เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
จดหมายจากลาดัคห์ปลายฝัน พันดาว
Day 1 : นมัสเต อินเดีย Hello India
  •  19 กรกฎาคม พ.ศ.2559

    ปลายฝันที่รัก

    และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึงท่ามกลางความวุ่นวาย ด้วยความที่บ้านของฉันอยู่ในทำเลเหมาะแก่การเป็นเวนิสกลางกรุงเสียเหลือเกินและอย่างไม่เต็มใจเสียด้วยเพียงหลังห่าฝนเพียงไม่กี่ชม เพื่อไม่ให้พลาดเที่ยวบินอย่างแน่นอน ฉันจึงเตรียมการขนกระเป๋าไปฝากคอนโดบ้านเพื่อนสนิทแถบกล้วยน้ำไทตั้งแต่วันอาทิตย์ก่อนออกเดินทาง 2 วัน

    อาทิตย์ที่ผ่านมาไลน์กลุ่มอื้ออึงด้วยความสับสนของการตัดสินใจในเหล่าสมาชิกว่าจะกินยาdiamox ที่เตรียมไปตามสูตรดีไหม คือ 1เม็ดเช้าเย็นห่างกัน 12 ชม รับประทานติดต่อกัน 2 วันก่อนขึ้นเขา และต่อเนื่องอีก 2 วันหลังขึ้นเขา ฉันเองตัดสินใจกินยา แต่ลดเป็นครึ่งเม็ด โดยเริ่มจากเช้าวันจันทร์ 1 วันก่อนออกเดินทางนั่นเอง วันนั้นตลอดทั้งวันรู้สึกตัวเองง่วงๆงงๆ มีอาการชาตามลิ้นและส้นเท้า คิดเลขผิดๆถูกๆทั้งวัน ทั้งๆที่มีงานต้องสะสางเตรียมไว้ก่อนพักร้อนมากมาย

    ได้เวลาหกโมงเย็นถึงการอันควรแก่การปิดคอมพิวเตอร์ ฉันเปลี่ยนรองเท้าจากส้นสูงที่ใช้สวมระหว่างทำงานมาเป็นรองเท้ากึ่งกีฬา กึ่งใส่เที่ยวแบบทะมัดทะแมงที่เตรียมไว้ จากนั้นเดินแวะไปซื้อซูชิแบบนำกลับที่สถานรถไฟฟ้าสยาม แล้วอาศัยแท๊กซี่มุ่งหน้าไปคอนโดเพื่อนที่กล้วยน้ำไทซึ่งนำฝากกระเป๋าไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังอาหารเย็นจัดยารอบเย็นไปอีกครึ่งเม็ด จากนั้นอาบน้ำแล้วนั่งจัดกระเป๋าอีกรอบหน้าทีวีเรื่องโปรด ทำไมมันง่วงอย่างนี้นะ ฉันตัดสินใจเข้านอนแต่ 3 ทุ่มแต่ก็หลับไม่สนิท คงเพราะแปลกที่

    พอตี 4 นาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ดังขึ้น ยังรู้สึกเหมือนไม่ได้หลับเลย อาบน้ำแต่งตัวเสร็จสรรพ ปลุกเพื่อนคนดีไปส่งที่สนามบิน นั่งรถไปถึง 6โมงเช้าพอดี เพื่อนร่วมทริปนั่งรอกันสลอนอยู่แล้ว ทั้งเพื่อนๆกลุ่มฉันเอง และคนอื่นในทัวร์ด้วย คุณพี่ผู้ช่างคุยคนเดิมซึ่งพบกันเมื่อครั้งทำวีซ่าเดินมาคุยแล้ว ถามว่าทานยากันหรือเปล่า ตัวแกเองไม่ได้ทานเพราะแพ้ซัลฟา ยาDiamox มีส่วนผสมของซัลฟาด้วย อ้าว ตายละสิ ตัวฉันเองก็แพ้ซัลฟาเหมือนกันจึงตัดสินใจหยุดกินนะบัดนั้น

    พวกเราเริ่มทะยอยกันเช็คอิน และผ่านพิธีการทางศุลกากรตามปกติ ช่วงเช้าคนเดินทางเยอะ แถวค่อนข้างยาว เมื่อผ่านเข้าไปได้ ยังพอมีเวลาอยู่ น้องอ๊ะจึงชวนพวกเราไปทานอาหารเช้า ในคลับของบัตรเครดิตแห่งหนึ่ง พวกเราจึงอิ่มอร่อย ก่อนมานั่งรอที่ประตูทางออกขึ้นเครื่อง จนได้เวลาตกฟากประมาณ 9 โมง สายการแอร์อินเดียนำพวกเรามุ่งหน้าสู่นิวเดลี ระยะเวลาจากเมืองไทยถึงนิวเดลีใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ

