เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryTan
รีวิวตรงๆ เอกอังกฤษลาดกระบัง ปี 3 เทอม 1: อ่านวิจัย อ่านวิจัย อ่านวิจัย
  • โปรดอ่านคำเตือนต่อไปนี้ก่อนเด้อ
    1.รีวิวต่อไปนี้มาจากมุมมอง ความคิดเห็นส่วนตัวของเราต่อรายวิชา โดยอิงจากสิ่งที่ประสบพบเจอ ฉะนั้น หากรุ่นน้องหรือใครก็ตามที่กำลังจะเลือกเข้าศึกษาต่อ อย่าคาดหวังหรือกลัวว่าจะเจอเหมือนกัน 

    2.ในแต่ละวิชา เราจะไม่บอกชื่ออาจารย์ บางวิชาอาจมีการเยินยออาจารย์รายวิชานั้นๆบ้าง แต่รีวิวนี้ ไร้ซึ่งอคติและไม่ได้มีเจตนา จงใจ หรือตั้งใจที่จะประจารณ์บุคคลใดบุคคลหนึ่ง

    3.รีวิวค่อนข้างตรง เราใช้ภาษาตรงไปตรงมา ดีเราก็บอกว่าดี พร้อมบอกว่าดียังไง ไม่ดีเราก็บอกว่าไม่ดีพร้อมบอกว่าไม่ดียังไง ฉะนั้นหากกดอ่านแล้ว อย่าโลกสวย อย่าดราม่า อย่าหาว่าเราพูดแทงใจดำเพราะเรารีวิวตรงๆจากสิ่งที่เจอ แต่ถ้าหากภาษาดูแรงและทำให้ใครขุ่นข้องใจ ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

    คิดมาตลอดว่าเทอมนี้น่าจะหนักมากๆแต่พอมาเจอจริงๆมันก็หนักแหละ แต่มาหนักเอาช่วงปลายเทอม เนื้อหาแต่ละวิชาในเทอมนี้ยากมาก เป็นครั้งแรกที่สอบมิดเทอมแล้วรู้สึกว่าทำไม่ดีเลยสักวิชา ออกมาจากห้องสอบพร้อมสวดมนต์ภาวนาให้คะแนนมันโอเค โดยเฉพาะวรรณคดี ปี2ว่ายากฉันใด ปี3คือยากกว่าสองเท่าและเทอมนี้ต้องอ่านวิจัยกันให้อ้วก วิจัยชิ้นนึงก็6-8หน้า บางอัน 10 ที่สำคัญเทอมนี้ทำให้ realize เลยนะว่าเรียนกับฝรั่งใช่ว่าจะดีเสมอไป ไม่ใช่ฝรั่งทุกคนจะสอนได้โอเค จนนี่แอบรู้สึกว่าเรียนกับอาจารย์ไทยยังได้ความรู้แน่นกว่าฝรั่งอีก แต่มาหลังๆเริ่มไม่ซีเรียสเรื่องการสอนของอาจารย์ละ ขี้เกียจลำไย 5555 เพราะยังไงๆself-learning ก็สำคัญสุด เทอมนี้ก็มีวิชาที่น่าเสียดายมากๆสองตัวคือวิชาการพูดกับวิชาการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม เสียดายยังไง ไปอ่านในรีวิวเนาะ รายวิชาในเทอมนี้ก็มีตามนี้เลย


    วิชาบังคับ 

    SpeechCommunication 

    Critical Reading 

    Report Writing 

    British and American Literature

    Introduction to Intercultural Communication 

    วิชาโท

    Thai Translation into English 

    วิชาเสรี

    English for Advanced Studies



    Speech Communication 

    เนื้อหา 

    เรียนไปตามหนังสือ.........และมีกิจกรรมการพูดต่างๆที่ไม่ค่อยจริงจังสักเท่าไร 

    ความรู้สึก 

    เสียดายอ่า ตั้งตารอวิชานี้แต่พอมาเจอคือไม่ได้อะไรเลยจ้า อาจารย์สอนเอื่อยๆมาก ท้อปปิคที่เอามาให้ดิสคัสก็โอเคอ่ะ แต่เขาไม่ทำให้คลาสสนุกและมีกิจกรรมในการพูดที่น้อยมากๆ พูดแบบโนสนโนแคร์ คอมเม้นตอนประเมินการสอนนี่ประเมินไปแรงมากกก ให้1เรียงเลยมั้ง บางอันคือ0ด้วย เสียดายและเสียความรู้สึกมากคือมันควรจะได้ฝึกพูดอ่า แต่นี่เรียนไปตามหนังสือ มันใช่อ่อ โคตรน่าเบื่อ และหนังสือคือง่ายกว่าวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานตอนปี อีก เห้อออ พูดแล้วก็น้ำตาคลอเบ้า และเกรดโคตรจะไม่แฟร์ ถึงนี่ได้ไม่น่าเกลียดแต่ก็ไม่โอเคกับการตัดเกรดวิชานี้เท่าไร ก็นะ อาจารย์ไม่ดีทุกสิ่งอย่างในคอร์สก็ไม่มีอะไรดี จบ ที่พีคคือ course syllabus มาตอนเกือบสอบมิดเทอม คือไม่ต้องให้แล้วก็ได้มั้งถ้าจะไม่เตรียมพร้อมอะไรขนาดนี้ ถามว่าได้พูดไหม ก็ได้นะ แต่แบบไม่จริงจัง ไม่ปังไม่สนุกอ่า 

