เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Deliberate Gibberishnichised
ฉันคนเดิมที่เลิกเขียนไปแล้ว
  • ฉันไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ฉันเลิกเขียน ฉันคิดถึงการเขียนซ้ำไปซ้ำมาทุกครั้งที่ช่วงเวลาที่เคยไปร้านกาแฟแห่งนั้นปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ ฉันไปที่นั่นเพื่อพบปะผู้คนที่ล้วนชอบเขียนเหมือนกัน ฉันเจอพวกเขาโดยบังเอิญครั้งแรกเพราะฉันไปร้านกาแฟแห่งนั้นบ่อยๆ พวกเขามีกันอยู่สี่-ห้าคนและมักจะมาที่ร้านเวลาใกล้ๆ กับฉันเสมอ เมื่อก่อนนั้นฉันไม่เคยเขียนเลย ไม่เขียนเมื่อตอนนั้นก็ต่างจากการไม่เขียนในตอนนี้ เมื่อตอนนั้นฉันไม่เขียนเพราะฉันไม่รู้ว่าการเขียนทำให้รู้สึกอย่างไร แต่ตอนนี้ฉันไม่เขียนเพราะรู้ว่าการเขียนมันรู้สึกอย่างไรต่างหาก ฉันกลัวว่าถ้าเขียนแล้วไม่ได้ความรู้สึกแบบนั้นกลับมา ฉันอาจจะสำลักความผิดหวังจนตาย

    ฉันรักการอ่านมาตลอดและเฝ้ามองผู้คนที่ร้านกาแฟแห่งนั้นแลกเปลี่ยนงานเขียนกันอ่าน มันไม่ใช่แค่การอ่านหนังสือแล้วจบไปเหมือนฉันไปหยิบหนังสือบนชั้นมาอ่าน พวกเขาส่งงานเขียนให้กันด้วยใจจากมือผู้เขียนสู่มือผู้อ่าน ที่อ่านด้วยใจของคนที่รักการเขียนเหมือนกัน ผู้หญิงตัวสูงโปร่งผมหยักศกสั้นคนนั้น เธอใส่เสื้อคอเต่าสีดำเข้ารูปกับกระโปรงหนังสั้นและถุงน่องดำ รองเท้าบูทหนังเชลซีดูผ่านการใช้งานมานานแต่ยังเงาวับ เธอหยิบต้นฉบับจากมือของผู้หญิงผมยาวตรงมีหน้าม้าตัวเล็กๆ มาอ่าน ผู้หญิงผมม้าตัวเล็กคนนั้นแตกต่างกับเธอราวฟ้ากับเหว เธอใส่เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวกับกระโปรงสีครีม เสื้อคาร์ดิแกนตัวยาวสีเบจ รองเท้าผ้าใบสีขาว งานเขียนของพวกเขาถ้ามีหน้าตามันก็คงหน้าตาแบบพวกเขานี่แหละ หนักแน่นลึกลับ อีกคนก็ชวนให้สบายใจและเบาโหวง พวกเขาใส่ตัวตนและวิญญาณเข้าไปในงานเขียน

    ต้นฉบับถูกส่งจากมือของผู้หญิงคนแรกไปยังมือของอีกคน แล้วผู้อ่านก็ซึมซับเอาวิญญาณของผู้เขียนเข้าไปในตัวของเธอ แล้วส่งกำลังใจมหาศาลกลับคืนไปให้ผู้เขียนในรูปของความคิดเห็น ฉันไม่เห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้นหรอก จนกระทั่งวันหนึ่งอะไรบางอย่างทำให้ฉันลองเขียนแล้วเอาต้นฉบับไปให้พวกเขาอ่าน เมื่อมันเกิดขึ้นกับตัวเอง ฉันก็เห็นมันเกิดขึ้นกับพวกเขาทุกคนซ้ำไปซ้ำมาเหมือนภาพย้อน

    ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันสามารถเขียนได้เหมือนกัน เหมือนกับว่าตั้งแต่เกิดมา ฉันก็ใช้เวลาครุ่นคิดข้อความต่างๆ ในหัวอยู่ทั้งวัน แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็เลือกที่จะเขียนมันออกมาแทนที่จะคิดวนไปวนมาเหมือนเคย จริงๆ แล้วมันก็ไม่ยากเลย ก็แค่เขียนสิ่งที่คิดออกมา ความรู้สึกตอนที่ความคิดไหลออกมาปรากฎบนจอเป็นประโยค เป็นย่อหน้า มันน่าอัศจรรย์ ช่วงเวลาตอนที่ฉันแก้ไขข้อความที่เขียนจนมันออกมาเป็นรูปเป็นร่างต่างหากที่เจ็บปวด ทำอย่างไรให้เป็นย่อหน้าที่คนอื่นที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในหัวของฉันอ่านได้

    ฉันนั่งเขียนต่อเนื่องยาวนานอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งนั้นเช้าจรดเย็น แก้วกาแฟเปล่าวางรายล้อมรอบตัว เพราะถ้าหากว่าฉันหยุดเขียน สิ่งนั้นมันจะไม่เกิดขึ้น ฉันหยุดไม่ได้ ข้อความไหลทะลักออกมามากมายจนฉันเรียงคำออกมาไม่ถูก ทำอย่างไรให้เป็นประโยค อะไรคือประธาน กริยา กรรม ประโยคหนึ่งสามารถยาวได้แค่ไหน ย่อหน้าหนึ่งสามารถยาวได้แค่ไหน เคยมีคนบอกฉันว่าประโยคหนึ่งยาวเท่ากับที่เธอสามารถอ่านออกเสียงได้โดยไม่หมดลม แต่ถ้าฉันไม่ต้องหายใจล่ะ ฉันเขียนไปเรื่อยๆ ได้มั้ย ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันบอกไม่ได้หรอก ฉันเป็นคนเขียน ไม่ว่าจะแก้ไขอย่างไรสิ่งที่เขียนมันก็ออกมาหน้าตาเหมือนกันหมด เธอช่วยอ่านมันแล้วบอกฉันหน่อยได้ไหม ฉันถามผู้หญิงสูงโปร่งชุดดำคนนั้น เธอรับมาอย่างยินดี ได้เลย

    เธอบอกว่าเธอชอบงานของฉัน ฉันไม่แน่ใจว่ามันหมายความว่าเธอชอบฉันด้วยไหม งานฉันก็คือตัวตนของฉันนะ แต่คิดอีกทีมันก็ผ่านการแก้ไขเขียนใหม่มาหลายสิบรอบจนความคิดขยุกขยุยที่ทะลักออกมาจากหัวเมื่อตอนเริ่มเขียนออกมาจากคนละคนกัน ไม่หรอก ผู้หญิงชุดดำบอกฉันว่ามันก็คือฉันนั่นแหละ แค่หวีผมเขียนคิ้วทาปากนิดหน่อย มันคือฉันที่ฉันอยากให้โลกเห็น เธอกล่าว

    เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว ฉันไม่ได้เขียนแบบนั้นอีกแล้วล่ะ ฉันยังคงไปร้านกาแฟเป็นครั้งคราว แต่เหล่านักเขียนที่ฉันเคยรู้จักเริ่มมาที่นี่ด้วยเวลาต่างไปจากฉัน เหล่าลูกค้าขาประจำก็เริ่มพูดถึงเรื่องอื่นที่ฉันไม่เข้าใจ กาแฟที่นั่นก็ไม่ถูกปากเหมือนเคย ฉันแค่ไปที่ร้านแห่งนั้นเพราะฉันไม่มีที่อื่นให้ไป ฉันเองก็ไปท่องเที่ยวพบเจอผู้คนใหม่ๆ จนตัวของฉันไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป ฉันไม่รู้ว่าถ้าเขียนออกมาแล้วมันจะยังหน้าตาเหมือนฉันคนเดิมหรือไม่ ถ้าเหมือนเดิมฉันคงจะผิดหวัง และฉันก็ไม่กล้ารับความเสี่ยงที่จะไม่เป็นเหมือนฉันที่ฉันเคยรู้จักอีกเช่นกัน ฉันตอนนี้อยู่ในซีกโลกใต้ใส่เสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิในขณะที่ทั้งซีกโลกเหนือกำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ถ้าฉันทะเล่อทะล่าเข้าไปในสภาพนี้ผู้คนจะมองฉันแบบไหนกันล่ะ

