เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Himmechumh
Jellyfish

  • ผมเจอเขาตรงนั้น กลางมุมการ์ตูนแต่มือถือหนังสือจากอีกฟากร้าน ดั้นด้นมาถึงนี่ นั่งไขว่ห้าง จดจ่อ ไม่เงยหน้ามองผู้คนเดินผ่าน กางเกงสเวทแพนส์ เสื้อยืดตัวย้วย ทำตัวสบายเหมือนอยู่บ้าน จะว่าไปผมคุ้นหน้าเขามาก เหมือนเคยเห็นจากที่ไหนสักที่ นึกไม่ออก

    แค่เผลอมองนานเกินไปเท่านั้น ผมชนโครมเข้ากับพนักงานร้าน ขอโทษขอโพย หันกลับไปอีกครั้งเขามองผมอยู่

    เคยมีใครบอกคุณไหมว่าการเผลอสบตากับใครสักคนในร้านหนังสือเป็นเรื่องใหญ่

    *

    "ผมนึกว่าคุณเป็นเขา" สารภาพกับเขาในวันหนึ่ง ผมมักสับสนหน้าตาผู้คนบ่อยๆ และครั้งนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แค่ผลลัพธ์ดูจะบานปลายกว่าทุกครั้ง

    "แต่ผมไม่ใช่เขา" เขานั่งกอดอกพิงพนักเก้าอี้ ดวงตามองก้อนน้ำแข็งในแก้วกาแฟที่พร่องไปกว่าครึ่ง เขาทำปากยื่น หน้าตาไม่มั่นใจกึ่งรู้สึกผิด ผมมองเขากระอักกระอ่วน

    "แล้ว...เสียดายรึเปล่า?" เปล่งคำพูดออกมาหลังจากนั่งทำสมาธิกับก้อนน้ำแข็งอยู่พักใหญ่ ผมไม่รู้ว่าผมทำหน้าอย่างไรออกมา เพราะเขารีบขอโทษเป็นพัลวันแล้วกลับไปนั่งมองแก้วกาแฟอีกครั้ง

    ผมสงสัยว่าผมเคยรู้จักใครที่บอบบางเท่าเขาไหม ไม่ได้หมายความว่าเขาดูบอบบาง (ว่ากันตามกายภาพคือตรงกันข้าม) แต่ทุกครั้งที่มองเขาผมรู้สึกถึงความวูบไหว ไม่แน่ใจ และพร้อมจะสลายหายไปโดยไม่รู้ตัว

    ทุกครั้งที่มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น เหมือนเขากำลังพยายามบอกอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ เหมือนกำลังใช้ความคิด กำลังพิจารณาภาพตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนสุดท้ายแววตานั้นจะหายไป ไม่เหลืออะไร

    "จะใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่ใช่ประเด็นซะหน่อย" ผมหัวเราะแล้วยกแก้วกาแฟของเขาดื่ม เขาเงยขึ้นสบตา แววตาสงสัย ผมเลิกคิ้วมอง เขาไม่พูดอะไร เกมจ้องตาดำเนินต่อไป แน่นอนว่าผมไม่เคยแพ้เขาในเกมนี้ เขาหลบตาไปก่อน คิ้วขมวดเหมือนมีคำถามแต่ไม่ยอมพูดออกมา

    "ถึงจะไม่ใช่ แต่ผลลัพธ์ก็น่าพอใจนี่นา" เขาสบตาผมอีกครั้ง "หรือคุณไม่พอใจ?" การส่ายหัวเร็วรี่เป็นคำตอบทำผมอดยิ้มไม่ได้ 

    "แน่ใจนะว่าโอเคกับทั้งหมดนี่?" เขามักถามย้ำเสมอ ราวกับความมั่นใจที่ผมให้ไปไม่เคยเพียงพอสำหรับเขา

    "แน่นอนที่สุด" คำตอบของผมทำเขาหน้าแดงเถือกไปถึงหูและผมรักมันยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

    *

    เขาจูบก่อน

    เรื่องราวน่าเหลือเชื่อในความสัมพันธ์ของเขาและผม พูดถึงแล้วยังตกใจอยู่เลย แต่เป็นความจริงที่เขาจูบก่อน

    ไม่ว่าจะเป็นเพราะระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเขาสูงกว่าทุกทีหรือบรรยากาศสลัวรางของงานปีใหม่ในผับเล็กๆ นั่นที่ทำให้เขาใจกล้าบ้าบิ่นขึ้นมา

    ชั่วขณะที่นับถอยหลัง

    สาม 

    สอง 

    หนึ่ง

    เขาจูบผมท่ามกลางเสียงสวัสดีปีใหม่

    *

    "คุณขมวดคิ้วตอนนอน" นี่คือคำพูดแรกของเขาเมื่อผมตื่น ใบหน้าเขาอยู่ใกล้จนผมขยับหน้าเพียงเล็กน้อยก็สามารถจูบปลายจมูกใหญ่โตของเขาได้ เขาหน้าแดงอีกแล้ว พร้อมด้วยรอยยิ้มเคอะเขินทำอะไรไม่ถูกแต่ก็หุบยิ้มไม่ได้แปะกว้างอยู่บนหน้าจนน่าหมั่นไส้

