เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Deliberate Gibberishnichised
moral support to myself
  • 1.

    ฉันกำลังเลือกมะเขือเทศสีแดงน่ากินอยู่ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นใต้ดินของห้างใกล้มหาลัย ข้างๆเป็นหนุ่มออฟฟิศท่าทางคุ้นตาเพราะเดินสวนกันบ่อยและเศร้าซึมอย่างสม่ำเสมอยืนพูดคนเดียวกับคื่นช่ายมาสักพักแล้ว ได้ยินแว่ว ๆ ว่าไม่มีตังซื้อบัตรคอนเสิร์ตที่ถาโถมเข้ามาเหมือนกลัวจะไม่ได้มาเยือนประเทศไทยก่อนวันสิ้นโลก จนฉันต้องแอบขำหึหึใส่มะเขือเทศเชอร์รี่และมะเขือเทศท้อลูกใหญ่ในตะกร้า ที่สุดท้ายก็หยิบมาทั้งสองแบบเพราะเลือกไม่ได้ ฉันกับเขามีปัญหาแบบเดียวกัน แต่ฉันมีแต่กับของกินส่วนปัญหาของเขายากหน่อยเพราะจำนวนเลขศูนย์ต่อท้ายมากกว่าฉันสองหน่วย

    สงสัยจะเผลอขำดังไปหน่อย เขาหันมามองตาขวาง

    “แอบขำผมหรอ"

    “เปล่าค่ะขำเพราะเห็นมะเขือเทศแล้วนึกถึงก้นคิมคาร์เดเชียน”

     

    ฉันยิ้มกลับไปแบบที่คิดว่าต้องน่าหมั่นไส้เท่าทุกคนในบ้านคาร์เดเชียนรวมกัน

    รู้สึกภูมิใจกับประโยคเมื่อกี้จังเลยอะนัท

    เห้อแกนี่มันตัวอิจฉาจริง ๆ 

     

    ถุงพลาสติกพะรุงพะรังรอบตัวเพราะแผนการกินคืนนี้ยิ่งใหญ่นัก ฉันอยากจะรีบกลับหอไปฉลองมื้อใหญ่กับนัท จนหัวมีภาพตัวเองกำลังประกอบอาหารแล่นซ้ำไปซ้ำมา แต่สารคดีครัวคุณเดือนก็โดนตัดจบเพราะพ่อหนุ่มคื่นฉ่ายนั่งทำหน้าว่างเปล่าอยู่ตรงม้านั่งหน้าห้องน้ำหน้าทางเดินไปประทับตราจอดรถเห็นแล้วก็สงสาร แถมของสดพวกนี้ก็หนักเหลือเกิน ฉันทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ แล้วฉันกับเขาก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

    “นี่ผมไม่ได้เศร้าเพราะบัตรคอนเสิร์ตหรอกนะ”


    ฉันเงียบไปประมาณ 7 วินาที ไม่แน่ใจว่าเขาพูดกับฉัน คื่นช่ายในถุงข้างตัว หรือตู้เอทีเอ็มตรงหน้า แต่ฉันก็อนุญาตตัวเองให้ร่วมบทสนทนาไปแล้ว

    “เอ่อเราไม่รู้หรอก แต่หน้าเธอดูเศร้าคนละแบบกับการพลาดบัตรคอนเสิร์ตนะ”

    “ก็—” เขาดูลังเล คงจะไม่อยากพูดกับคนแปลกหน้าเท่าไหร่ ไม่น่าเลย ฉันน่าจะอยู่เงียบๆ

    “ไม่ต้องบอกก็ได้เมื่อกี้ไม่ใช่ประโยคคำถาม”

    “งั้นผมถามแทนแล้วกัน รู้มั้ยว่าทำยังไงถึงจะเลิกโทษตัวเอง”

    นี่คงจะทนไม่ไหวจริง ๆ ถึงโพล่งออกมากับคนแปลกหน้าแบบนี้

    เขาทำให้ฉันคิดถึงนัท

    “หยิบคื่นช่ายมา”

    “ห้ะ”

    “เพื่อนสนิทตอนป.4เธอชื่ออะไร”

     

    เขาลังเลไม่รู้ว่าเพราะไม่มีเพื่อนหรือเพื่อนเยอะจนเลือกไม่ถูกกันแน่

    “บอล”

