เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เพียงชายคนนี้ไปเวียดนาม(ใต้)วันที่สิบเจ็ดแบงค์
จดหมายเหตุ ณ นครโฮจิมินห์ บทแรก
  •                 หนังที่สนุกมักจะมีคอนฟลิคที่หนักหน่วงฉันใด การเดินทางย่อมมีอุปสรรคฉันนั้น...
                    แต่ทำไมพวกกูเจออุปสรรคเร็วจังวะ... 
                 ทันทีที่เราย่างท้าวลงบนแผ่นดินฟาม งู หลาว เทพีแห่งโชคก็วิ่งหนีจากพวกเราไปทันที เพื่อนเราลืมกระเป๋าตังค์ไว้บนรถ กว่าจะรู้ตัวว่าลืม รถก็น่าจะขับไปไกลแล้ว -โอ้มายฟัคกิ้งก้อดดด 
    คนที่พอจะสื่อสารด้วยรู้เรื่องก็แทบไม่เจอ ตำรวจหรอ ลืมไปได้เลย หายากพอๆกับเพนกวินในทุ่งหญ้าสวันนา 
                  บรรยากาศทัวร์เราตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับคนพึ่งโดนโจรปล้น แม้ว่าเพื่อนจะกระเป๋าตังหายคนเดียว แต่อีก4ชีวิตที่เหลือก็เหมือนถูกปล้นความตื่นเต้นและความคึกคักที่จะออกลาดตระเวนในเมืองโฮจิมินห์ไปเสียแล้ว... เหอๆ ซวยตั้งแต่ต้นเลยหมู่เฮา
                     เราเคว้งกันพักใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามเราจะมาล้มแล้วไม่ลุกไม่ได้ ซื้อตั๋วรถกับเก็บกระเป๋าก่อนค่อยว่ากัน 
                       Futa Bus Line คือเป้าหมายที่เราจะมุ่งไปเพื่อจองตั๋วรถนอนสู่ดาลัท อัตราค่าโดยสารต่อคนอยู่ที่ 211000 ดอง และฝากกระเป๋าที่ Kim Tran โฮสเทลข้างๆที่จองตั๋ว ราคาต่อคนที่ 5 ดอลล่าร์ 
    ท้องว่างมาตั้งแต่ไทย ถึงเวลาที่ต้องเอาอาหารเวียดนามมาเติมเต็มแล้ว 

    อาหารมื้อแรกตั้งแต่เหยียบแผ่นดินเวียดนาม
                      เรามากินเฝอตรงหัวมุมถนน ชื่อร้านจำไม่ได้ขออภัยด้วยร้านนี้ดูดีทีเดียวมีหลายชั้นเลย ผมสั่งเฝอสตูว์เนื้อ(ตามรูป) พร้อมกับค่าเสียหาย 65000 ดอง สำหรับรสชาตินั้น ผมว่าจืดอ่ะ ไม่ดีแต่ก็ไม่ร้าย ผักเยอะมาก เป็นภัยต่อปวงชนคนเกลียดผักแน่นอน ในส่วนของเนื้อนั้นรู้สึกว่าแข็งพอๆกับยางรถมอไซค์ สอบผ่านในเรื่องทำให้อิ่ม แต่ทาบเส้นในความประทับใจต่อรสชาติ เพื่อนเราก็แยกไปหากระเป๋าตังแล้ว คนที่เหลือก็ทำได้แค่ภาวนาให้มึงหาให้เจอนะ

  •                       มื้อแรกผ่านไป เราพร้อมแล้วที่จะออ.....
                          อ้าว ฝนตก…
                         
    เทพพิรุณสาขาโฮจิมินห์ออกมาทักทาย (เอ่อ ท่านเทพครับ เก็บไว้ตกหลังจากผมกลับก็ได้)
                         
