เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
my nineteenminnie2540
-
  • เพื่อที่จะได้ไม่เสียใจกับการเลือกในวันนี้

    ฉันจะเชื่อตัวเองในช่วงเวลานี้

    ฉันจะอยู่ข้างๆ เธอ

    ไปจนกว่าอายุสิบเก้าที่มีเพียงครั้งเดียวจะสิ้นสุดลง


    9-TEEN – SEVENTEEN


    -


    ชีวิตของคนเราต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกมากมาย ยิ่งโตขึ้นมากเท่าไร ก็ยิ่งได้เจอตัวเลือกที่ยากกับการตัดสินใจมากขึ้นเท่านั้น

    และเมื่อรู้ตัวอีกที

    เขาก็ก้าวข้ามผ่านอายุสิบแปดมาเป็นอายุสิบเก้าปีโดยสมบูรณ์แบบแล้ว



    ช่วงอายุสิบเก้าปีเป็นช่วงที่เต็มไปด้วยความสับสนที่สุด

    เพราะสิ่งที่เลือกหลังจากนี้อาจจะกลายมาเป็นทั้งชีวิต


    มหาวิทยาลัยที่อยากเข้า’

    ‘คณะที่อยากเข้า’


    “จะนั่งจ้องมันอีกนานแค่ไหน”

    จินเงยหน้าขึ้นจากแบบสอบถามไปมองเจ้าของเสียงพูดที่ตวัดขานั่งคร่อมเก้าอี้ตรงหน้าเขา ก่อนจะวางแขนทั้งสองบนผนักพิงและวางคางเกยทับ

    “จนกว่าจะมีตัวอักษรผุดขึ้นมามั้ง”

    “จ้องให้ตายก็ไม่มีอะไรผุดขึ้นมาให้มึงหรอก รีบเขียนเหอะ”

    “ก็ไม่รู้จะเขียนอะไรนี่หว่า”

    ฮาวขมวดคิ้ว “ถามจริง”

    “ตอบจริง”

    “มึงไม่มีมหา’ ลัยกับคณะในใจเลยเหรอ”

    “ไม่มี”

    ที่ผ่านมาจินไม่เคยต้องมานั่งปวดหัวกับการเลือกมาก่อน เรื่องโรงเรียนที่สอบเข้าตอนม.ต้นแม่เป็นคนเลือกให้ เขาก็แค่สอบเข้าให้ผ่าน ส่วนเรื่องเลือกสายตอนม.ปลายก็แค่เลือกตามฮาว แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป เขาไม่อาจเลือกตามใครได้แล้ว เพราะการเลือกครั้งนี้ส่งผลถึงอนาคตในระยะยาว

    เขาจำเป็นจะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง

    “ว่าแต่มึงเขียนมหา’ ลัยกับคณะอะไรลงไป”

    “ไม่บอก บอกไปเดี๋ยวมึงก็เขียนตามกู”

    “เห็นกูเป็นคนขี้ลอกขนาดนั้นเลย?”

    “ขนาดตอนเลือกสายยังเลือกตามกู มึงคิดว่าไงล่ะ”

    “ก็กูไม่รู้จะเรียนอะไร”

    “นั่นไง แล้วมันต่างจากตอนนี้ตรงไหน”

    ด้วยความที่เถียงไม่ออก จินเลยแยกเขี้ยวแสดงความขัดใจส่งไปแทน ซึ่งมันก็ทำให้ฮาวหัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจใหญ่

    ดีจริง มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

    “อย่าทำหน้าบูดดิ”

    ฮาวยื่นนิ้วชี้มาจิ้มแก้มเขาซ้ำๆ อย่างจงใจแกล้ง เขาส่งสายตาพิฆาตไปให้หนึ่งดาบมันถึงยอมหยุด แล้วเปลี่ยนมาเข้าโหมดจริงจัง

    “มึงลองคิดให้ดีก่อนจิน กูว่ามันเป็นไม่ได้ที่จะไม่มีอะไรมึงอยากเรียนจริงๆ”

    “ไม่มี”

    “รีบตอบเกินไปละ บอกให้ลองคิดให้ดีก่อน”

    “คิดดีแล้ว มันไม่มีก็คือไม่มีไง”

    “มันไม่มีเพราะมึงคิดไปเองว่ามันไม่มีหรือเปล่า”

