เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เพียงชายคนนี้ไปเวียดนาม(ใต้)วันที่สิบเจ็ดแบงค์
Mui Ne and Us
  •                      พวกเราเริ่มต้นการเดินทางกับสถานที่แรก "Fairy Stream" ซึ่งเป็นลำธารเล็กๆที่น้ำตื้นระดับข้อเท้ายาวไปเกือบกิโล ลำธารแห่งนี้เกิดจากการกัดเซาะของหินทราย จนทำให้ละม้ายคล้ายคลึงกับ”แกรนด์ แคนยอน” จนบางทีผู้คนก็เรียกว่านี่คือ “แกรนด์ แคนยอน เวียดนาม” 
                        ก่อนจะเข้าไปสู่ดินแดนหินเซาอัศจรรย์ พวกเราก็โดนเด็กตรงทางเข้าบอกให้จ่ายค่าเข้ากับค่าฝากรองเท้า 5000 ดอง (ถ้ามากับทัวร์ของโรงแรมไม่ต้องเสียส่วนนี้ นั่นไงเห็นความต่างแล้ว) แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่นี่เป็นผลงานศิลปะที่ลงตัวของพระเจ้ามาก สีขาวเทาตัดกับทรายแดง พวกด้วยลำธาร และคลุมด้วยท้องฟ้าสีฟ้า สวยจริงๆ

     แข็งแกร่งและทรงพลัง

                       ผมพยายามถ่ายรูปให้ได้ตามที่สายตาเห็น แต่มันยากเหลือเกินที่จะทำให้สวยเท่านั้นได้ (หรือผมห่วยเองเรื่องถ่ายรูป ฮ่า)


                           เราอยากจะไปให้ถึงต้นน้ำ แต่เวลาที่พี่ชายขับรถจิ๊บมีให้นั้นช่างน้อยเหลือเกิน เราจึงไปสถานที่ต่อไปคือไป White Sand Dunes เลย (เราข้ามหมู่บ้านประมงไป เพราะที่พักเราอยู่ใกล้กับที่นี่)
                           ตั้งแต่เมื่อเช้าที่ดาลัท ยันตอนบ่ายที่มุยเน่ พนักงานฟรอนท์ของที่พักทุกเมืองที่เราไปมา เอาแต่บอกว่าเราโชคดีที่มาเที่ยวในช่วงที่พายุพึ่งหนีไป เราก็ได้แต่นิ่งนอนใจวันนี้เที่ยวสบายแล้ว 
                      
                           แต่ทว่า…

  •                        ฝนตก !!!
                           ยิ่งกว่าเซอไพรส์ว่าพายุหายไปแล้ว พวกเราก็เซอไพรส์ยิ่งกว่ากับฝนที่ตกอย่างหนักตอนนี้
                           ไหนบอกว่าพายุไปแล้วไงพี่!!!
                            ฝนตกอย่างหนักและไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดเลย เมฆคิวโมลูนิมบัสปกคลุมเหนือท้องฟ้าตลอดทางที่เราไปจนไปถึงที่ white sand โอย โชคดีอะไรของพวกเมริ้งงงง โดนจังๆเลย
     
                            เราก็ได้แต่รอแล้วก็รอจนเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง การรอคอยเราก็เห็นผล 
                            
                             ฝนหยุดแล้ว!!!
                             ในที่สุดเราก็สามารถมาถึงเป้าหมายหลักประจำวันนี้ ซึ่งก็คือ White Sand Dunes 
                             การจะเข้าไปที่ White Sand นี้ คุณสามารถเดินเข้าไปได้ แต่นั่งรถเข้าไปดีกว่า 
                             รถจี๊ปที่เรามานั้นไม่สามารถเข้ามาได้ เราจึงต้องมาจ่ายค่ารถจิ๊ปต่ออีกคนละ 200000 ดอง 
                             พอลองมาคำนวณดูแล้ว ราคาที่จ่ายไปทั้งหมดนี่ก็พอๆกับราคาทัวร์ที่โรงแรมเลย แต่เราก็ไม่ชัวร์ว่าถ้ามาทัวร์ของโรงแรม ยังจะต้องจ่ายค่าเข้าไปอีกรึเปล่า 
                             ไม่ต้องมามัวคิดเรื่องเงินๆทองๆแล้ว พวกเราควรรีบไปเก็บภาพกับทะเลทรายนี้ให้มากที่สุด เพราะฟ้าฝนทำให้เสียเวลา รวมถึงเวลากลางวันกำลังจะหมดลง