    ระหว่างทางฉันเลือกเพลิดเพลินกับหนังอินเดียโรแมนติกคอมเมดี้น่ารักภาพสวยถ่ายทำในอิตาลี ชื่อ ทามาชา (Tamasha) นำแสดงโดยรันเปอร์ กาปูร์(Ranbir Kapoor) และ ดีปิกา ปาดู (Deepika Padu) เหตุที่เลือกหนังเรื่องนี้เพราะเคยดูเรื่องบาฟี่ (Barfie) ซึ่งแสดงนำโดยพระเอกคนนี้มาก่อนเมื่อครั้งไปสิกขิมแล้วรู้สึกชอบ สำหรับเรื่องทามาชา เริ่มเรื่องง่ายๆจากพระเอกและ นางเอกต่างคนต่างพักร้อนไปเที่ยวอิตาลี นางเอกทำกระเป๋าและพาสปอร์ตหาย พระเอกมาเจอเข้าพอดีจึงให้ความช่วยเหลือ หลังจากเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันทั้งสองเริ่มตกหลุมรักซึ่งกันและกัน หนังอินเดียสมัยนี้ถ่ายสวย ท่าเต้นทันสมัยไม่แพ้หนังเกาหลีเลยทีเดียว ช่วงที่อยู่อิตาลี ตัวเอกทั้งสอง สนุกสนาน ร่าเริงและมีความสุขกันมาก สุดท้ายต่างต้องจากกันกลับมาสู่ประเทศอินเดีย เนื่องจากนางเอกอาศัยอยู่มุมไบ ในขณะที่พระเอกทำงานอยู่เดลี จึงตามหากันไม่เจอ จนมาวันหนึ่งนางเอกมีเหตุให้ย้ายมาทำงานที่เดลี จึงได้มีโอกาสเจอกันอีกครั้งหนึ่ง พระเอกเป็นวิศกรของบริษัทแห่งหนึ่ง ชีวิตดำเนินเป็นกิจวัตรประจำวันมาก ตื่นเช้ามา แต่งตัวผูกเนคไท เข้าบริษัท ประชุมพรีเซนต์งานให้ลูกค้า ตอนเย็นนัดกินข้าวกับเพื่อนแล้วเข้านอน ตื่นเช้ามาชีวิตก็วนไปเหมือนเดิม นางเอกมาเจอคราวนี้ รู้สึกว่าพระเอกเปลี่ยนไปไม่เป็นตัวเองเหมือนเมื่อครั้งที่เคยเจอกันที่อิตาลี จึงอึกอักเมื่อพระเอกขอแต่งงานด้วย พระเอกรู้สึกอกหัก ในขณะเดียวกันที่จริงแล้วเค้าก็อึดอัดเรื่องที่ทำงานด้วย จึงก่อเรื่องขึ้นที่ทำงานแล้วตัดสินใจลาออกกลับบ้านที่ต่างจังหวัด แล้วจำได้ว่าตอนเด็กเคยชอบฟังนิทาน สุดท้ายเขาค้นพบตัวเอง ผันตัวเองมาเป็นนักเล่านิทานที่ตัวเองรัก และประสบความสำเร็จในที่สุดทั้งงานและความรัก ที่เล่ามาจนถึงป่านนี้เพราะรู้สึกว่าชีวิตพระเอกในเรื่องนี้ตรงกับตัวฉันและพนักงานที่ทำงานประจำอีกหลายคนเป็นอย่างมาก ชีวิตดำเนินเป็นกิจวัตรเดินตามเข็มนาฬิกา สุขบ้าง เครียดบ้างไปตามสภาพ เวลาที่ไม่ต้องคิดอะไรและเป็นตัวเองที่สุดก็ตอนไปเที่ยวนี่แหละ แต่ชีวิตจริงของฉันไม่ใช่นิยาย ชีวิตคงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงอย่างในหนังไม่ได้ ได้แต่อาศัยความทรงจำอันเป็นสุขจากตอนไปเที่ยวมาบรรเทาเบาบางความรู้สึกเป็นทุกข์เมื่อคืนสู่ชีวิตจริง

    ทริปนี้ทางทัวร์สั่งอาหารพิเศษผัดไทยกุ้งสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วย หลังจากกินอิ่มนอนหลับสบาย เวลา 4 ชั่วโมงจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประมาณเที่ยงกว่าตามเวลาท้องถิ่นก็ถึงนิวเดลี เวลาที่อินเดียต่างกับไทยประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง วูบแรกที่ก้าวออกจากเครื่องบินก็สัมผัสอากาศร้อน อาจจะพอๆหรือมากกว่าเมืองไทย ทันทีที่ผ่านการเดินพิธีการศุลกากรเสร็จ ฝ่ายทัวร์ในอินเดียที่รอรับจัดแจงพาไปทานอาหารเที่ยงทันทีโดยไม่ถามเลยว่าหิวไหม อาหารมื้อแรกในอินเดียกลับเป็นอาหารจีนเสียนี่. แต่ก็เป็นอาหารจีนที่คงกลิ่นไอของความเป็นอินเดียไว้อย่างครบถ้วน เริ่มด้วยซุปข้าวโพดใส ตามด้วยไก่ทอด ผัดมะเขือ มันฝรั่งทอดราดซอสแดงๆ หวานๆและหมี่ผัด