    ข้อสอบ 

    สอบพูด 2-3นาที ตามท้อปปิคที่กำหนด และเกรดที่ได้คือ ไม่ซีเรียสนะ เพราะพูดไม่เก่งอยู่แล้ว



    Critical Reading 

    วลีเด็ด:ค่ะนะคะค่ะค่ะ 

    เนื้อหา 

    เรียนการอ่านวิเคราะห์งานวิจัยประเภทต่างๆ 

    ความรู้สึก 

    วิชาการอ่านตัวสุดท้ายในหมวดบังคับซึ่งปิดจ้อปได้ค่อนข้างโอเคเพราะแอบยากเบาๆ แต่ก็นะ เราว่ามันก็ยังไม่สุดอยู่ดีอ่า 5555555 คือถ้าจะทำแค่อ่านรีเสิชทั้งคอร์ส ทำไมไม่ให้มีการทำรีเสิชเล็กๆแบบลงพื้นที่เก็บข้อมูลจริงๆ งานกลุ่มก็ได้นะอย่างน้อยให้รู้จักวิธีการทำรีเสิช ฉะนั้นความรู้สึกเราต่อคอร์สนี้คือมันก็ดีนะแต่ยังไม่สุด ประหนึ่งว่าซื้อไอติมมาสองลูก แต่ได้กินลูกเดียวเพราะอีกลูกละลาย ถ้าให้พูดตรงๆผิดหวังกับวิชาหมวดการอ่านนะ อาจเป็นเพราะเจออาจารย์ไม่โอด้วยแหละที่เรียนมาสี่ตัวก็มีแค่สองตัว (Reading 2 กะตัวนี้) ที่ค่อนข้างโอเค Reading 2 เป็นตัวเดียวที่เรารู้สึกว่ามันคือวิชาอ่านจริงๆ 555555 บางทีแอบมองว่าวิชาการอ่านมันรวบเป็นคอร์สเดียวหรือสองคอร์สก็พออ่ะ พอแบ่งออกมาเป็นสี่ มองผิวเผินอาจดีนะ แต่ไม่อ่า ไม่เข้มข้นเท่าที่ควร มาๆเข้าเรื่อง วิชานี้เป็นวิชาการอ่านงานวิจัยที่หลากหลายมากๆ ไม่ได้อ่านเฉพาะในสายภาษา แต่ยังไปดูในเรื่องการทดลอง ร้านค้า วิทยาศาสตร์ก็มี ส่วนตัวมองว่าสนุกดี อาจารย์สอนดี อ่าน วิเคราะห์ ชำแหละงานวิจัยเป็นก็วิชานี้นี่ละ ความโชคดีคืออาจารย์เป็นนักวิจัยที่เทพมากๆๆๆ ชำนาญของจริง 

    หลักๆอาจารย์ก็จะสอนว่าในการที่เราอ่านวิจัยในแต่ละพาร์ทมันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ใช้วิธีการเขียนแบบไหน โครงสร้างทางไวยากรณ์เหมาะสมไหม เนื้อหาเป็นยังไง ซึ่งจุดที่เราชอบมากคือการที่อาจารย์ให้ไปหางานมาคนละอัน วิเคราะห์แล้วเอามาอภิปรายกันในคลาส ซึ่งสนุกมากกกเพราะมันทำให้ดูออกว่างานวิจัยที่ดีและไม่ดีมันเป็นยังไง เป็นการดิสคัสที่ดีอ่ะ ในแต่ละงาน เราจะต้องสรุปเป็น สรุปในที่นี้ไม่ใช่เขียนเป็นพารากราฟนะ แค่ต้องดึงใจความหลักของแต่ละส่วนออกมาให้ได้เท่านั้นเอง (Note-Taking นั่นแหละ) และต้องมาซึ่งใจความหลักที่ซ่อนอยู่ภายใต้งานวิจัย 

    ที่ชอบอีกอย่างก็หาท้อปปิคของงานวิจัยให้ได้ สนุกดีนะเพราะบางงานอาจารย์ไม่ให้ท้อปปิคมาเพราะจะให้เราเขียนหัวข้อเอง เวลาอ่านในแต่ละพาร์ท อาจารย์จะสอนว่าจะต้องตั้งคำถามอะไรบ้าง ก็มันเป็น Critical อ่าเนาะ งานวิจัยบางงานที่มาแบบไม่ชัดเจนเราก็ต้องมองหาให้ได้ว่าเมนหลักของพาร์ทนั้นคืออะไร การบ้านก็ชำแหละวิจัยนี่ละ และจัดระบบข้อมูล คืองานเยอะนะ 55555 มันไม่ได้เยอะแบบยิบย่อยแต่งานนึงก็วิจัยอันนึงอ่า 7-8 หน้านั่งอ่านกันระงม วิเคราะห์จุกๆ ถ้างานวิจัยไม่ยากมันก็ง่ายต่อการค้นหาและจัดระบบ แต่ถ้างานตัวไหนโหดๆ ศัพท์แปลกๆโครงสร้างพิถีพิถันอันนี้อ่าสะพรึง!!มีงานนึงที่โหดมาก คืองานวิจัยเกี่ยวกับการใช้ Technology ของคนไข้เกี่ยวกับการแพทย์ น้ำตาเล็ดเลยจ้าอ่านยากมาก ศัพท์แสงคือหรูหราแต่เป็นงานวิจัยที่ดี เขียนดีมาก 