                        ตามจุดที่สูงๆ จะมีคนมาเสนอให้เล่นบอร์ด เราไม่รู้ราคา เพราะเราไม่คิดจะลอง เนื่องจากกลัวทรายเต็มหลัง 
                        ซึ่งวิธีการเล่นก็จะให้เรานอนราบไปกับแผ่นพลาสติก แล้วก็ปล่อยตัวลงมา แค่นั้นแหละ จบ
    อย่างกับเล่นสไลเดอร์ในสวนน้ำ
                         หมดเวลาพี่จี๊ปแดงก็เรียกให้เรากลับได้แล้วและพามาส่งตรงทางเข้า พี่ชายขับรถจี๊ปตอนแรกก็บอกว่าไป Red Sand Dunes ต่อ 
                         ดูจากเวลาแล้ว เราไม่มั่นใจเลยว่าจะไปทันพระอาทิตย์ตกดินหรือไม่ 
                         ในโทรศัพท์เราเต็มไปด้วยรูปถ่ายจากที่นี่ เช่นเดียวกันกับความทรงจำเราที่เต็มไปด้วยภาพทะเลทรายที่เราได้ไปสัมผัสมาจริงๆ สวยจริงๆ สวยจนรู้สึกลืมทุกอย่างเลย 
                          ผมไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเลย เพราะรู้สึกอิ่มเอมกับทะเลทรายที่พึ่งไปมามากๆ และถ้าหากได้ชมพระอาทิตย์ตกที่ Red Sand จะเป็นอะไรที่เต็มอิ่มขั้นสุด
                          รถจี๊ปเรากำลังแข่งกับเวลา พี่ชายคนขับหน้าตาเคร่งเครียดมาตลอดทาง ไม่รู้ว่าเครียดที่กลัวจะพาเราไปถึง red sand ไม่ทันพระอาทิตย์ตกดิน หรือ เครียดที่มาให้บริการชายฉกรรจ์สุดแสนหน้าตาดีชาวไทยทั้ง 5 คนกันแน่ (ทำตัวตามสบายพี่ อย่าเกร็ง)
     เหยียบมิดไปเลยครับพี่
                              ปรากฏว่า….
                              พระอาทิตย์ตกไปแล้วเรียบร้อย…
                               เราเดินไปเหยียบ Red Sand เพื่อให้รู้ว่ามาถึงแล้วแค่นั้นก็กลับ เพราะไม่มีอะไรให้ถ่ายหรือให้ซึมซับบรรยากาศกันแล้ว เนื่องจากมืดไปหมดแทบไม่เห็นอะไร 
                                จากทะเลทรายสีแดงตามชื่อตอนนี้ถูกฉาบด้วยสีน้ำเงิน ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่ความสว่าง 
     
                                 
                                จบทริปวันนี้อย่างไม่ทันตั้งตัว….