    จินเงียบ อาจจะเป็นอย่างที่ฮาวว่ามาก็ได้ เพราะเขาคิดไปเองว่ามันไม่มีตัวเลือกให้เขาเลือกก็เลยเลือกอะไรไม่ได้

    “ไอ้ลูกหมาเอ๊ย”

    อีกฝ่ายยื่นมือมายีผมเขาซะจนยุ่งฟู จินปัดมือนั้นออกและเถียงกลับ

    “มึงสิไอ้ลูกหมา”

    ฮาวไหวไหล่กับการโต้ตอบของเขา

    “ถ้าไม่มีตัวเลือกให้มึงเลือก มึงก็สร้างขึ้นมาใหม่เลยสิ”

    “พูดง่ายดีเนอะ”

    “แล้วทำไมจะต้องทำให้ยากด้วย”

    ยังไม่ทันที่จินจะได้ตอบอะไร เสียงออดบอกเวลาเปลี่ยนคาบเรียนก็ดังขึ้น ฮาวที่โดนจับแยกไปนั่งคนละฟากกับเขาก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมา

    “ชีวิตมันก็ยากอยู่แล้ว อย่าทำให้มันยากไปกว่านี้เลย ไว้ค่อยคุยกันตอนพักเที่ยง”

    จินมองตามแผ่นหลังของเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่ม.ต้นไป ก่อนจะย้ายสายตากลับมามองแผ่นกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะอีกครั้ง นึกตามคำพูดนั้นไปแล้ว มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นมือเขาก็ขยับบังคับปากกาให้ขีดเขียนเติมเต็มข้อความลงในช่องไม่ให้เว้นว่างอีกต่อไป

    นั่นสินะ ก็แค่ต้องทำให้มันง่ายที่สุด

    เรื่องมันก็เท่านั้นเอง


    ช่วงอายุสิบเก้าปีเป็นช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน

    หากเผลออ่อนข้อลงเมื่อไร เราจะกลายเป็นฝ่ายแพ้


    “คะแนนแกทแพทมึงเป็นไง”

    จินทำหน้าละเหี่ยใส่คนถามอย่างไม่ปิดบัง อุตส่าห์นัดกันออกมาเที่ยวผ่อนคลายหลังผ่านสนามสอบ แต่คำถามแรกที่เจอหน้ากันกลับเป็นคนคำถามชวนเครียดอย่างคำถามนี้เนี่ยนะ เชื่อเขาเลย

    “ก็...”

    “ไม่เอาคำตอบว่าก็ดี”

    เขากลอกตาไปมา “แตะสองร้อย”

    “ว้าว เก่งเหมือนกันนะเราน่ะ”

    “คำพูดคำจามึงนะฮาว เดี๋ยวกูก็ถีบเข้าให้”

    ฮาวรีบเขยิบออกตัวห่างเหมือนกลัวว่าจะโดนเขาถีบตามที่ลั่นวาจาไว้จริง จนเขาต้องยื่นมือไปดึงมันกลับมาเดินใกล้ๆ เหมือนเดิม

    “ไม่ถามกูกลับหน่อยเหรอ”

    “เหอะ ไม่ล่ะ กูไม่อยากคุยเรื่องนี้ เครียด”

    “อะไรมันจะขนาดนั้น”

    พวกเขาทั้งสองคนเดินฝ่าแดดร้อนจนมาถึงป้ายรถเมล์ในที่สุด เก้าอี้แถวสำหรับนั่งรอรถเมล์เต็มแล้ว เขากับฮาวเลยต้องยืนรอตรงริมๆ แทน

    “ว่าแต่มึงจะลงแกทแพทรอบสองไหม”

    “ไอ้ฮาว กูเพิ่งบอกว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้”

    “สักหน่อยเถอะ เดี๋ยวพอรถเมล์มากูจะไม่พูดถึงแล้ว จะรูดซิปปากแน่นเลย โอเคป่ะ”

    มันทำท่ารูดซิปปากก่อนทำตาปริบๆ น่าหมั่นไส้ใส่ ไวเท่าความคิด เขาเลยผลักหน้ามันหันไปอีกทางด้วยความรำคาญ

    ถ้าไม่ติดว่าไม่มีเพื่อนคนอื่นให้คบ เขาคงเลิกคบมันไปนานแล้ว เหอะ

    “ไม่สมัคร กูพอใจกับคะแนนรอบนี้”