    ข้อสอบ 

    มิดเทอมไม่ค่อยยาก วิเคราะห์แค่บทคัดย่อและทำแบบฝึกหัดรีดดิ้งแบบช้อยส์ (อีกแล้ว) ซึ่ง......ให้อนุมานเยอะมากกกกก และบางบทความก็ศัพท์หรู อ่านจนเหนื่อยอ่า ส่วนไฟนอลโหด ยาก สามชม.คือทรหด ชำแหละเปเปอร์แบบแหลกลนไฟไหม้ เปเปอร์อ่านไม่ยากนะ แต่วิเคราะห์ยากอ่า 555555 และคือหาข้อมูลแต่ละพาร์ทใช้เวลานานมากกกเหมือนทุกอย่างต้องสกัดออกมาดึงมาเลยไม่ได้ เหนือสิ่งอื่นใดวิชานี้ค่อนข้างจะมีประโยชน์ต่อการทำ Literature Review ในวิชาการเขียนรายงาน 

    สรุป เป็นวิชาที่ดี อาจารย์สอนดี แต่คิดว่ามันควรได้อะไรมากกว่านี้ เช่นลงมือทำงานวิจัยเลยเป็นงานกลุ่ม และพาร์ท Reading Comprehension ควรเป็นเขียนตอบเถอะ pleaseee 

    B+ พึ่งสังเกตุ ไม่เคยได้เอวิชาการอ่านเลยสักตัวซึ่งก็ดี 55555 



    Report Writing 

    วลีเด็ด: Citation คุณดีนะคะ จำไว้นะ ถ้าทำเรื่องการอ่านแล้วคุณไม่ cite คนนี้ คุณก็มาไม่ถึงหรอก(พร้อมรอยยิ้มจากอาจารย์) / อย่าหัดเป็นคนทำงานชุ่ยนะคะนักศึกษา 

    เนื้อหา 

    เรียนการเขียน Stand-Alone Literature Review 

    ความรู้สึก 

    ขอเรียกวิชานี้ว่า Introduction to Report Writing 5555 วิชาสกิลการเขียนตัวท้ายของเอกบังคับ ใครเกลียดเขียนก็จะรู้สึกแฮปปี้มากเพราะหมดเวรหมดกรรมแล้ว แต่ถ้าใครชอบก็จะเศร้านิดๆเพราะไม่ได้มีวิชาบังคับเขียนต่อแล้ว (อย่างเช่นเก๊าแงงงง) 

    ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนว่า วิชานี้ไม่ได้ทำวิจัย บทนะ เราทำแค่ Literature Review ในรูปแบบ Stand-Alone Assessment เป็นงานเดี่ยว ฟังดูน้อยแต่เราว่ามันเหมาะสมนะ วิชาเขียนมันควรเป็นงานเดี่ยวอ่าเพราะ interest คนเรามันแตกต่างกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำเป็นตัวเต็ม แต่เราก็พอใจนะเพราะทำแค่ริทรีวิวก็จะบ้ามากๆแล้ว (ถึงแม้ว่าในใจจะอยากทำ 5 บทก็ตามเถอะ55555) 

    วิชานี้ยากพอสมควรในความคิดเรา ยิ่งช่วงแรกที่ทำอะไรไม่เป็นเลยคือรู้สึกยากมากกกกก มันคืออะไรอ่าทบทวนวรรณกรรม อ่านนิยายที่เคยอ่านไปแล้วหรอหรืออะไร? (.....) ประเด็นคืออาจารย์ดุและหักคะแนนเก่งมาก ผิดนิดเดียวหักพรึ่บๆ เวลาคอนงาน ปรกติจะแย่งกับเพื่อนขอคอนก่อน แต่วิชานี้คือให้เพื่อนไปคอนก่อนเลย 5555 เอาง่ายๆถ้าเขาถามอะไรเราจะต้องตอบให้ได้และตอบให้เข้าใจด้วย ไม่งั้นโดน!! ฮรืออออ

    เนื้อหาแรกๆก็จะเกี่ยวกับประเภทของรายงาน โครงสร้างยืนหนึ่งทบทวนวรรณกรรม การทำเอ้าไลน์ สไตล์วิชาเขียนตัวอื่นๆเลยแต่ยากกว่าเท่านั้นเอง การถอดความ การสรุปความ การอ้างอิง ทั้งในเนื้อเรื่องท้ายเรื่องแบบ APA STYLE (ซึ่งเราเกลียดมากกก กฎเยอะอะไรขนาดนี้อ่ะ ปวดหัว)และก็อ่านตัวอย่างงานเขียนพร้อมวิเคราะห์การเขียน ซึ่งหลายหน้าเหลือเกิน อ่านก็ยาก ส่วนบทที่เยอะไม่แพ้กับเอพีเอก็ Machanics of Styles แต่ก็ทำตัวน่ารักกว่าเอพีเอเยอะ 

