เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Janie Is Not So Welljanieishappy
ลาก่อน Escitalopram, ลาก่อน Olanzapine
  • สวัสดี,

    เมื่อวานเราไปหาหมอมา 

    ก็นั่นแหละ ตามหัวเรื่อง เราได้ยามาเพิ่มในขุมทรัพย์โจรสลัดอีกสองตัว หมอเปลี่ยนยาให้ใหม่พร้อมกับสร้างปัญหาให้เราต้องมานั่งค้นหาคำตอบอีกหนึ่งเรื่อง

    ทรมานมากเมื่อวาน เวลานัดคือ 1 ทุ่ม แต่เรางานเสร็จเร็วเลยไปรพ.ก่อนเวลา ไปนั่งรออยู่ที่ทำงานเพื่อนตั้งแต่บ่ายสามกว่า รอจนจะหลับ ห้าโมงครึ่งเดินไปปิยฯ นั่งรอจนทุุ่มกว่าถึงจะได้เจอหมอ คือเรียงตามคิว ไม่มีลัด และเราคือคิวสุดท้าย เยี่ยม!


    เหมือนเดิม เรามีโน้ตสรุปๆ เอาไว้บอกหมอ แต่ก็เซ็งเกินกว่าจะสนใจ ไม่รู้เพราะรอนาน หรือเพราะสภาพจิตเราไม่ปกติ หรือเพราะฟ้าเพราะฝนเพราะลมเพราะอากาศ เราถึงได้เซ็งมากตอนเจอหมอ คือคิวสุดท้ายอ่ะ มันก็น่าเซ็งอยู่มะ

    ที่ติ๊กถูกคือเราบอกหมอ ที่เหลือคือไม่ได้บอก เพราะหมอไม่อยากฟัง เปล่าหรอก เพราะเราขี้เกียจพูด เมื่อวานเย็นเป็นอะไรก็ไม่รู้ รู้สึกเหนื่อยที่จะพูด ส่วนหมอก็เอาแต่จดจ่ออยู่กับคำถาม(ของหมอเอง)ที่ว่า ทำไมเราถึงไม่กลับไปดีเหมือนตอนมาหารอบแรกสักที

    “เป็นไงบ้าง ยาใหม่กินแล้วเป็นไงบ้าง” หมอถามด้วยท่าทางที่ไม่กระตือรือร้นเท่าไหร่ เหมือนรู้คำตอบอยู่แล้ว
    “ก็เฉยๆ”
    “ไม่ดีขึ้นเลยหรอ”
    “ก็...นิดนึง...มั้ง” 
    “...” 
    “แต่หนูนอนดีขึ้น นอนเร็ว ไม่ตื่นกลางดึก ฝันนะ แต่ตื่นมาจำไรไม่ได้ หนูว่ามันดี”
    “แล้วตื่นมารู้สึกง่วงมั้ย ตอนเช้า ตอนเที่ยงไรงี้”
    “ง่วงสิ ตอนนี้หนูก็ยังง่วง”

    “ช่วงนี้มีเรื่องเครียดอะไรมั้ย” หมอควรหาคำถามอื่นมาถามเรานะ เบื่อคำถามนี้จะแย่ละ เราบอกว่าไม่มี ช่วงปลายปีคดีไม่ค่อยนัดกันละ หมอก็ถามถึงเรื่องอื่น ที่ไม่ใช่เรื่องงาน เราก็บอกไม่ว่าไม่มีเหมือนเดิม แล้วหมอก็อ่านที่หมอบันทึกไว้คราวที่แล้วให้เราฟัง แล้วถามเราว่าเรายังรู้สึกเหมือนเดิมไม๊ 
    “ก็ไม่ต่างเท่าไหร่” เราตอบ แล้วก็พยายามยิ้มให้หมอหนึ่งที รู้สึกเหมือนกับว่าเราทำให้หมอผิดหวังยังไงก็ไม่รู้

    หมอถามว่าเรายังมีความคิดฆ่าตัวตายอยู่ไหม เราบอกน้อยลง ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ แต่ยังอยากตายเหมือนเดิม “คือถ้ามีใครมาทำให้หนูตายตอนนี้หนูจะดีใจมากเลยอ่ะ” เราบอกหมอไป แล้วหมอก็ยิ้ม จะยิ้มทำไม