    แต่นั่นแหละ ก็เป็นเขาอีกอยู่ดีที่ตามใจมัน

    “พอใจหรือขี้เกียจไปสอบกันแน่”

    “มึงเลิกรู้ทันกูสักทีเถอะ เบื่อ”

    ฮาวยักไหล่ใส่ประมาณว่า ‘ช่วยไม่ได้’ ก่อนจะร่ายความอัดอั้นในใจใส่

    “ไม่ใช่มึงคนเดียวหรอกที่ขี้เกียจ กูก็เหมือนกัน เดี๋ยวก็ต้องลงสอบนู่นลงสอบนี่ ต้องมาแย่งกันเลือกสนามสอบใกล้บ้าน เว็บล่มทีไอ้ที่เลือกไว้ก่อนหน้าก็ปลิว แถมค่าสมัครสอบก็แพงฉิบหาย ชีวิตเด็กม.6 ประเทศนี้แม่งโคตรบัดซบเลย”

    “บ่นเหี้ยอะไรของมึงนักหนา”

    “หรือมึงว่าไม่จริง”

    “จริง”

    นอกจากต้องโดนบังคับให้เรียนบางวิชาที่เอาอะไรไปใช้ในชีวิตจริงไม่ได้ จินก็ว่าระบบการเรียนการสอนเหมือนทำมาเพื่อจำไปสอบอย่างเดียว เรียนไม่รู้เรื่องก็ต้องไปเสียค่าคอร์สกวดวิชาเป็นพัน ไม่อย่างนั้นความรู้ไม่พอจะเอาไปแข่งกับใครเขาได้ เด็กก็ตะบี้ตะบันเรียนไปเถอะ สอบได้ไม่ได้เป็นอีกเรื่อง

    สิ้นหวังแล้วประเทศไทย

    “มึงสู้ไหม”

    จินเงยหน้าขึ้นสบตากับฮาวที่จ้องมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว

    “มึงล่ะ”

    “กูไม่ได้ถามเพื่อให้มึงมาถามกลับป่ะ”

    “แล้วจะตอบไหม”

    ฮาวถอนหายใจยาว “เออ ถึงมันจะเหนื่อย แต่กูจะกัดฟันสู้จนถึงที่สุด”

    เกิดเป็นเด็กไทยใจต้องสู้ มันว่าต่ออย่างนั้น

    “อืม”

    เขาส่งเสียงตอบรับ

    “กูก็จะสู้จนถึงที่สุดเหมือนกัน”


    ช่วงอายุสิบเก้าปีเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของวัยรุ่น

    เป็นช่วงเวลาสุดท้ายก่อนก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่


    “เซอร์ไพรซ์~”

    ควรจะรู้สึกยังไงดีกับการที่เปิดประตูห้องมาแล้วเจอเพื่อนหน้าแป๊ะยิ้มแทนที่จะเป็นแม่ตัวเอง จินอยากจะปิดประตูกระแทกใส่หน้ามาก ถ้าไม่ติดว่าไอ้ตัวปัญหาอาศัยจังหวะที่เขากำลังนิ่งค้างแทรกตัวเข้ามาในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    “ขอรบกวนหนึ่งวันนะ”

    ฮาวปลดกระเป๋าเป้ที่สะพายมาวางบนพื้นปลายเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเขาโดยไม่ขออนุญาตสักคำ เขาเลยเดินไปทุบตามจังหวะการพูดของตัวเอง

    “ลง-ไป-จาก-เตียง-กู-เดี๋ยว-นี้ ตัวมึงมีแต่เหงื่อ สกปรก!”