    งานก็มี Annotated Bibliography เป็นวิธีสรุปงานวิจัยที่เราอ่านเพื่อนำมาใช้ในริทรีวิว, Paraphrasing, Making Reference, Outline, และก็ Stand-Alone Literature Review ตัวเต็ม 60 คะแนน ที่ความยาวไม่เกิน 10 หน้า รวมทุกอย่างตั้งแต่ปกยาวมาถึงอ้างอิงท้ายเล่ม 1250-2500 คำ ยังดีมีงานเขียน Argumentative Essay ช่วย 5 คะแนน(ช่วย?) 

    เอาจริงๆ Stand-Alone Literature Review ก็ถือว่าเป็นรายงานชนิดนึงนะแต่จะเป็นแค่การทบทวนวรรณกรรมเท่านั้นเอง นี่ทำเรื่องกลยุทธ์การอ่านในกลุ่มนศ. EFL โดยใช้ Framework ของ Learning Strategies โอ้ยยย อ่านวิจัยเยอะมาก แต่ค่อนข้างจับจุดได้สบายเพราะบุญบารมีจากวิชาการอ่านเชิงวิเคราะห์ (Critical Reading) ที่ช่วยให้การอ่านวิจัยง่ายขึ้นจับจุดเป็น กราบๆๆ 5555 ที่สำคัญวิชานี้เหมือนเป็นการลงโทษเด็กเอกอิ้งบางคนที่ไม่ชอบการถอดความซึ่งเราคือหนึ่งในนั้น 55555 (แต่ไม่เคย Plagiarize งานคนอื่นนาจา) เพราะแต่ละอย่างที่ไซ้มา ต้องพาราเฟซ พาราเฟซ และก็พาราเฟซวนไปพาราเฟซทุกสิ่งอย่างที่ไซ้มา ซึ่งเราว่าทักษะการถอดความยากนะ ถึงจะเจอกับมันมาตลอดตั้งแต่ปี 2 แต่มันช่วยพัฒนาเรื่องการอ่านตีความในระดับนึงเลย และยังเป็นการวัดด้วยว่าเราอ่านจุดที่ถอดความมาเข้าใจจริงๆรึเปล่า ส่วนสิ่งที่ค่อนข้างพีคในการทำงานวิชานี้คือตอนคอนงานกับอาจารย์ อึ้งอ่าตอนที่อาจารย์บอกว่า Citation คุณเลือกดีนะคะคนนี้ดัง คนนั้นปัง ทั้งที่ไม่รู้เลยว่า เอ้า เค้าดังหรอ? 555555 หากได้มีโอกาสทำงานวิจัยจริงๆ เราไม่ทำ Reading อ่าคนทำเยอะมากกกกกก ทำจนปรุ ทำจนหา niche ไม่ได้แล้วอ่ะเราว่า 5555 และหัวข้อที่เราทำก็จิ๊บจ๊อยมาก เมื่อไปเทียบกับหัวข้อของเพื่อน เช่น Discourse Analysis, ภาวะความจำเสื่อม, สมองเด็กออทิสติคงี้ ตัดภาพมาที่หัวข้อตัวเอง ......

    A งงมาก เพราะงานย่อยแต่ละงานบอกได้คำเดียวว่าไม่เคยได้คะแนนโอเคเลย มากสุดก็ 7.5 (Annotated Bibliography) แต่คอมเม้นก็โดนเละ




    British and American Literature 

    วลีเด็ด: 

    1.เพื่อน:อาจารย์คะ ข้อสอบไฟนอลออกวรรณคดียุควิคตอเรี่ยนของอังกฤษถึงอเมริกันทุกยุคใช่ไหมคะ 

    อาจารย์: จ้าาาบอกไปแล้วจ้ะย้อนกลับไปดูที่ต้นคาบจ้ะ 

    2.Bloody Mary เป็นชื่อที่ได้มาจากการที่ว่าแมรี่คนนี้นะครับชอบกินเลือดเป็นอาหาร..............จดทำไมครับ พวกคุณนี่ก็บ้าจี้เนาะครับ

    3.คำนี้แปลว่าอะไรครับ ........เปิดดิคครับ อะไรกัน คำง่ายๆ ครูจำได้เลย ป.วันที่ 

    4. American Dream คืออ........ American Dream ครับ (และด้วยน้ำเสียงท่าทางของอาจารย์คือหยุดขำไม่ได้5555) LMAO

    ควิซ:ตอบคำถามเนื้อเรื่องในนิยาย วิเคราะห์ควอท เขียนรีเฟรคชั่นเชิงวิเคราะห์สามสี่รอบ/ สอบพูด/ มิดเทอม:วรรณคดีอังกฤษ/ไฟนอล:วรรณคดีอเมริกัน (เขียนตอบทั้งหมด) 