    “คุณเคยกินยาแล้วอาการดีขึ้น”
    “ค่ะ”
    “แล้วทำไมตอนนี้มันไม่ดีขึ้นสักที”
    ...เดดแอร์อยู่นานมาก
    “หนูไม่รู้”
    “...”
    “อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นมันมีความต่างให้เทียบมั้ง” เราบอกหมอ 
    “ความต่างอะไร” หมอถามด้วยอาการสงสัยใคร่รู้แบบสุดๆ แบบทำท่าตั้งใจฟังมากกกกก
    “ก็ตอนนั้นที่หนูมาหาหมอ อาการหนูแย่มาก พอมันดีขึ้น มันเลยรู้สึกเหมือนกับว่าดีขึ้นมากรึเปล่า ทั้งที่จริงๆ ก็ไม่ได้ดีขึ้นอะไรมากมาย”
    “ใช่...แต่ว่าตอนนั้นพอกินยาแล้วคุณก็ดูดีกว่านี้ ดูสดใส ดูอารมณ์ดีกว่านี้ ใช้ชีวิตได้ปกติ”
    “ตอนนี้หนูก็ใช้ชีวิตได้นะ”
    “แล้วมันปกติไม๊ล่ะ” หมอซัดเรากลับ “ตอนนั้นคุณยังยิ้มยังหัวเราะได้”
    “ตอนนี้หนูก็ทำได้” เราหัวเราะให้หมอดู “นี่ไง ตอนนี้หนูก็หัวเราะอยู่”
    หมอมองหน้าเราแล้วก็ทำหน้าเวทนาใส่ “มันจะดูฝืนๆ หน่อยนะ” หมอบอก นี่ก็ตอบไม่ถูกเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้หมออีกครั้งหนึ่ง

    “อือ แต่ลูกความก็ทักหนูเยอะเหมือนกัน” 
    “ทักว่าอะไร”
    “ทักประมาณว่า ป่วยหรอ ไม่สบายหรอ หิวข้าวหรอ เพราะหนูดูเงียบๆ ซึมๆ เค้าบอก”
    “นั่นงะ” 
    นี่หมอจิตไปติดเชื้ออะไรมาจากหมอออโธปะ ทำไมเริ่มร้ายกาจ

    “หนูคิดว่าอารมณ์ของหนูตอนนี้มันแบบ...เหมือนตอนก่อนที่หนูจะกินยา—“ หมอเงียบฟังอย่างตั้งใจ “ไม่สิ ก่อนที่หนูจะหาหมอออโธ หนูจะเป็นคนแบบเนี้ย แล้วหนูก็มาหาหมอออโธ แล้วหนูก็บ้า แล้วหมอออโธก็ส่งมานี่ แล้วหมอก็ให้หนูกินยา แล้วหนูก็ดีขึ้น”
    “ผมอยากให้คุณดีขึ้นเหมือนตอนนั้น”
    “หรือว่ามันคือตัวตนของหนู—“ 
    “...” ทำไมหมอชอบเงียบ
    “คือหนูกำลังสงสัยว่าหรือนี่คือโอเคแล้ว คือกลับไปเป็นคนเดิมก่อนที่จะกินยาทุกอย่าง เป็นคนเดิมที่หนูเคยเป็นมานานมาก” 
    หมอนั่งฟังแล้วก็ยิ้ม “ตอนก่อนหยุดยาคือปกติ ผมอยากให้คุณกลับไปเป็นแบบนั้น ไม่ใช่ก่อนหน้านั้น” นี่ก็ได้แต่ยิ้มแห้งใส่หมออีกครั้งเพราะไม่รู้จะพูดอะไร “มันเหมือนคุณมองต้นมะม่วงอ่ะ—“ หมออออ ซ้ำาาา
    “หมอบอกหนูแล้วคราวที่แล้ว”
    “เออ นั่นแหละ”
    ตล๊กกกก
    “ตอนนี้มันไม่ใช่ไง มันเห็นชัดเลยว่าคุณไม่โอเค คุณดูเหนื่อย ดูเพลีย— หรืออาจจะเป็นเพราะเวลาที่คุณมาหาผมรึเปล่า”
    ห้ะ? อะไรของหมอ
    “ปกติคุณไม่ได้มาหาผมเวลานี้นี่”
    “ปกติหนูมาวันจันทร์” ... “หนูเคยมาวันพฤหัสนะ แต่ก่อนหน้านี้หนูมาวันเสาร์”
    “แต่ก่อนคุณจะมาตอนเช้า”
    “จันทร์บ่ายค่ะ”
    “เออ นั่นแหละ” 
    หมออออ อย่ามาตลก!