    “โอ๊ย! ลงแล้วๆๆ อย่าทุบ กูเจ็บนะเว้ยจิน”

    คนโดนตุ้บตั้บเซ็ตใหญ่ร้องโอดครวญ ก่อนจะถอยลงจากเตียงมานั่งคุกเข่าเจี๋ยมเจี้ยมบนพื้น เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะผลักหัวไปหนึ่งที

    “ไปอาบน้ำก่อน แล้วมึงจะนอนกลิ้งเกลือกเล่นบนเตียงกูก็ไม่ว่า”

    เท่านั้นแหละ ไอ้คนที่จ๋อยอยู่เมื่อครู่รีบเปิดกระเป๋าหยิบผ้าขนหนูกับชุดนอนตรงรี่เข้าห้องน้ำเลย จินได้แต่ส่ายหัวอย่างระอาใจ จากนั้นก็กลับมาตั้งสมาธิจัดการกับงานที่ทำค้างไว้ต่อ

    “มึงทำอะไรอ่ะ”

    คำถามที่มาพร้อมกับน้ำหนักที่ทิ้งลงบนหัวไม่ได้ทำให้จินหลุดโฟกัสไปจากสิ่งที่กำลังทำอยู่แต่อย่างใด

    “ช่วยพี่ที่รู้จักเรียบเรียงทำนองเพลง”

    “อ๋อ”

    ฮาวตอบรับเพียงเท่านั้น ก่อนยกคางที่วางเกยหัวของจินขึ้นพลางไล่สายตาสำรวจภายในห้อง

    เขาไม่ได้แวะมาบ้านจินนานแล้ว ล่าสุดที่มาก็เมื่อประมาณสามเดือนก่อนได้ ตอนนั้นห้องจินโล่งกว่านี้เยอะ แต่ดูตอนนี้สิ มีทั้ง MIDI Keyboard ไมโครโฟน ลำโพงมอนิเตอร์ และสารพัดอุปกรณ์ราคาแพง ไหนจะสายสัญญาณเสียบตรงนั้นตรงนี้ให้ยุ่งเหยิงไปหมด เห็นแล้วฮาวก็รับรู้ได้ทันที

    จินได้เลือกแล้ว

    “มึงจะทำเสร็จเมื่อไร”

    ฮาวถาม ขณะที่เดินย่ำไปทั่วห้องเพื่อหาของที่ต้องการ

    “เหลืออีกนิดก็เสร็จแล้ว มึงง่วงก็นอนก่อนเลย”

    “ขอโทษนะจิน นี่เพิ่งจะสามทุ่ม ให้กูเอาอะไรมาง่วงเอ่ย”

    “พูดไปงั้น ตอนนี้มึงอย่าเพิ่งกวนกู ขอทำงานให้เสร็จก่อน”

    “Take you time เถอะ เอ้อมึง ยืม PSVITA นะ”

    “เออ”

    กว่าจินจะทำงานเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว เขาถอดเฮดโฟนออก ก่อนหมุนเก้าอี้หันไปทางเตียง ฮาวยังไม่หลับ ยิ่งไปกว่านั้นคือกำลังหน้าดำคร่ำเครียดกับการเล่นเกมอยู่ ไม่รู้เล่นเกมอะไรของมันถึงต้องซีเรียสเบอร์นั้น

    จินจ้องแล้วจ้องอีก แต่ฮาวไม่มีทีท่าว่าจะจะรู้สึกตัวเลย ด้วยเหตุนั้น เขาก็เลยเรียกร้องความสนใจด้วยการโถมตัวทับซะเลย ซึ่งก็ได้ผลมากทีเดียว เพราะมันทำให้ฮาวแหกปากร้องเสียงดังหันมาทำตาเขียวใส่เขาได้

    “ตัวเล็กมากเลยมั้ง ทับมาได้”

    อีกฝ่ายเอ่ยอย่างประชดประชัน พลางใช้มือข้างที่ไม่ได้จับ PSVITA ดันเขาออกจากตัว เขาพลิกมานอนคว่ำข้างฮาวและตอบกลับหน้าตาเฉย

    “ก็ตัวเล็กอยู่นะ หรือมึงจะเถียง”

    “ไม่เถียงว่าตัวเล็ก แต่น้ำหนักมึงอ่ะจิน”

    “จะหาว่ากูหนักเหรอ”

    “อันนั้นมึงพูดของมึงเองนะ”

    จินเบ้หน้า เรื่องปัดคำพูดให้คนอื่นล่ะฮาวเก่งนักแหละ

    “เที่ยงคืนแล้ว จะนอนได้ยัง”

    “นอนเลยก็ได้”

    เมื่อเพื่อนบอกอย่างนั้น จินก็เลยเปิดไฟตรงหัวเตียง แล้วลุกไปสแตนด์บายรอปิดไฟใหญ่ พอเห็นว่าฮาวเตรียมพร้อมที่จะเข้านอนแล้ว เขาก็กดสวิตช์ปิดไฟ และแทรกตัวเข้าผ้าห่มไปนอนตรงที่ว่างริมเตียง