    เนื้อหา 

    เรียนภาพรวมประวัติศาสตร์อังกฤษและอเมริกัน อังกฤษก็เรียนตั้งแต่ยุค Anglo-Saxons ถึง 20th century อเมริกาเรียนแค่สี่ยุค Colonial Period ถึง Realism พร้อมดูงานเขียนประเภทต่างๆ ในแต่ละยุค เช่น short excerpt novel poem 

    ความรู้สึก 

    ถ้าบอกว่าวิชานี้ตลกมากจะเชื่อไหม5555555+ ทุกวันนี้นั่งนึกถึงมุขของอาจารย์ก็ยังฮาไม่หยุด บางมุขที่ไม่ฮาแต่อาจารย์เล่นให้ฮาได้ก็มีอ่า 5555 วิชานี้เป็นตัวต่อจากวิชาวรรณคดีเบื้องต้น เนื้อหาบางพาร์ทก็เรียนมาแล้วในตัวก่อน แต่จะเจาะลึกในส่วนของประวัติศาสตร์มากขึ้นเท่านั้นเอง 

    ครึ่งแรกจะเป็นวรรณคดีอังกฤษ ส่วนครึ่งหลังจะเป็นวรรณคดีอเมริกัน นวนิยายที่เรียนมีสามเรื่อง ของอังกฤษจะเป็น Macbeth (บทละครเด้อ), Northanger Abbey ส่วนของอเมริกันมีเรื่องเดียวคือ Of Mice and Men ที่รู้สึกบาปสุดคือไม่เคยเสียตังค์ซื้อเล่มนิยายเลย ยืมของเพื่อนซีลอคเอา 35 40 บาทก็ว่าไปประหยัดไปอีก 55555 ซึ่งก็ทำถูกแล้วเพราะอ่านไม่จบสักเรื่อง 5555 คืออ่านนะแต่อ่านได้ 7-8 บทก็บาย เรื่องเดียวที่จบก็ Of Mice and Men นี่ละอ่านง่าย แทบไม่ต้องเปิดดิค แต่บางพาร์ทก็ต้องเปิดแทบทุกคำ(เป็นเพราะอะไรมาหาคำตอบเอาเองในวิชานี้ อิอิ) 

    วรรณอิ้งจะเรียนตั้งแต่ Anglo Saxon (อีกละ) ไปจนถึง 20th century เนื้อหาสนุกมากกกกก ได้เห็นประวัติศาสตร์ของแต่ละยุคแตกต่างกันไปบวกกับความตลกของอาจารย์ที่ทำให้คลาสมีสีสันมากยิ่งขึ้น ส่วนอเมริกันจะได้เรียนแค่สี่ยุคคือ Colonial Period, Revolutionary and National Period, Romanticism, and Realism แต่เสียดายพาร์ทอเมริกันไม่ได้เจาะลึกพาร์ทประวัติศาสตร์เท่าไร คือเรียนนะ แต่เรียนคร่าวๆดูเหตุการณ์สำคัญๆ 

    โดยส่วนตัวเราชอบของอเมริกันมากกว่า ของอังกฤษนี่ยุคนึงคนขึ้นครองราชย์เปลี่ยนศาสนาบลาๆเยอะแยะมาก แต่ยอมรับว่าเนื้อเรื่องมันส์มากกก แก่งแย่งชิงดี ชิคๆ555 ชอบความเล่นใหญ่ของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ที่ประกาศนิกายศาสนาตัวเองขึ้นใหม่เพียงเพราะนิกายเดิมไม่ให้แต่งงานกับ แอน โบลีน โอ้วว คือสุดติ่ง ส่วนของอเมริกันมันออกแนว real event งานเขียนหลากประเภทที่ไม่ได้มีแค่นิยาย ที่ขำคือในยุคนึง นวนิยายถือว่าเป็น source of evil ใครอ่านนิยายคือตลาดล่าง ตัดภาพมาที่ปัจจุบันคนอ่านกันเกลื่อนโลก ตลกดี มีคลาสนึงที่อ่าน Autobiography ของ Benjamin Franklin พูดถึงกฎ 13 ข้อสู่การประสบความสำเร็จ แต่ละข้อคือบอกเลยอ่าว่านี่ล่มจมตั้งแต่ยังไม่เริ่มเพราะทำไม่ได้เลยสักข้อ 555555 ตัวอย่างเช่น จงกินเพื่ออยู่ คือนี่ทำไม่ได้อ่าเพราะทุกวันนี้อยู่เพื่อกิน5555555 ส่วนสิ่งที่เราชอบมากๆในการเรียนวรรณคดีคือการได้เห็นงานเขียนประเภทบทกลอนนวนิยายของนักเขียนหลายๆท่านที่มัน Symbolize เหตุการณ์ในยุคนั้นๆได้แบบเฉียบคมและล้ำอ่า (ชอบตั้งแต่ตัวที่แล้วแล้ว แต่ไม่อินมากเท่า Linguistics) 

    บางคนเราอึ้งมากว่าทำไมเขามองได้ลึกละเอียดถี่ถ้วนขนาดนั้น หรือเราไม่ Critical พอ 5555 และด้วยความที่ว่าวิชานี้มันเป็นเนื้อหาซะส่วนใหญ่ การจำจึงเป็นสิ่งสำคัญพอๆกับความเข้าใจเลยก็ว่าได้ 

