันไปไว้ตรงไหน ยังไม่ได้เตรียมใจจะสบตากับเธออีกครั้ง “โถ่เอ้ย ฉันแค่แหย่เล่นน่า”



    “ฉัน- รู้หรอก..”



    สีหน้านั่นบอกชัดว่าไม่เชื่อซักนิด แล้วสายตาพราวระยับที่มองมาก็ชวนให้ร้อนๆ หนาวๆ อย่างบอกไม่ถูก, เกือบจะดูล้อเลียน



    ครั้งนี้อาคาลิตัดสินใจหรี่ตากลับไป “คุณมองฉันแบบนั้น.. อีกแล้ว” เธอทำเสียงแข็ง “มีปัญหาอะไรกันแน่?”



    ปฏิกิริยาตอบรับกลับน่าแปลกใจ เอฟเวอลินยิ้มกว้างขึ้นอีก, ท่าทางชอบใจยิ่งกว่าอะไร “ดุจังเลย” เธอฮัม เอียงหัวน้อยๆ เสียงถูกกดต่ำลงจนมันแหบพร่า “ใครจะกัดใครกันแน่เนี่ย?”



    อาคาลิหน้าร้อนวูบ ภาพผุดตามขึ้นมาอีกเป็นสิบ แต่ก่อนที่เธอจะตั้งสติแล้วตอบโต้อะไรไปได้ เอฟเวอลินก็พูดต่อ “ฉันแค่กำลังคิดว่า.. เธอต่างจากในวิดีโอทั้งหลายมากอยู่ เคยมีคนบอกไหม?”



    อาคาลิพยายามนึกแล้ว จริงๆ นะ “ก็..” เธอตอบ โคลงหัวไปมา “ไม่บ่อย ทำไม? ต่างขนาดนั้น?”



    เอฟเวอลินเลิกคิ้ว “ในวิดีโอพวกนั้นเธอดู..” นั่น อีกแล้ว สายตานั่นอีกแล้ว พิจารณาเธอหัวจรดเท้า เมื่อมันย้อนขึ้นมาถึงดวงตา อาคาลิไม่หนี เห็นสีทองในตานั้นครึ้มลง “..วางมาดหลือเกิน, ที่รัก ก้าวร้าว ดุดัน ปากดี” น้ำหนักรวมถึงอารมณ์บางอย่างถูกกดลงมาในคำสุดท้าย เธอกล้าพูดว่าเอฟเวอลินคงเห็นอะไรที่ชอบเข้าให้ “ฮิปฮอปนินจา– ไม่เคยก้มหัว, ไม่เคยกลัว, ไม่เคยยอมแพ้ ไม่สนว่าคู่แข่งจะเป็นใครหน้าไหน หรือตัวใหญ่กว่าเธอแค่ไหน เธอก็จะก้าวขึ้นไป, คว้าไมค์ไว้ แล้วไม่ปล่อยโอกาสให้ใครมาเอามันไปจากมือ พร้อมชนกับใครก็ตามที่เข้ามาขวางทาง”



    อา จากคำพูดคุ้นหูนั่น.. ท่าทางคงไปดูวิดีโอตอนเธอเจอกับแรพคิงมา อาคาลิรับฟังเงียบๆ นึกอายกับคำพูดตัวเองอยู่ไม่น้อย บางครั้งเธอก็ปล่อยตัวไปกับอารมณ์เกินหน่อย แต่รู้ตัวดีว่ามีรอยยิ้มเผล่บนใบหน้า ไม่, โอ้ ไม่ นั่นไม่ใช่คำชมแรกที่เธอได้รับ แต่นี่คือเอฟเวอลิน แค่รับรู้ว่าเอฟเวอลินเคยดูเธอ, ฟังเพลงของเธอ, นั่งอยู่ในห้องของเธอ แค่นั้นก็มากพอจะทำให้อาคาลิวิ่งกลับโรงฝึกไปหัวเราะใส่หน้าทุกคนได้แล้ว คำชม? แค่โบนัสน่า–



    “ไหน บอกทีซิ นั่นเป็นแค่ตัวตนที่เธอสร้างในสนามรึเปล่า? แม่สาวคนเก่งคนนั้นน่ะ”



    ความคิดในหัวชะงักกึก



     อาคาลิเลิกคิ้ว เพิ่งสังเกตในตอนนั้นว่ารอยยิ้มของคนพูดดูมาดร้ายกว่าที่ผ่านมา



    “เพราะฉันเคยเจอ.. อา ไม่สิ เคยได้ยินมาว่าหมาเห่าไม่กัด” เอฟเวอรินพูดกลั้วหัวเราะ ว่าต่อเสียงหวาน "เห่าซะน่ากลัว แต่เจอของจริงเข้าหน่อยก็หัวหด"



    "แล้วเธอล่ะ อาคาลิ" หล่อนครางชื่อเธอในคอ ฟังเหมือนเป็นการอนุญาตให้พูดมากกว่าถาม "กัดเป็นรึเปล่า?"