    ฉันนั่งงงงวยและวิตกกังวลอยู่ในมุมด้านในข้างเคาน์เตอร์ของร้านกาแฟ ผู้ชายหัวฟูคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยเสื้อฮาวายสีแสบตาที่คนฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองเมื่อหน้าร้อนของซีกโลกเหนือปีที่แล้ว พร้อมแว่นกันแดดทรงฮิตเมื่อยุค 00’ รองเท้าแตะสาน โชว์นิ้วเท้าขบและขนรุงรัง ฉันมองเขาเดินเข้ามาด้วยตัวตนที่ปิดไม่มิดของเขา เขายื่นต้นฉบับให้ฉันอ่านแล้ว มองลอดแว่นออกมา ไม่ได้เจอกันนานนะ เขาว่า ขอโทษค่ะ ฉันจำไม่ได้ว่ารู้จักคุณที่ไหน เขาบอกว่าอ่านงานของเขาแล้วจะจำได้เอง

    เขาคือผู้หญิงตัวสูงชุดดำคนนั้น เขาบอกว่าไม่เป็นไรหรอกถ้าอ่านแล้วยังจำไม่ได้ เขาไปท่องเที่ยวรอบโลกมาแล้วก็เปลี่ยนชุดนิดหน่อย สถานะทางเพศก็เป็นสิ่งที่คนกำหนดขึ้นมา และเขาหมดใจแล้วกับฤดูหนาว เขาเริ่มต้นทริปที่หน้าร้อนปีที่แล้วโดยไปขออาศัยเรือจับปลาในเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อขึ้นฝั่งที่อิตาลีเขาก็ขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ จนสุดที่สแกนดิเนเวียตอนวันที่กลางวันยาวที่สุด ซึ่งหน้าร้อนที่นั่นก็ไม่ร้อนเท่าไหร่ เมื่ออากาศทางเหนือเริ่มหนาวขึ้นหลังจากหมดหน้าร้อนในซีกโลกเหนือ เขาก็หนีกลับลงใต้ แล้วไล่ยาวตามเส้นศูนย์สูตรตามหมู่เกาะแปซิฟิกจากตะวันตกไปตะวันออก เพื่อหนีอากาศหนาวที่ยังไม่หมดไปจากซีกโลกใต้ พายุโซนร้อนย่อมดีกว่าลมหนาวจากแอตแลนติก เขากล่าว พอทางใต้เริ่มอุ่นขึ้น เขาก็แจ้นไปเล่นเซิร์ฟที่โกลด์โคสต์ออสเตรเลีย แล้วมาจบที่ชายฝั่งตะวันออกของนิวซีแลนด์ เขาว่าหลังจากหน้าร้อนในซีกโลกใต้หมดจะบินข้ามมหาสมุทรไปหมู่เกาะแคริบเบียน ฤดูมรสุมหรือไม่เขาไม่สน ขอแค่ไม่หนาวก็พอ

    ฉันรู้สึกทึ่ง ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาทำหรือกำลังวางแผนไว้ แต่ทำไมคนเราถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ เสื้อคอเต่าของนายล่ะ!? เขาถามกลับมาว่า ฉันอยากอ่านหนังสือที่เขียนออกมาด้วยตัวเขาคนเดิมหรอ ฉันเงียบ ไม่แน่ใจในคำตอบ เขาตอบว่าถ้าอยากอ่านก็กลับไปอ่านงานเก่าๆ ของเขาซะ ตัวตนของเขาคนเดิมมันก็ยังอยู่ในนั้นแหละ แต่ตอนนี้เขาเป็นแบบนี้ ก็มีแต่เรื่องนี้ให้อ่าน พูดจบเขาก็ดูดชานมไข่มุกในมือจนหมดแก้วเสียงดังพรูด เมื่อก่อนพี่สาวชุดดำกินแต่กาแฟดำขมปี๋และรังเกียจลาเต้ของน้องสาวผมม้าจับใจแท้ๆ

    ฉันจะเขียนก็ได้!

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
mechumh (@mechumh)
พี่แนทททท ;____;
nichised (@ksdholler)
@mechumh y___y