    ข้อสอบ 

    ควิซมีทั้งยากง่ายปะปนกันไป แต่สิ่งที่น่าอัปยศอดสูสำหรับเรา คือการเขียน Reflection กับ ข้อสอบ Mid-Term ที่เราทำได้ไม่ดีเอามากกๆ บางอันคือมันควรได้ นะ เพราะงานไม่ดีเลยอ่า ลวกสุด อย่างมิดเทอมนี่คือเละเทะหนัก แต่ละข้อที่อาจารย์ให้มาคือเราตอบไม่ได้เลยเพราะมัวแต่ไปท่องพาร์ทประวัติศาสตร์จนลืมไปว่าการเรียนการสอบวิชาสายลิทมันควรจะเน้นที่การเชื่อมโยงระหว่างงานเขียนต่างๆกับประวัติศาสตร์ไปพร้อมๆกัน แต่นี่โฟกัสผิดจุดไง มิดเทอมเลยรู้สึกว่าค่อนข้างเน่าเฟะ ที่แย่ยิ่งกว่าคือสอบ Speaking เตรียมตัวไปไม่ดีเลย เพราะมัวแต่เอาเวลาไปทำรายงานอีกวิชา มั่นใจเลยว่าได้ 0 เพราะพูดไม่เข้าเค้าเลย เหนือสิ่งอื่นใดอาจารย์ก็น่ารัก ถึงจะทำไม่ค่อยโอ เขาก็ยังให้คะแนน แต่ก็ไม่เยอะนะ ตามความเหมาะสม555555 และด้วยความมีปมกับวิชาสายลิท ไฟนอลเราเลยทุ่มสุดตัวกับวรรณคดีอเมริกัน ยอมอดหลับอดนอนเพื่อผงาดในไฟนอลและเราก็ทำได้จริงๆ (เรารู้สึกว่าทำได้นะพาร์ทที่ไม่ได้ก็มี แต่โดยรวมก็มั่นอ่า แต่ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์จะคิดยังไงอ่าเนอะ 5555) สรุป อาจารย์สอนดี เฮฮา เนื้อหาดีสอบยาก ต้องเชื่อมเก่งเหมือนเป็นช่างเชื่อม

    B เกินคาดมากกกกกกกกกกก เพราะนี่หวังแค่ C 55555

    Introduction to Intercultural Communication

    เนื้อหา: เรียนเกี่ยวกับการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม องค์ประกอบต่างๆ ค่านิยม วัฒนธรรม

    ความรู้สึก

    เปิดโลกมากกกกกกกกก ชอบอ่า ชอบมากๆ แต่เสียดายมากๆ 5555 เพราะครึ่งแรกได้เรียนกับอาจารย์ฝรั่ง คือเขาสอนดีนะ ชอบให้ดิสคัสแลกเปลี่ยนความเห็น แต่เนื้อหามันล่องลอยอ่า จับจุดไม่ได้ เลยได้อะไรไม่มากนัก แต่พอมาครึ่งหลังเจออาจารย์อีกคน โอ๊ยยยย คือปังมากกกก สอนสนุกและให้ดิสคัสแบบดีไปหมดอ่า และได้อ่านวิจัยอีกแล้ว (น้ามตาไหล) เนื้อหาจะเกี่ยวกับวัฒนธรรมและค่านิยมที่คนให้ความสำคัญกัน มันจะออกแนววิเคราะห์สิ่งรอบตัวอย่างชาญฉลาด คล้ายๆ Linguistics นะ บางพาร์ทก็มี Linguistics มาแจมด้วย อย่าง Speech Act Theory งี้ ในคอร์สจะมีคำถามมากมายให้เราค้นหาคำตอบ อย่าง ทำไมคนเราถึงเหยียดภาษาแม่ตัวเอง ทำไมผู้ชายถึงถูก stereotype ว่าต้องเข้มแข็งห้ามร้องไห้ไรงี้ ความหมายของ Culture คนเราประสบปัญหา Culture แบบไหนบ้าง ประมาณนี้ เราชอบนะ ชอบมาก มันสนุกและได้คำตอบที่สมเหตุสมผลอ่า เนื้อหาคือโยงได้หมด ไม่ว่าจะเป็นประเด็นอะไรก็ตาม อธิบายยากเหมือนกันว่าคอร์สนี้หลักๆเกี่ยวกับอะไร เพราะได้เรียนเนื้อหาจริงๆก็ครึ่งหลังอ่า เสียดาย แต่ยอมรับว่าสนุกมาก ชอบ 

    ข้อสอบ

    มิดเทอมไม่ยาก อ่านแล้วจำไปตอบ แต่ไฟนอลยากนะ 555555 ยากเลยล่ะ อาจารย์จะมีมีมมาให้เขียนวิเคราะห์ และก็มีเหตุการณ์เกี่ยวกับการเหยียดเพศในโรงเรียนมาให้อ่านแล้ววิเคราะห์ สนุกดี แต่ยาก 55555

    B ก็โอเคนะ เพราะไม่เก่ง แต่หลงรักศาสตร์นี้เข้าอย่างจัง คลิกที่สุดพอๆกับ Linguistics เลย