                           ในที่สุดเราก็เจอฝนจนได้ จากที่ครึ้มมาตลอดเช้า ดูท่าจะไม่หยุดง่ายๆด้วยสิ เราเลยพับแผนที่จะออกเดินทางเก็บแต่ละสถานที มุ่งหน้าสู่โฮสเทลเพื่องีบแม่งเลย ระหว่างทางเราแวะเข้ามินิมาร์ทที่ชื่อว่า Circle-K อารมณ์คล้ายๆ 7-11 บ้านเรา เพียงแต่อาหารให้เวฟมีไม่เยอะมากเท่าไหร่ แต่เต็มไปด้วยของประทังชีวิตเบื้องต้นไปจนถึงของฟุ่มเฟือยที่ไม่ต้องซื้อก็ได้ 
    ผมเดินสังเกตุการณ์ในมินิมาร์ทไปเรื่อย จนมาสะดุดตรงโซนขายเบียร์ในตู้แช่ และผมก็ค้นพบความยอดเยี่ยม 3 ประการว่า 
                         1. ที่นี่ซื้อเบียร์ตอนไหนก็ได้ วันไหนก็ได้ ไม่แน่ใจว่าอายุเท่าไหร่ก็ได้ด้วยรึป่าว แต่ซื้อได้ทุกที่ทุกเวลานี่ถูกใจคอเบียร์จากเมืองพุทธ ประเทศที่ไม่ขายเครื่องดื่มพวกนี้ในวันสำคัญทางศาสนาและยังจำกัดเวลาซื้ออีก
                         2. เบียร์บางยี่ห้อแม่งถูก ถูกกว่าข้าวหรือของกินอย่างอื่นอีก ถูกกว่าแบบนี้กินแทนข้าวไปแม่งเลย 
                         3. เบียร์ยุโรปที่ขายในไทย สำหรับที่นี่ถูกมาก ราคาไม่ถึงร้อยบาท หยุดพิมแค่นี้ก่อนแล้วกัน แม่งดีจนอยากจะร้องไห้
                         ผมอยากจะอุดหนุนธุรกิจน้ำเมาพวกนี้ทันทีเหลือเกิน แต่กิเลสย่อมถูกระงับด้วยการพยายามประหยัดงบ ผมเลยบอกตัวเองว่าก่อนขึ้นรถนอนไว้จะมาซื้อนะ -หวังว่าผมจะไม่ลืมความตั้งใจนี้นะ
                         เพื่อนที่ออกไปตามหากระเป๋าตอนนี้ก็กลับมาแล้วพร้อมผลลัพธ์ที่ทุกคนต้องการ ในที่สุดก็เจอกระเป๋าแล้ว แถมทุกอย่างในกระเป๋าก็ยังอยู่ครบ ขอบคุณพนักงานขับรถจริงๆที่ยังเก็บไว้ให้ โฮจิมินห์ไม่สิ้นคนดีจริงๆ สัญญาณแห่งการท่องเที่ยวเริ่มแล้ว เราเริ่มกลับมามีพลังอีกครั้งพร้อมแพลนถึงแลนด์มาร์คที่ยังพอจะไปเก็บได้ อนิจจาฝนก็ยังตกอยู่ เราเลยกลับที่พักชั่วคราว เพื่องีบซักหน่อย ตอนเย็นๆค่อยออกเพราะฝนคงน่าจะหยุด 
                         พักซักเดี๋ยวเดียวแล้วกันนะไซง่อน...