    “ต่อไปนี้ถ้าอยากเลิกโทษตัวเองให้คิดว่าตัวเองคือบอล แล้วคื่นช่ายคือคุณ”

    “ส่วนคุณคืออะไร กัญชาหรอ” ฉันทำเป็นไม่ได้ยินประโยคนั้น

    “ถ้าเริ่มคิดอะไรแย่ ๆ ก็พยายามปลอบคื่นฉ่ายเหมือนที่บอลจะปลอบคุณ ขอให้เป็นวันที่ดีนะ นายคื่นช่าย”

     

    ฉันหายเหนื่อยแล้วจึงลุกออกมา ใจคิดถึงแต่อาหารมื้อเย็น ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอกว่าเขาเข้าใจฉันไหม

     

    2.

    วันนี้ฉันมาร้านกาแฟโปรดใกล้บ้าน คาปูชิโน่ในมือร้อนมากแต่อยู่ในห้องแอร์ ใครแคร์ ถ่ายรูปกาแฟเสร็จฉันก็กดมือถือ

    นี่นัท แกว่าฉันขี้เสือกไปไหม

    “กับพ่อหนุ่มคื่นช่ายนะหรอ

    อือ

    "ไม่หรอกเขาก็ดูยินดีที่เธอไปร่วมบทสนทนากับเขานะ

     

    ฉันลืมความคิดนั้นไป พยายามอ่านย่อหน้าเดิมในหนังสือที่อ่านมาสามรอบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แต่นัทเคยบอกว่าถ้าไม่เข้าใจก็อ่านย่อหน้าต่อไปเรื่อย ๆ แล้วหวังว่าจะเข้าใจย่อหน้าถัดไปเอาละกัน

     

    3.

    วันนี้ฉันมาร้านหนังสือมือสองแถวบ้าน

    ฉันมาที่นี่บ่อยมาก เคยมาแล้วเกือบทุกเวลามาจนจำลูกค้าประจำคนอื่นได้ ยิ้มให้กันบ้าง แต่ก็ไม่เคยถามชื่อใครสักที จนตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะถามแล้ว แต่มีคนนึงที่เจอบ่อยและหลังๆมานี้ดูร่าเริงขึ้นกว่าปกติ

     

    “อ้าวสวัสดี คุณกัญชา” เห้อบางทีฉันควรใช้วิธีนี้ ไม่ถามแล้วตั้งชื่อให้เองเลยก็ง่ายดี

    “นั่นแปลว่า 'สวัสดีครับคุณชื่ออะไร' หรือเปล่า”

    “ขอบคุณที่ทำให้ชีวิตผมง่ายขึ้น กำลังคิดอยู่เลยว่านี่มันสายเกินไปไหมที่จะถามชื่อ”

     

    ฉันก้มลงกดโทรศัพท์

    นัท ช่วยคิดมุกหน่อย

    คิดไม่ออกเหมือนกันว่ะเสียใจด้วย

     

    ฉันถอนหายใจ

    ก็ได้

    “เราชื่อเดือน” พูดจบฉันก็เงียบ ยืนจ้องหน้าเขาเฉยๆ

    “ไม่อยากรู้ชื่อผมหรอ”

    “ก็ปกติเห็นอยากพูดอะไรก็พูด ต้องถามด้วยหรอ”

    “ตอนนี้ไม่ค่อยอยากพูด ไม่บอกละกัน”

     

    ฉันทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเดินหนีไปหมวดหนังสือทำอาหารเพื่อหาคำตอบว่าการกลายเป็นคื่นช่ายนี่ทำให้กลายเป็นคนอารมณ์ดีได้ขนาดนี้เลยหรอ

     

    4.

    ไม่รู้ว่าควรขอบคุณผู้ว่ากรุงเทพสมัยไหนดีที่ทำให้สวนที่น่าวิ่งในเมืองมีอยู่ที่เดียว แล้วคนทั้งโลกก็เหมือนจะนัดกันมาวิ่งตอนหกโมงเย็นหลังเลิกงานเหมือนทุกวันคือวันมาฆบูชา ฉันเห็นคนต่อแถววิ่งกันเหมือนกำลังประท้วงแล้วก็ท้อใจ มานั่งพักตรงม้านั่งหน้าห้องน้ำดีกว่า

     

    “อ้าวเดือนมาวิ่งที่นี่เหมือนกันหรอ” เอ้อ แถมยังเป็นคนเดิมๆอีกต่างหาก

    “เปล่า เรามาซื้อน้ำฝรั่งแต่ดูนาฬิกาผิด นึกว่านี่หกโมงเช้า”