    Thai Translation into English 

    ควิซก่อนเรียน:แปลบทความสั้นๆ/ Assignments: แปลบทความหลากหลายgenres: informative, narrative, descriptive, pursuasive

    มิดเทอม: แปลบทความหนังตะลุง/ ไฟนอล:แปลบทความบึงบัว 

    เนื้อหา 

    ฝึกแปลบทความจากไทยไปอังกฤษและเรียนทฤษฎีเล็กน้อยที่เป็นประโยชน์ต่อการแปล 

    ความรู้สึก 

    ยากสุดของเทอมก็ยกให้วิชานี้เลยจ้า โคตรยาก อภิมหึมามหายาก แต่เป็นวิชาที่ดีมากๆเพราะได้ฝึกแปลงานโหดๆตรึม ถามว่าได้เรียนอะไรมากไหม ไม่ค่อยนะ เพราะส่วนมากจะฝึกแปลงานอย่างเดียว แปล แปล แปล และก็แปล ซึ่งทุกไทพ์ไม่มีอันไหนง่ายเลย เนื้อหาอาจารย์ไม่ได้เจาะไรมากเพราะอาจารย์ถือว่าเรียนทฤษฎีมาแล้วในวิชาบังคับการแปลเบื้องต้น แต่บางส่วนที่อาจารย์สังเกตุเห็นถึงจุดบกพร่องของนักศึกษาในการแปลอาจารย์ก็จะดึงเนื้อหาดีๆมาสอนมาเป็นเทคนิคที่ช่วยให้แปลงานดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การเลือกคำและระดับภาษาในการแปล ด้วยความที่อาจารย์จบป.โทมาจากสายภาษาศาสตร์ อาจารย์เลยดึงเนื้อหาเล็กๆน้อยๆทางภาษาศาสตร์มาแอพพลายกับการแปลซึ่งมันช่วยจริงๆนะ(ฟิน) เกณฑ์การให้คะแนนชัดเจน อาจารย์ให้และหักคะแนนแบบเป๊ะมากกกก ตัวอย่างเช่นผิดนู่น 0.5 ผิดนี่ 0.75 แปลผิดความหมาย 1 แต่ไม่ได้ให้และไม่ได้หักแบบพร่ำเพรื่อนะ เพราะทุกครั้งจะมีคอนงาน ถ้าตรงไหนรู้สึกแปลกใจก็ชิทแชทกับอาจารย์เลย 

    จุดที่ดีสุดในคอร์สนี้คือการอภิปรายกันว่า แปลแบบนี้โอเคไหม แชร์ความเห็นกัน งานที่อาจารย์เอามาให้แปลก็มีตั้งแต่ Manual กฎการสั่งซื้อสินค้า วิธีการทำอาหาร ประวัติสถานที่ เรื่องเล่าตำนาน โบชัวร์ท่องเที่ยว บลาๆ ยากสุดยกให้เรื่องเล่าตำนาน ยากแบบปลงอ่า55555 คิดดู กาเมสุมิจฉาจาราจะแปลยังไง คิดเป็นวัน คุยกับเพื่อนว่าควรแปลแบบข้ามวัฒนธรรมดีไหมหนอหรือไม่ดี แต่หลายงานทำให้รู้เลยนะว่าภาษาไทยกำกวมเวิ่นเว้อมากกกก ถ้าเป็นเอสเสคือเราจะวงแดงในเรื่องของ wordy แบบสุดๆ จะแปลงานแต่ละทีคือต้องแปลไทยเป็นไทยก่อนแล้วถึงจะแปลเป็นอิ้งได้ เหนื่อยอ่า จนบางทีเกือบถอดใจจะกลับไปเก็บโทภาษาศาสตร์ภาษาอังกฤษแต่มาถึงจุดนี้แล้วบวกกับอะไรหลายอย่าง สู้สิวะ แต่การแปลดีนะ มันได้ทำอะไรแบบเจาะๆจากเมื่อก่อนที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ collocation สักเท่าไร เรียนแปลจะรู้เลยว่า collocationเ ป็นอะไรที่โคตรจะสำคัญเพราะมันทำให้เป็นภาษาอังกฤษจริงๆ ไม่ใช่ภาษาอังกฤษที่แปลกประหลาด 

    ข้อสอบ 

    ข้อสอบมิดเทอมคือแปลบทความเกี่ยวกับหนังตะลุง (คุณพระ) กลางๆค่อนยาก แต่ไม่โหดร้ายเพราะสามารถเอา Glossary เข้าห้องสอบได้ คะแนนออกมาก็สมเหตุสมผล 555555 แต่พีคสุดยกให้ไฟนอล แปล Tourism Leaflet คือร้องไห้อ่า ยากมากกก ยากแบบขอทับศัพท์ได้ไหมครับอาจารย์55555 ที่ฮากว่าคือออกมาคุยกับเพื่อนไม่มีใครแปลเหมือนกันเลยรอบนี้ไม่มี Glossary ด้วยแหละมีแค่ดิคเลยรู้สึกต้อแต้ เวลาในการสอบสามชั่วโมง คือใช้เวลาคุ้มค่า 




    English for Advanced Studies

    เนื้อหา: ฝึกทำข้อสอบ ดูทุนตปท. เตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนต่อ เรียนคำศัพท์แพงๆยากๆ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในตปท.