  •                เสียงฝนยังคงซัดสาดอยู่ ไม่มีทีท่าเลยว่าจะเบาลง แม้ว่าอาคารแห่งนี้จะถูกก่อสร้างแบบลักษณะอาคารพานิชย์แบบมีดาดฟ้า แต่ผู้พักอาศัยกลับยังได้ยินเสียงฝนที่ตกลงมาชัดเจน เสมือนกับเราอยู่บ้านที่มุงสังกะสี “สาดดดด หยุดได้แล้วโว้ย”
               เราตื่นมา2-3รอบ ก็ยังพบเจอแต่ภาพและเสียงเดิมๆคือฟ้าที่ครึ้มและเสียงฝนที่ยังคงเทลงมา ดูเวลาที่หน้าจอโทรศัพท์ นี่ก็พึ่งบ่าย2ครึ่งเอง เอาวะยังพอมีเวลาถึงเย็น ผมเลยนัดหมายกับมิตรสหายว่า 4โมงเย็นก็ควรออกไปเที่ยวกันได้แล้ว ถ้าฝนมันเบาลง ได้เวลาเข้าสู่โหมดจำศีล...
                     ZzZzZzZzZz 
                    ผมหลับลึกอย่างไม่รู้ตัว อาจเป็นเพราะวันนี้ผมค่อนข้างเพลียตั้งแต่มาถึงแล้ว ในภวังค์แห่งการหลับลึกนั้นไม่มีฝันเกิดขึ้นเลย และไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณที่จะมาปลุกให้ตื่น ผมคิดว่าเพื่อนทุกคนก็ตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน เมื่อฟ้าฝนเป็นใจ(ในการนอน) บวกกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชิน มีหรือที่เราจะฝืนธรรมชาติและบรรยากาศด้วยการไม่หลับลึก 
    _________________________________________________________________________________________________ 

                     ผมรู้สึกตัวอีกทีก็รีบคว้าโทรศัพท์มาดู
                     โอ้โหชิบหาย 6โมงเย็นแล้ว ตื่นกันได้แล้วโว้ยยยยย 
                     ความรู้สึกของผมตอนนี้คงเหมือนนั่งรถเมล์แล้วเลยป้าย...
                แพลนของเราที่ยังพอเป็นไปได้ตอนนี้คือการไปที่ art museum ต่อด้วยหาไรกินที่ the café apartment และต้องกลับมาอาบน้ำเวลาประมาณ 3ทุ่ม เพื่อขึ้นรถนอนตอน4ทุ่มกว่าๆ 
                    ได้เวลายกพลเข้าเมืองโฮจิมินห์กันแล้ว การเดินทางของเราในครั้งนี้คือ เดินเท้า เพราะจากที่ดูแผนที่คงไม่ใกล้มาก ก็เดินไปเรื่อยๆ ตาม map ที่เป็นแผ่นกระดาษสลับกับแบบเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ 
                      ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับ art museum ระหว่างเดิน ก็พึ่งมาค้นพบว่าวันนี้ปิด... 
                      “อ้าวสาดดดดดด”
             เราเดินวนไปวนมาท่ามกลางแสงไฟหลากสีที่เริ่มฉาบโทนสีความมีชีวิตชีวายามค่ำคืนให้กับมหานครแห่งนี้ พร้อมกับการจราจรที่ยังดูบ้าคลั่งไม่เปลี่ยนแปลง
     สกิลปีนฟุตบาทของมอไซค์เวียดนามเทพระดับที่พี่วินแถวบ้านเราต้องยอมเลย
                        ไม่ถึงเดอะคาเฟ่ซักที... 
                        ถามคนในท้องที่ก็ได้คำตอบที่แตกต่างมาโดยตลอด -วันนี้จะเดินเจอมั้ยวะเนี่ย... 
                       ความงกก็ถูกความขี้เกียจต้อนเข้าจนมุม เรา5ชีวิตก็เลือกใช้บริการแท๊กซี่ของ Mailihn (จากที่ศึกษามาแท็กซี่ในเวียดนามนั้นมีชื่อเสียเป็นอย่างมากในการโกงนักท่องเที่ยวทุกรูปแบบไม่ว่าจะขับอ้อม สลับแบงค์ ไปจนถึงปล้นผู้โดยสารเลยก็มี ถึงขนาดกงสุลยังออกมาเตือนแต่ก็ยังพอมีไว้ใจได้ออย่าง Vinasun(สีขาว) และ Mailihn(สีเขียว) ถ้าต้องใช้บริการก็แนะนำให้ใช้2บริษัทนี้ครับ) สื่อสารกันจนเข้าใจตรงกันถึงจุดหมายปลายทางที่จะไป ผมก็แอบหวั่นว่าจะเจอดีเข้าเลยมั้ยตั้งแต่วันแรก ถ้าเจอก็มาเลย ยังพอมีตังให้พวกมึงโกงอยู่เว้ย 
                      ตลอดระยะทางที่แท็กซี่ขับมา ก็ทำให้ผมรู้เลยว่า พวกผมไปกันคนละทิศกับจุดหมายมาตลอด -ถึงว่าไม่เจอสักที เมื่อถึงจุดหมายก็ทำการจ่ายค่าโดยสารทั้งหมด 57.000 ดอง ซึ่งจะว่าไปก็ถูกกว่าแท็กซี่ที่ไทยอีก 
                      กระเป๋าตังพวกเรารอดจากการโดนแท็กซี่รับน้องแล้วครับ...