                            
  •                               พวกเรากลับมาถึงโรงแรม แล้วซื้อตั๋วกลับโฮจิมินห์ในวันพรุ่งนี้เที่ยง พร้อมกับให้ทางโรงแรมแนะนำร้านอาหารซีฟู้ด ซึ่งมุยเน่เป็นเมืองชายฝั่งที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลมาก 
                                  รีเซ็ปชั่นสาวสุดเฟรนลี่คนนี้ก็ไปให้เชฟประจำโรงแรมแนะนำ แน่นอนว่าพี่แก ชายหนุ่มเฟรนช์แมนเคราครึ้มนามว่า โจ ก็ได้เดินพาผมออกมายังร้านซึ่งอยู่เยื้องๆโรงแรมเท่านั้นเอง พร้อมบอกว่าร้านนี้ดีแล้ว มีส่วนลดให้ 
                                   พวกเราเชื่อใจโจอย่างว่านอนสอนง่าย…
                                   ผมทำความสะอาดร่างกายให้พร้อมก่อนที่จะออกไปสวาปามมื้อค่ำตามที่ตั้งใจกันไว้ 
    และเมื่อทุกคนพร้อมก็เดินตรงไปยังร้านที่มองซิเออร์โจแนะนำ ปรากฏว่า…เมนูอย่างน้อยเลย ไม่ใช่ตามที่พวกเราตั้งใจกันไว้ แถมกว่าจะเสร็จก็นานโคตร เราจึงสั่งคนละจานและรีบออกไปร้านอื่นให้เร็วที่สุด 
    เมื่ออาหารมา เรารีบกินอย่างไม่รีรอและรีบมุ่งหน้าไปหาร้านอื่นทันที 
                                    แต่เวลานั้น ร้านอาหารซีฟู้ดปิดแทบทั้งหาด…
                                    พวกเราเดินมาเรื่อยจนเจอร้านนึงที่ใกล้ปิดแต่ยังพร้อมให้บริการแก็งค์พวกเรา 
                                    นี่ไง ร้านแบบที่เราต้องการ! 
                                    เมนูอาหารทะเลสดมาเพียบ ไม่ว่าจะเมนูไหนก็น่ากินแต่ราคาไม่ได้ถูกอย่างที่คิดนัก (แหงล่ะ ตังเหลือน้อยแล้วไง) 
                                   พวกเราสั่งหอยนางรม หอยเชล ปลาหมึกย่าง และ ปู่นึ่งอีกครึ่งโล รสชาติที่ดีเยี่ยม และ ความเร็วที่ได้อาหารทำเอาเราลืมฝันร้ายที่พึ่งผ่านมาเมื่อครู่ อาหารมาเสริฟเร็วเท่าไหน อาหารก็หมดเร็วเท่านั้น สรุปเบ็ดเสร็จมื้อนี้ ล้านกว่าดอง … 
                                   มาถึงจุดที่กินหมดมื้อเดียวกันล้านกว่าแล้วโว้ยยย รู้สึกรวยและกำลังจะจนพร้อมกัน 
                                   หมดตัวกันแล้วก็กลับไปเลียแผลที่โรงแรมกันเถิด และ พึงระลึกไว้ “อย่าเชื่อโจ”
    อีกหลายเมนูที่กล่าวไว้ไม่ได้ถ่ายเพราะมาถึงหมดเกลี้ยง และทั้งหมดนี้เบ็ดเสร็จล้านกว่าดอง 
    ปล.รูปสุดท้ายเป็นน้ำจิ้มซีฟู้ดของที่นี่ เป็นเหมือนผงชูรสผสมกับมะนาว ซึ่งได้ลองกินแล้วก็พบว่าไม่อร่อยเอาเสียเลย ยังดีหน่อยที่ทางร้านยังมีน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบไทยให้ รอดเลย ฮ่า

                     หลังจากเสร็จจากมหกรรมการสวาปาม เราก็เดินแบกท้องกลับโรงแรม แต่เรายังไม่อยากให้ค่ำคืนนี้จบแค่นี้ เราจึงซื้อเครื่องดื่มกับทางรีเซ็ปชั่นแล้วออกไปนั่งชิลตรงระเบียงลานโล่งที่ยื่นออกไปริมชายหาด
                        ลมทะเลพัดมาเต็มๆตรงจุดที่เราอยู่ ขณะนี้มีเพียงแค่เรา 5 คน นั่งทอดสายตาไปยังทะเลจีนใต้อันกว้างไกล มีเพียงแสงไฟจากเรือประมงและจากฝั่งตัวเมืองที่ชัดเจนในภาพที่เราเห็นตลอดช่วงเวลา แห่งสุนทรียภาพ ทุกอย่างดูมืดแต่กลับเต็มไปด้วยความสงบ พวกเรามานั่งผ่อนคลายด้วยการร้องเพลงเคล้าไปกับจังหวะกีต้าร์ของพี่ต้น พร้อมกับจิบเครื่องดื่มที่ทุกคนมีเป็นของตัวเองไปพลางๆ หวนรำลึกถึงสถานที่ที่ได้ไปมาในวันนี้ แล้วรู้สึกอิ่มเอมใจ 
                         เป็นเมืองที่สวยงามจริงๆ ไม่ผิดหวังเลย... 

                       

                       หากจะกล่าวเวลานี้ผมรู้สึกเป็นนิรันดร์ก็ดูจะเกินไป แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมรู้สึกว่าผ่อนคลายสุดๆไปเลยครับ… 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in