    เขาหลับตาลง พยายามนับแกะในใจเพื่อส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่นับถึงร้อยก็แล้ว สองร้อยก็แล้ว เขาก็หลับไม่ลงสักที

    “จิน มึงหลับยัง”

    “ยัง”

    “อ้อ”

    ฮาวเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาใหม่

    “กูอยากรู้ว่ามึงเลือกอะไร”

    “กูก็อยากรู้ของมึง”

    “งั้นมาบอกพร้อมกัน”

    “เอางั้นก็ได้”

    “กูนับหนึ่งสองสามแล้วพูดนะ...หนึ่ง สอง สาม”

    คำตอบออกมาจากปากของพวกเขาทั้งคู่ โดยที่ทั้งมหาวิทยาลัยและคณะที่เลือกไม่ตรงกันสักอย่าง นั่นทำให้ฮาวหัวเราะออกมา

    “กะแล้วว่าต้องไม่ตรงกัน”

    “หรือกูจะเปลี่ยนไปเลือกที่เดียวกับมึงดี”

    “ไม่ทันแล้วไหม”

    “อืม ไม่ทันแล้ว”

    ตอนนั้นเองที่มีความรู้สึกหนึ่งแล่นขึ้นมา เป็นความรู้สึกด้านลบที่ทำให้จินรู้สึกแย่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขากังวลมากจนเผลอพูดออกไป

    “ฮาว ถ้าเกิดว่ากูเลือกผิด...”

    “ของแบบนี้มันไม่มีผิดหรือถูกหรอกจิน”

    “...กูกลัว”

    จินพึมพำเสียงเบา คนข้างตัวได้ยินเลยพลิกตัวตะแคงมาทางเขา มืออุ่นลูบหัวเขาเบาๆ ราวกับจะปลอบประโลม

    “ไม่ใช่มึงคนเดียวหรอกที่กลัว กูก็กลัวเหมือนกัน”

    เขาสัมผัสได้ว่าฮาวมีอะไรจะพูดมากกว่านั้นก็เลยตะแคงตัวหันไปหา พร้อมทั้งมองสบดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่สะท้อนภาพเงาของเขากับแสงไฟสีเหลืองนวล

    “แต่ถึงจะกลัว กูว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร คนเรามีสิทธิ์กลัวกันทั้งนั้น โดยเฉพาะถ้ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง กูอยากให้มึงเชื่อในความรู้สึก...เชื่อตัวเองนะ อย่าลืมว่าพวกเราอายุสิบเก้าได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต เลือกในสิ่งที่ตัวเองเชื่อดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลัง”

    “เชื่อตัวเองก็เสียใจได้เหมือนกัน”

    “เสียใจเพราะตัวเองก็ยังดีกว่าเสียใจเพราะคนอื่น”

    ทุกอย่างที่ฮาวพูดมาถูกทุกอย่าง ถูกจนเขาไม่อาจจะหาข้อโต้แย้งใดๆ ไปเถียงได้

    “อย่ากังวลไปเลย” ฮาวพูดพลางเลื่อนมือมาจับมือของเขา “ไม่ว่ามึงจะเลือกอะไร ผลของการเลือกจะเป็นยังไง ให้มึงจำไว้ว่ากูอยู่ข้างมึงเสมอ”

    ฮาวค่อยๆ สอดประสานนิ้วมือทั้งห้าเข้ามาเติมเต็มช่องว่าง ก่อนกระชับมันอย่างแนบแน่นเป็นการย้ำเตือนถึงคำพูดเมื่อครู่

    “เราจะผ่านมันไปได้ด้วยกัน”

    “อือ”

    คำพูดของฮาวช่วยให้จินคลายความกังวลลงอย่างน่าประหลาด เขาบีบมือฮาวและตอบกลับไปด้วยประโยคเดียวกัน

    “เราจะผ่านมันไปได้ด้วยกัน”


    ช่วงอายุสิบเก้าปีเป็นช่วงที่เต็มไปด้วยความกลัวและอ่อนไหว

    แต่เพราะช่วงอายุสิบเก้าปีของเขามีฮาวอยู่ด้วย เขาถึงได้รู้สึกว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in