  •                  เราเดินข้ามถนนซึ่งเต็มไปด้วยความโกลาหลอันคุ้นเคยของคนที่นู่น แต่แปลกใหม่สำหรับชายฉกรรจ์ไทยทั้งห้า ตลอดระยะทางที่เราเดินมา เราพบเห็นเพียงแต่บ้านเมืองของคนทั่วไป สภาพบ้านเรือนที่ดูเก่า น้อยนักที่จะมีบ้านหรือร้านอาหารแนวร่วมสมัย ทำเอาเรานึกว่า โฮจิมินห์ได้แค่นี้หรอวะ? 
                        เราคงต้องถอนคำพูดเมื่อเราได้มาอยู่จุดใจกลางเมืองซึ่งโอบล้อมไปด้วยตึกสูงมากมาย แสงไฟศิวิไลซ์ฉายแสงอยู่รายล้อมทำเอาเราเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง 
                        เรามาถึง The Café Apartment แล้ว ลักษณะตัวอาคารคล้ายช็อคโกแลตบาร์ที่แต่ละช่องจะมีร้านกาแฟ น้ำชา อาหาร รวมไปถึง เสื้อผ้า แม้ว่าตัวอาคารจะดูเก่าและโทรม แต่หลายๆร้านตกแต่งอย่างมีสไตล์ น่าเข้าไปนั่งถ่ายรูปเฉยๆซัก2-3ใบมาก (เดี๋ยวนะ)


                       กลุ่มแบ็คแพ็คเกอร์ไทย5คนมาฝากท้องกับร้าน Sielst Café เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปเลย เรารีบทำเวลาเป็นอย่างมากเลยรีบกินโดยไม่สนใจว่าร้านจะน่าถ่ายรูปแค่ไหน มื้อค่ำนี้เราจัดหนักกับพิซซ่าแป้งบางที่เต็มไปด้วยชีสและเนื้อขนาดเท่านิ้วก้อยถาดเล็กแต่อานุภาพความอิ่มระดับข้าว2จาน สนนราคาที่ 85000 ดอง 
                  ผมดื่มด่ำกับทัศนียภาพนครโฮจิมินห์ไปพลางกับนั่งเขมือบพิซซ่าด้วยความไม่ลีลา พร้อมกับเวลาที่เริ่มกระชั้นชิดเข้ามา 3 ทุ่มแล้ว ควรกินให้หมดเสียที

    ภาพที่ผมเห็นตลอดการนั่งรับประทานอาหารค่ำ
    _______________________________________________________________________________


    เมื่อท้องอิ่มพร้อมสำหรับการนั่งรถยาว ก็ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกลับไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวขึ้นรถ