    “เพราะวันนี้รอนานมั้งคะ หนูเลยเป็นงี้”
    “ผมว่าเวลาน่าจะมีส่วน” ยัง ยังไม่จบ
    “วันนี้หนูเจอคนเยอะด้วย เจอคนเยอะมันทำให้หนูเพลีย”
    “เพลียยังไง” หมอทำหน้าสงสัยใคร่รู้อีกแล้ว
    “เพลียที่หนูต้องฝืนทำเป็นว่าหนูสบายดี”
    “ทำไมต้องฝืน?” 
    “...” เราเริ่มจะพูดไม่ออก 
    “อย่าฝืนสิ”
    “หนูไม่อยากให้คนอื่นรู้—” พูดต่อไม่จบ เสียงเริ่มหาย
    “รู้ว่า?”
    “รู้ว่าหนูไม่โอเค” แล้วน้ำตาเราก็เอ่อ
    “จะร้องไห้อีกแล้ว ไหน คิดอะไรอยู่”
    เราส่ายหัว แต่ดูเหมือนหมอจะไม่เชื่อ
    “คิดอะไรถึงทำให้ร้องไห้” หมอเค้นจะเอาให้ได้ อยากทุบหมอมากเลยตอนนั้น
    เราบอกหมอว่าไม่มีอะไร หมอถอนหายใจหนึ่งเฮือกใหญ่แล้วก็บอกเราว่า “ไม่มีอะไรไม่ได้หรอก คนเราอะนะ ในหัวมันคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาแหละ มันไม่มีทางที่จะไม่คิดอะไร ยิ่งตอนที่เราร้องไห้ มันต้องคิดอะไรอยู่”
    ไม่ว่างตอบค่ะ ซับน้ำตาอยู่ หมออย่ามาเค้น

    เราถามว่ายาใหม่มันทำให้น้ำหนักขึ้นรึเปล่า หมอบอกใช่ นั่นไง 2 กิโลภายใน 12 วัน... 12 วันที่แดกอย่างบ้าคลั่ง แดกค่ะ ไม่ใช่กิน ต้องใช้คำว่าแดก

    สรุปแล้วคืออาการเรายังไม่ดีขึ้น หมอยังคงบันทึกไปว่าเราเป็น mdd แสดงว่ามันแย่สินะ หมอสั่งยาใหม่ให้เรา บอกให้กินตัวเดียวเลย ตัวเก่าทิ้งแม่งให้หมด escitalopram ยาขาประจำของเราก็โดนไปกับเค้าด้วย โถ่ เหลืออีกตั้งสามแผง แพงนะ ไม่ใช่ถูกๆ 

    “เจอกันอีกทีสองอาทิตย์นะ” เราถามหมอว่าทำไมต้องสองอาทิตย์ นี่รู้สึกว่าจะเจอหมอถี่เกินไปละ หมอบอกให้ยาใหม่ กลัวเราจะกินไม่ได้อีก เราก็เลยถามถึงผลข้างเคียง หมอก็บอกว่ามันก็เหมือน escitalopram แหละ แค่แรงกว่า ผลข้างเคียงก็เหมือนๆ เดิม เราก็เลยยอมนัดสองอาทิตย์ไป ทั้งที่จริงๆ อยากได้หนึ่งเดือน แล้วเราก็ออกมาพบกับรพ.ที่ว่างเปล่า เราเป็นคิวสุดท้ายจริงๆ 

    ...ความเซ็งเพิ่มไปอีกเท่าตัวเมื่อพยาบาลออกใบนัดให้ ลงเวลา 19:20 น. บ้าาาาา บ้าไปแล้วววววว
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in