    การบ้าน: Personal Statement, Opinion Essay, ฝึกฟังและเขียนสรุปความ, Introduction of Research Paper 1000 words ต้องให้สอดคล้องกับ Move Analysis, ฝึกเขียน Abstract, editing&proof-reading 

    ความรู้สึก

    ปลื้มสุดของเทอมนี้ยกให้วิชานี้เลย เป็นวิชาที่ชิวๆแต่ได้ความรู้เยอะมากก โดยเฉพาะโวแคบและหนทางการเรียนต่อ ด้วยความที่ชอบเขียน เลยมองหาวิชาที่คิดว่าน่าจะได้เขียนเยอะๆหน่อยเลยเลือกตัวนี้ ซึ่งก็ได้เขียนสมใจ เนื้อหาก็จะเป็นการทำข้อสอบภาษาอังกฤษประเภทต่างๆ ทั้ง Listening, Reading, Error, Meaning in Context, Writing สนุกดี ได้ทบทวนและรู้จักแกรมม่ากับโวแคบเจ๋งๆเพียบ ชอบที่ตลอดทั้งคอร์สอาจารย์มักจะมีอะไรว้าวๆมาให้เรียน วิชานี้ทำให้รู้ว่า ข้อสอบ Error แบบที่มีตัวเลือก no error เป็นอะไรที่โคตรยากกกกก ครึ่งแรกจะเน้นที่การทำข้อสอบ มีทั้ง cu-tep tu-get sat ยากง่ายปนกันไป แต่ปลื้มสุดก็เป็นข้อสอบโวแคบ เพราะได้เจอโวแคบเจ๋งๆเยอะมากกกกก อาจารย์สอนวิธีการใช้และวิธีจำได้โอเคอ่า มันช่วยจริงๆ ทบทวนแกรมม่าด้วย สนุกดี ครึ่งหลังจะเริ่มเข้าสู่การอ่านวิจัย การอ่าน literature review หลากหลายแบบที่ตัดตอนออกมาเพื่อให้เห็นว่าริทรีวิวแบบที่ดีและไม่ดีเป็นยังไง พีคสุดคือไม่ใช่แค่อ่าน แต่ต้องตรวจ editing&proof-reading มีประโยชน์มาก เป็นประโยชน์ต่อการทำรีพอทในอีกวิชานึง ส่งเสริมบุญบารมีกันสุดๆ 555 นอกจากนี้ ก็มีการฟังเนื้อหาวิชาการ ข่าวสาร พร้อมทั้งฝึกเขียนสรุป เขียนแสดงความคิดเห็น assignments ประกอบไปด้วย personal statement, persuasive essay, abstract และงานปิดท้ายคอร์สที่พีคที่สุดคือ introduction of research paper ที่ต้องเขียนให้สอดคล้องต่อ move analysis ที่อาจารย์กำหนด ยากมากอ่า realize เลยว่ามาถึงจุดที่วิชาเสรียากกว่าวิชาบังคับ 55555 ซึ่งท้อปปิคเป็นอะไรที่เพลียมาก Undergraduate Students' Understanding of the Concepts of Green Universities แล้วรีเสิชอ่านยากมาก เยอะสุดๆ 

    ในด้านการสอน อาจารย์สอนดีมากๆ เตรียมการสอนมาเป๊ะทุกอย่าง คำถามโหดแค่ไหนตอบได้หมด และละเอียดยิบ เจาะๆเลย ถ้าใครเรียนเสร็จแล้วบอกว่าไม่ได้อะไร เราจะตบปากให้ ความรู้ในวิชานี้ดีมากจริงๆ 

    ข้อสอบ 

    มิดเทอมก็ทำข้อสอบ cu-tep บวก sat นิดๆ และก็เขียน personal statement โดยใช้ข้อมูลที่อาจารย์กำหนดมาให้ ไฟนอลจะมีพาร์ทโวแคบ ตรวจริทรีวิวและเขียนฟีดแบคเป็นพารากราฟสั้นๆ ประหนึ่งว่าเป็นอาจารย์ตรวจงานเขียนนักศึกษา อ่านงานวิจัยและตอบคำถาม และเขียน  Abstract 

     A เกินคาดมากกก เพราะหวังไว้แค่บี คะแนนเราไม่ได้สูงขนาดนั้น อย่างมิดเทอมรวมแล้วได้ 40 ปลายๆ (แต่ข้อเขียนรองท๊อปนะจ๊ะ555) แต่พี่ๆคนอื่นๆ 50 ปลายๆอัพขึ้นกันทั้งนั้น 




    สำหรับปีสามเทอมหนึ่ง เลเวลความยากก็อัพขึ้นมาระดับหนึ่ง แต่ยังพอต่อกรสู้รบได้อยู่ 55555 ปี 2 ว่าอ่านเยอะละนะ ปีสามคือจะต้มกินแทนมาม่าล่ะ แล้วมาดูกันต่อในปีสามเทอมสอง แซ่บไม่แพ้กัน!!!!! 


     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in