  •               พวกเราใช้เวลาอาบน้ำเตรียมตัวกันไม่นาน แต่พอดีกับเวลาที่เจ้าหน้าที่แจ้งให้ไปรอรถ และรอได้ไม่นานก็ถึงเวลาที่พวกเราจะขึ้นรถแล้ว เจ้าหน้าที่บอกให้พวกเราไปขึ้นรถตู้ก่อนจึงค่อยไปเปลี่ยนรถที่จอดอยู่อีกที่ ผมคาดว่ารอบที่เราไปผู้โดยสารคงเยอะจากที่สังเกต แต่เปล่าเลย มีเพียงชนกลุ่มน้อยแดนสยาม5คน และครอบครัวชาวเวียดนามอีกประมาณ2ครอบครัว รถเลยว่างมากๆ เราสามารถไปนอนเล่นให้ครบทุกเตียงบนรถเลยก็ว่าได้ โดยที่ก่อนขึ้นเจ้าหน้าที่จะมีถุงให้ใส่รองเท้า ป้องกันกลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากตัวผู้ใช้บริการ

     ที่พักสำหรับคืนนี้รวมไปถึงเป็นการเดินทางสำหรับพรุ่งนี้ไปพร้อมๆกัน
                  ผมชอบการเดินทางข้ามเมืองไกลๆแบบนี้ด้วยรถนอนมาก ผมสามารถฟังเพลงจนหมด playlist ของผม โดยที่ได้นอนเล่นแล้วมองทอดออกไปยังทิวทัศน์ภูมิประเทศที่ผมไม่เคยเห็น ได้นั่ง ได้นอนยืดขายาวเต็มที่ วางศอกกางกี่องศาก็ได้ ถึงเวลาแล้วครับที่ธุรกิจรถทัวร์บ้านเรา ควรจะปรับจาก รถ ปอ.1 มาเป็นรถนอนแบบนี้ แม้รถนอนจะจุผู้โดยสารได้น้อยกว่าแต่ในยุคที่สายการบินโลวคอสกำลังรุ่งโรจน์ ทางเดียวที่จะพอต่อกรได้ก็คงทำให้ผู้โดยสารรู้สึกสะดวกสบายเหมือนนอนอยู่บ้านด้วยรถนอนแบบนี้แหละครับ (คหสต.) ถ้าโพสนี้ไปถึงเจ๊เกียว ก็ช่วยโปรดรับฟังความเห็นของประชาชนคนนึงที่ต้องนั่งรถทัวร์จากเชียงรายกลับบ้านบ่อยๆด้วยครับ การนั่งรถทัวร์แบบเบาะนั่งตลอดระยะเวลา 8-9 ชั่วโมง นี่บางทีมันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ 
                  สิ้นสุดการบ่น(ในใจ) ณ เวลานั้น ถึงเวลาที่ผมสามารถได้พักจริงๆจังๆเสียที หลังจากที่วันนี้ผ่านมาหลายเรื่องราวเหลือเกิน พลางคิดถึงวันต่อๆไปว่าจะรอดมั้ยหนอ จะมีสักวันที่ได้เที่ยวกันแบบไร้อุปสรรคมั้ยนะ


                 แสงไฟจากข้างถนนและหลอดไฟหลากสีดวงเล็กๆในรถชวนให้ผมกด shut down ตัวเองเหลือเกิน ช่องแอร์เล็กๆเหนือหัว ผนังรอบๆรถที่เปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงินทึบ รถที่กำลังมุ่งหน้าไปเรื่อยๆโดยปราศจากเสียงแตรในชั่วขณะนึง ผ้าห่มผืนพอดีตัวที่มอบความอบอุ่นที่พอดีเหมือนขนาด เพียงพอแล้วที่ผมจะได้หลับใหลในค่ำคืนแรกบนแผ่นดินเวียดนาม
                 แล้วเจอกันอีกสองวันข้างหน้านะ โฮจิมินห์ ซิตี้ และขอสวัสดีดาลัทล่วงหน้าในอีก 6-7 ชั่วโมงข้างหน้าด้วย..


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in