     

    เขายิ้มขำแบบคนมีภูมิต้านทานแล้วถามต่อแบบไม่สนใจ

    “เดือนมาคนเดียวหรอ”

    “ไม่เชิง รอเพื่อนอยู่”

    “นัทหรอ”

    “นี่! เธอแอบฟังเราคุยโทรศัพท์เมื่อกี้หรือไง”

    “ก็” เขาอ้ำอึ้งแล้วยิ้มแห้งพยายามเปลี่ยนเรื่อง

    “เดือนมีพี่น้องมั้ย แล้วพี่นี่ชื่อวัน น้องชื่อปีหรือเปล่า”

    ฉันรู้สึกอายแทนกับมุกนี้

    “เราเป็นลูกคนเดียว เดือนมาจากเดือนเพ็ญ”

    “เกิดวันพระจันทร์เต็มดวงละสิ คลาสสิกชะมัด”

    “เปล่า เกิดคืนเดือนมืดแต่พ่อบอกว่าคืนนั้นเราเหมือนพระจันทร์สำหรับพ่อ”

    “โห เท่เป็นบ้า”

    “ล้อเล่น พ่อเลือกชื่อล่วงหน้ามาแล้วครึ่งปีตั้งแต่ยังไม่รู้กำหนดคลอด พ่อแค่ชอบชื่อนี้”

    เขานิ่งไปพักนึง

    “จริงๆแล้วเราก็ชื่อนัท ซ้ำกับคนอีกครึ่งประเทศอะ เบื่อหรือยัง รู้จักแต่คนชื่อนี้ จะเรียกคื่นช่ายเหมือนเดิมก็ได้นะ ฮ่า ๆ ”

    ฉันยิ้มกว้างจนตาแทบปิดให้เขาเป็นครั้งแรกแต่ไม่พูดอะไร

     

    5.

    ฉันเจอกับนัท (คื่นช่าย) (แบบไม่บังเอิญ) บ่อยขึ้น แล้วก็จับมือถือคุยกับนัทน้อยลงไปโดยปริยาย

    ฉันตัดสินใจสารภาพกับเขา

    “นี่ จริง ๆ แล้วนัทเป็นเพื่อนชื่อนัทจริงๆคนแรกของเราล่ะ”

    อเมริกาโน่เย็นในมือนัทเกือบร่วงแต่ฉันคว้าไว้ทัน ฉากนี้เกิดขึ้นในหัวฉันมาเป็นร้อยครั้งเหมือนนั่งตัดต่อวิดิโอจนต้องดูซ้ำๆ

    เขารีบถามต่อ

    “แล้วนัทนั้นล่ะ แฟนหรอ”

    “เปล่า เพื่อนในจินตนาการน่ะ”

    นัทเงียบไปพักใหญ่แล้วถามสั้น ๆ “ผู้ชายหรือผู้หญิง”

    ฉันมองหน้าเขาแบบไม่แน่ใจว่าเพศของเพื่อนนี่สำคัญกว่าการที่เพื่อนฉันมีอยู่แค่ในจินตนาการอีกหรอ

    “ผู้ชาย”

    “เพื่อนจริงหรอ” ให้ตายเถอะ ฉันเริ่มอยากจะถอนหายใจแรง คนทั้งโลกนี่ชื่อซ้ำ ๆ กันแล้วยังคิดอะไรเหมือน ๆ กันอีก

    “ผู้หญิงกับผู้ชายก็เป็นเพื่อนกันได้ไม่เห็นแปลกตรงไหน”

    “ก็ตามสถิติแล้วมันไม่ค่อยมี”

    “แล้วเพื่อนในจินตนาการตามสถิตินี่มีเยอะหรอ” ฉันเถียงแบบไม่ค่อยเต็มใจกับเหตุผลนี้เท่าไหร่

    “ไม่รู้ แต่บอลก็เป็นเพื่อนในจินตนาการเราเหมือนกัน”

    “เออ ทีเรายังไม่เคยคิดว่านัทกับบอลเป็นแฟนกันเลย”

    นัททำหน้าเซ็ง “มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ”

    “เหมือนสิ เราจะไปรู้ได้ไง ตามสถิติแล้วผู้ชายเป็นแฟนกันก็เยอะแยะไป”