    อา.. ที่ว่ารอยยิ้มเป็นโรคติดต่อนี่ท่าจะเรื่องจริง

    *

    มันไม่ได้เริ่มอย่างในนิยายจำพวกรักแรกพบแล้วรีบเข้าไปทำความรู้จักในทันทีอะไรแบบนั้น มันใช้เวลา ผมรอให้ความบังเอิญทำงานหลายครั้งหลายคราจนรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เช่น การเดินเข้าไปหา ชี้ปกหนังสือในมือเขา แล้วพูดว่า "มานั่งไกลนะครับ" พูดเสร็จแทบอยากกัดลิ้นตัวเอง เขาอึ้งไป ประมวลผลกับคำทักประหลาดของผมก่อนจะหน้าแดงวาบแล้ว "ครับ" แค่นั้น

    ประดักประเดิดขนาดนั้นเลยล่ะ

    มาลองคิดดูแล้ว ถ้าหากวันนั้นผมเลือกที่จะนอนเฉยๆ แทนที่จะออกมาเดินแกร่วข้างนอก เลือกเลี้ยวซ้ายแทนที่จะเลี้ยวขวาจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

    ไม่ใช่ว่าผมกำลังจะบอกว่านี่เป็นเรื่องของพรหมลิขิตหรืออะไร ไม่มีทางพูดแบบนั้นแน่ๆ 

    น้ำเน่าชะมัด

    *

    "ถ้าทุกอย่างต้องจบลงล่ะ" เขาถามขึ้นระหว่างที่ผมกับเขากำลังนอนดูสารคดีแมงกะพรุนในบ่ายวันหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเหลือบมองผมเหมือนหมายักษ์ที่แอบไปก่อเรื่องมาไม่มีผิด

    "ไปทำอะไรมาล่ะ" ผมจับเส้นผมสีเข้มที่ร่วงปรกหน้าทัดกับใบหูน่ารักของเขา เขาส่ายหน้า

    "แค่ลองคิดดูเฉยๆ" เข้าใจได้ เขาเป็นคนจำพวกที่จะคิดถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดก่อนเสมอ และนี่คงเป็นอีกเรื่องที่เขาอดคิดถึงมันไม่ได้

    "คงได้แต่หวังว่ามันจะไม่เป็นจุดจบแสนเศร้า" ผมตอบหลังจากเงียบไปพักใหญ่ ค่อยๆ แตะนิ้วไปตามรอยไฝที่กระจายอยู่บนใบหน้าเขา

    มันไม่มีทางจบลงง่ายๆ หรอก ผมจะตอบแบบนั้นก็ได้ แต่พูดตามตรง ผมเองก็ไม่แน่ใจขนาดนั้น ลดความคาดหวังลงบ้างน่าจะปลอดภัยกับหัวใจมากกว่า เพราะโลกความเป็นจริงไม่เคยใจดีกับใครขนาดนั้น

    "นั่นสินะ" เขาถอนหายใจกลับไปมองโทรทัศน์ แมงกะพรุนยังลอยละล่องอยู่บนนั้น ผมลูบผมเขาอย่างเบามือ คิดย้ำกับตัวเองในความเงียบของภาพตรงหน้าและเขาตรงนี้

    ถ้าทุกอย่างต้องจบลงจริงๆ ระหว่างผมกับเขาจะไม่เป็นจุดจบแสนเศร้า

    แม้ในส่วนลึกของจิตใจยังคงแอบหวังให้ทุกอย่างของเราจะไม่ต้องจบลง ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม

    *

    [ราศีใดมีเกณฑ์อ้ว—!] 

    คนในโทรทัศน์ไม่ทันได้พูดจบประโยคก็โดนตัดภาพไปด้วยรีโมทในมือเขา

    "ไร้สาระชะมัด" เขาพ่นลมหายใจทิ้งตัวกับโซฟา ผมไม่คิดว่าเขาจะจริงจังกับรายการโหราศาสตร์เพื่อความบันเทิงขนาดนี้ 

    แต่การทำนายว่าราศีใดมีเกณฑ์อ้วนมันก็ไร้สาระจริงๆ นั่นแหละ

    "อยากดูดวงจริงๆ ไหมละ?" ผมถามแล้วจับมือเขาหงายขึ้น

    "คุณดูลายมือเป็น?" เขาเลิกคิ้ว

    "ประมาณนั้น" ผมยักไหล่ ก้มหน้ามองลายเส้นบนฝ่ามือใหญ่ๆ ของเขา 

    ว่างเปล่า

    เอาจริงๆ นะ ผมดูลายมืออะไรนั่นไม่เป็นหรอก แค่หาเรื่องจับมือเขาเท่านั้นล่ะ และโชคดีที่เหยื่อของผมดูจะไม่รู้ตัวเอาซะเลย เขาจ้องผม ให้ชัดคือจ้องอย่างลุ้นเลยล่ะ

    "เอ่อ..." ผมใช้ปลายนิ้วเขี่ยฝ่ามือเขาไปเรื่อย เขาก้มหน้าเข้ามาใกล้เมื่อผมทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แล้วผมจะพูดอะไรดีล่ะเนี่ย

    "ช่วงนี้ชีวิตไม่ค่อยดีนะ มีปัญหานอนดึกตื่นสาย ปลุกก็ไม่ค่อยตื่น"

    "สุขภาพอาจมีปัญหาโรคกระเพาะเพราะกินอาหารไม่เป็นเวลา แถมอาจท้องผูกเพราะไม่ยอมกินผัก" เขาเริ่มฉีกยิ้ม รู้ตัวเร็วจริง!