    หลังอาหารพวกเราได้มีโอกาสเยี่ยมวัดฮินดูอัครชาตามซึ่งดูแล้วเป็นวัดสร้างขึ้นใหม่อลังการดูคล้ายวัดร่องขุนของเราแต่มีขนาดใหญ่กว่า น่าเสียดายที่ไม่อนุญาตให้นำกล้องถ่ายรูปเข้าไป ที่จริงแล้วเขาเข้มงวดมาก แทบจะไม่ให้เอาอะไรเข้าไป ขนาดเอาเงินใส่ซองจดหมายไว้ในกระเป๋ากางเกง ยังให้ดึงซองเงินมาโชว์เลย หลังจากโดนลูบค้นเสียทั้งตัว หลังจากนั้นพวกเราได้มีโอกาสแวะไปถ่ายรูปที่ประตูชัยอินเดีย อากาศร้อนและแดดแรงมาก นักท่องเที่ยวชาวอินเดียอยู่กันหนาแน่นเสมอที่นี่ แม้หลายต่อหลายครั้งที่เรานั่งรถผ่านมาอีก ก็มักจะเห็นผู้คนอยู่เต็มเสมอ แต่บรรยากาศเช่นนี้สำหรับพวกเราแล้ว ไม่เอื้ออำนวยให้ถ่ายรูปอยู่ได้นานเลย

    ไกด์ท้องถิ่นหนุ่มแขกหน้าคมที่มาต้อนรับ ดูแข็งๆและเย็นชา ท่าทางราวกับโดมผู้จองหองเล่าให้ฟังว่า  เดลีแท้จริงแล้วเป็นเมือง 2เมืองที่อยู่ติดกัน คือเดลีเก่าที่รู้จักในนามว่านครอินทปัตถ์ และเดลีใหม่ คุณไกด์พยายามยกสถิติประชากรต่อพื้นที่มาเปรียบเทียบ โดยสรุปแล้ว อินเดียประชากรหนาแน่นกว่าที่อื่นใดในโลก ซึ่งระหว่างที่อยู่บนรถมองออกไปข้างถนนก็พอเห็นอยู่โดยไม่ต้องใช้ตัวเลขทางสถิติมาอ้างอิง ระหว่างทางที่ผ่านรถหนาแน่นไม่น้อย ดูเหมือนมากกว่าและเบียดเสียดกันมากกว่ากรุงเทพเสียอีก น่าแปลกที่เห็นรถฮุนได และซูซูกิสวิฟท์ค่อนข้างเยอะ อาจจะเป็นเพราะขนาดเล็กเหมาะกับการจราจรที่หนาแน่นในเมืองก็เป็นได้ ใกล้กันเป็นรถริกชอร์ หรือรถตุ๊กๆเหมือนบ้านเราหลังคาเหลืองครึ่งล่างเขียวดูสะดุดตาอยู่ท่ามกลางรถยนต์ทั่วไปสีขาวหรือเงินเป็นส่วนใหญ่             

          

    ระหว่างที่รถติด หนุ่มบังเดินแบกถาดมะพร้าวตัดเป็นชิ้นๆเหมือนแตงโมบ้านเราเดินขายอยู่ข้างรถ                            


    มองออกไปไกลอีกหน่อยเห็นรถเข็นข้างทาง ขายน้ำมะนาวกันเยอะมาก นัยว่าช่วยรักษาหวัด ที่นี่ฝุ่นเยอะคนเป็นหวัดกันง่าย เราใช้เวลาอยู่บนถนนร่วมชั่วโมง จากนั้นแวะรับประทานอาหารเย็นในภัตตาคารแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในย่านที่ป็นบ้านพักของคนระดับกลาง ตกแต่งดูร่วมสมัย คราวนี้เป็นอาหารอินเดียฉบับร่วมสมัยรสชาดใช้ได้ ความจริงเวลาเราทานอาหารอินเดียแท้ๆที่เป็นตัวของตัวเองกลับรู้สึกอร่อยกว่า อาหารที่พยายามดัดแปลงให้เป็นอาหารจีนแต่ยังคงกลิ่นอินเดียเสียอีก เสียอย่างเดียวแอร์ร้อนไปหน่อย จากนั้นนั่งรถอีกเป็นชั่วโมงเหมือนกัน หลับแล้ว หลับอีก จึงมาถึงโรงแรมซึ่งอยู่ใกล้สนามบินเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย เป็นอันหมดสิ้นวันแรกในอินเดีย

    จาก คนต่างแดน

       

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in