    ความรู้สึกหลังจากนั้นเป็นอะไรที่อธิบายได้ยาก เพราะงั้นเธอจะสรุปมันด้วยคำง่ายๆ: ของขึ้น 



    เธอหยัดตัวลุกขึ้นยืน เอฟเวอลินตอบสนองด้วยการเลิกคิ้ว ขยับไขว้ขา จับจ้องตามการเคลื่อนไหว ด้วยท่าทางใคร่รู้มากกว่าตื่นกลัว ขณะที่เธอเดินช้าๆ มาที่โซฟา จนเธอมาหยุดอยู่ตรงหน้า อาคาลิเอียงคอ นิ้วเธอเย็นเฉียบกว่าตอนแรกเสียอีก เเต่ครั้งนี้สัญชาตญาณเธอไม่ลังเล มันกู่ร้องเป็นเสียงเดียวกัน สู้สู้สู้



    และเมื่อเธอพูด, มันไม่ตะกุกตะกักอีกแล้ว เชื่องช้าและชัดเจน เกือบจะฟังดูเหมือนเสียงของคนอื่น 



    “ขอโทษแล้วกันถ้าฉันจะ– ปากดี เกินไปนิดตอนฟรีสไตล์แบบนั้น บังเอิญว่าหากินด้วยอะไรแบบนี้มาตลอด ซึ่งโอเค ถ้ารสนิยมเรามันไปคนละทาง คุณคงจะไม่อินเท่าไหร่" เธอกดเสียงต่ำ สังเกตว่ารอยยิ้มยังไม่หายไปจากหน้าอีกฝ่าย "และฉันไม่รู้ว่าคุณไปเจอหมาที่ไหนมันเห่าใส่มา หรือโมเมเหมารวมเอาเองหรอกนะ.."



    "แต่ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน ความประมาทเป็นหนทางสู่ความห่าเหวอะไรซักอย่าง" อาคาลิเว้นช่วง โน้มตัวลงไปอีกนิด ค้ำหัวหล่อนเอาไว้ สายตาปรายลงไปที่ลำคออย่างไม่ปิดบัง "..ของแบบนี้ ทำไมไม่ลองพิสูจน์เอาเองล่ะ?”



    เธอได้รับเสียงสูดหายใจยาวดังเป็นคำตอบ



    และเมื่อเธอกดหน้าลง ประสานสายตาเข้าตรงๆ กับอีกฝ่าย ตรึงดวงตาคู่นั้นไว้เช่นเดียวกับที่ถูกมันตรึง มันให้ความรู้สึกราวกับถูกมองทะลุเข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุด เห็นทั้งความท้าทายพราวระยับอยู่ในนั้น ทั้งอย่างอื่นที่เธอระบุชี้ชัดไม่ได้ว่าเป็นอะไร และอาคาลิทำได้แค่กลั้นหายใจ รู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อเกร็งเขม็งไปทั้งตัว ใจเต้นเเรงรัว มัน.. คงเป็นไปตามสัญชาตญาณ ปฏิกิริยาตอบโต้เมื่อเจอกับอ้ันตราย เตรียมพร้อมที่จะ–



    แล้วเอฟเวอลินก็หัวเราะออกมา



    มันเป็นแค่เสียงหัวเราะต่ำๆ สั้นๆ ในลำคออย่างพึงใจ แต่ความกดดันก่อนหน้าแทบจะหายไปราวกับสั่งได้ เธอโน้มตัวจากพนักพิงมาด้านหน้า แขนเท้ากับหน้าขาตัวเอง ระยะห่างระหว่างเราลดลงทีละนิด ใกล้ใกล้ใกล้ ใกล้จนอาคาลิเห็นประกายบางอย่างในตาสีทองจัด ถ้าก่อนหน้าเธอมองหาอะไรอยู่ล่ะก็ ตอนนี้ก็ดูเหมือนเธอจะพบมันเข้าแล้ว 



    “ถ้าเธอว่าแบบนั้น” เอฟเวอลินพรูลมหายใจ ร่างกายผ่อนคลายลง รอยยิ้มและน้ำเสียงไม่ได้เคลือบยาพิษเท่าที่ผ่านมา ไม่อย่างนั้นก็ซ่อนมันเเนบเนียนขึ้น เธอเอนตัวกลับขึ้นไปพิงพนักโซฟา “ฉันถือว่านั่นเป็นคำอนุญาตแล้วนะคะ อาคาลิ”



    อาคาลิกะพริบตา ไม่เข้าใจกับคำพูดเท่าไหร่ เข้าใจไปทางไหนล่ะนั่น? แต่ก็ถอนหายใจบ้างเมื่อบรรยากาศตึงเครียดนั้นคลายตัวไป ค่อยๆ ก้าวถอย หย่อนตัวลงนั่งบนโต๊ะกาแฟ เธอเกือบลืมไปแล้วว่านี่คือห้องของใคร “แต่.. บางทีเราน่าจะเริ่มด้วยการ.. ทำความรู้จักกันเฉยๆ? คุยเล่น?” แบบที่คนปกติเขาทำ



    “ได้สิ เรื่องอะไรดีล่ะ?”



    อาคาลินิ่งไป.. ครู่ใหญ่ “..วันนี้.. อากาศดีนะคะ?”



    เอฟเวอลินหลุดหัวเราะอีกครั้ง เสียงดังกว่ารอบก่อน



    และเมื่ออาริเลื่อนประตูกลับเข้ามา เธอก็ไม่ถามอะไรซักคำ





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
จัง อิ๊ง (@fb2395460735883)
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ;__;