    นัทนิ่งไปก่อนจะกลับมายิ้มเหมือนเดิม

    “เออก็จริง แล้วนี่มีเพื่อนสนิทชื่อนัทติดอยู่ในหัวขนาดนี้แล้ว ยังอยากได้เพื่อนชื่อนัทอีกคนหรอ”

     

    โอโห นอกจากเพื่อนในจินตนาการแล้วฉันจะไปหาคนแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก ฉันไม่รอแล้ว

    “แล้วถ้าเราไม่อยากเป็นแค่เพื่อนกับนัทได้มั้ย”

    “ก็ได้อยู่หรอก แต่เดือนจะกลับมาไม่มีเพื่อนชื่อนัทจริง ๆ เหมือนเดิมนะ”

    “สบายมาก”

    เขายิ้ม เช็ดมือที่พึ่งวางแก้วอเมริกาโน่เย็นแล้วเอื้อมมาจะจับมือ แต่ฉันหลบ

    “ไม่เอา ไม่ชอบมือเย็น ๆ ” ฉันหลบหน้า ไม่ทันได้มองว่าเขาทำหน้าอย่างไร

     

    5.1

    ทำไงดีอะนัทจริงๆเราไม่ได้สนหรอกว่ามือจะเย็นมั้ย เราแค่เขิน ฮ่า ๆ ’  

    อย่ามาเสียดายทีหลังละกัน

    เขาจะเสียใจไหมอะ เขาต้องคิดว่าเรารังเกียจแน่ ๆ เลย

    เห้อ คราวหน้าก็อย่าทำอีกสิ

     

    6.

    สรุปว่าหลังจากวันนั้นฉันกับนัทก็น่าจะเป็นแฟนกันแบบงง ๆ

    “นี่ ทำไมเดือนถึงตั้งชื่อเพื่อนในจินตนาการว่านัทอะ มันเป็นชื่อที่น่าเบื่อมาเลยนะ”

    “เราไม่ได้มีเพื่อนเยอะ ก็ไม่ถึงขนาดไม่มีสังคม แต่รู้สึกแพ้มากที่ไม่มีเพื่อนชื่อนัทเลยเวลาคนแข่งกันว่ามีเพื่อนชื่อนี้ซ้ำกันกี่คน”

    “แล้วปกติคุยอะไรกันกับนัทหรอ”

    ฉันไม่ถือหรอกที่จะถาม จริง ๆ ก็เล่าได้ทุกอย่างนั่นแหละ ถ้าเล่าก็คงโดนล้อไปอีกสิบปี แต่ช่างเถอะ มาขนาดนี้ละ

    “เหมือนที่เราคุยกันวันแรกอะ”

    “นี่เธอมีเพื่อนในจินตนาการเป็นคื่นช่ายหรอ”

    “ใช่ที่ไหนล่ะ ไอ้บ้า เราหมายถึงเอาไว้ปลอบใจตัวเองต่างหาก”

    “ปลอบตัวเองก็พูดกับตัวเองก็ได้นี่ทำไมต้องเป็นคื่นช่ายด้วย”

    นี่ก็ฝังใจกับผัก ฉันถอนหายใจ

    “เราต้องหลอกตัวเองว่าปลอบคนอื่นอยู่น่ะคุยกับตัวเองตรง ๆ ก็เผลอใจร้ายกับตัวเองทุกที หรือนัทว่าไม่จริง”

    เขาเงียบไป แต่ก็ยิ้มบาง ๆ กลับมา


    7.

    นี่นัท เราเล่าให้เขาฟังหมดแล้วนะขอบคุณที่คอยฟังเราบ่นมาตลอด

    อื้ม ยินดีด้วย

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
thefirstofmine (@thefirstofmine)
อ่านแล้วรู้สึกแอบเศร้านิดๆ แบบแอบเศร้า เหมือนฟองคลื่นที่ทำให้เราเย็นได้แต่ก็ทำให้เราเปียกได้เหมือนกัน เพื่อนในจินตนาการที่คอยอยู่ข้างๆ เราตลอดจนกระทั่งวันนึงเรายืนได้ด้วยตัวเอง เรามีความสุข แต่ก็อดที่จะคิดถึงเพื่อนในจินตนาการไม่ได้
daiong (@Daiong)
อ่านแล้วบรรยากาศรู้สึกเบา ๆ แต่ก็เศร้าอย่างประหลาด