    "หน้าที่การงานไม่มีปัญหา อดทนเข้าไว้ สู้ๆ นะ เป็นกำลังใจให้ ส่วนโชคลาภ เอ่อ..ใกล้วันเกิดแล้ว อยากได้อะไรก็บอก"

    "สัตว์นำโชคคือแมวตัวเมียสีส้ม สีมงคล เอ่อ..น่าจะเป็นสีดำ" เขาหัวเราะ

    "ความรักล่ะ?" เขาถามแทรกขึ้นมาก่อนที่ผมจะไปเรื่องไร้สาระเรื่องอื่น

    "ความรัก?" ผมเลิกคิ้ว ก้มลงดูมือเขาอีกที มองแหวนสีเงินบนนิ้วนางของเขา

    "มีเจ้าของแล้ว" เขายิ้มกว้างจนผมแสบตา ก่อนจะพลิกเอามือผมไปกุมแทน มองแหวนสีเงินแบบเดียวกันที่คาดอยู่บนนิ้วนางของผม

    "โอ้โห ดูแม่นจังเลยนะ" แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้

    ไอ้หมายักษ์ร้อยเล่ห์เอ๊ย

    *

    ผมเจอเขาตรงนั้น..อีกแล้ว กลางมุมการ์ตูนแต่มือถือหนังสือจากอีกฟากร้าน ดั้นด้นมาถึงนี่ นั่งไขว่ห้าง จดจ่อ ไม่เงยหน้ามองผู้คนเดินผ่าน กางเกงสเวทแพนส์ เสื้อยืดตัวย้วย ทำตัวสบายเหมือนอยู่บ้าน

    ผมเข้าไปแตะไหล่เขา เขาเงยหน้าขึ้นมอง หน้าตาหาเรื่องในทีแรกก่อนจะกลายเป็นรอยยิ้มจนหน้ายับยู่ที่ทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะได้ทุกครั้ง

    เขาปิดหนังสือในมือ ชี้หน้าปกให้ดู แล้วชี้ตัวเอง ผมเลิกคิ้ว 

    ของขวัญวันเกิด เขาพูดแบบไม่มีเสียง ผมยิ้มแล้วตอบกลับไปแบบเดียวกัน

    เนิร์ด เขาหัวเราะ แปะมือบนที่ว่างข้างๆ เป็นเชิงให้ผมนั่ง ผมทำตามที่เขาบอก ดึงหนังสือในมือเขามาเปิดดู 

    "มักน้อยจังนะ" ผมคิดว่าเขามักน้อยไปหน่อยสำหรับของขวัญวันเกิด แต่ก็นั่นล่ะเขา

    "ก็ไม่ได้อยากได้อะไรนี่นา" เขาหันมามองผม ยิ้มกว้างโชว์ฟันเขี้ยวที่ผมคิดว่าน่ารักที่สุดในโลก และให้ตายเถอะ ดวงตาของเขามันช่าง..

    นี่ผมเคยบอกคุณไปรึยังว่าการเผลอสบตากับใครสักคนในร้านหนังสือเป็นเรื่องใหญ่




    end.

    เพราะการสบตากับใครสักคนเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ นะ
    @mechumh


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
oohsora (@oohsora)
ชอบการเรียงประโยคแบบนี้มากเลยค่ะ;_;
kulpatrauma (@kulpatrauma)
อ่านแล้วมันรู้สึกนวล ๆ ในหัวใจจังเลยค่ะ
paparkro9er (@papark_baka)
ต่างจากความฟุ้ง ๆ เมื่อกี้ลิบลับเลยแฮะ คราวนี้มันละมุนเหมือนกำลังกินสายไหมแล้วมันละลายในปากช้า ๆ นุ่มนวล หอมหวาน และไม่อยากให้หมดไป
katharsisRN (@katharsisRN)
น่ารักมากเลยค่ะ เห็นด้วยกับประโยคที่ว่ารอยยิ้มเป็นโรคติดต่อนะ เพราะอ่านจบแล้ว ก็ยังยิ้มไม่หยุดเลย :D
mechumh (@mechumh)
@katharsisRN ขอบคุณนะคะ ดีใจที่ทำให้คุณยิ้มได้ค่ะ :)
Silapa Junior (@silapa.junior)
เขียนดีจังเลยครับ : )
mechumh (@mechumh)
@silapa.junior ขอบคุณนะคะ ดีใจมากๆ เลยค่ะ :)
Ploy Wanvitoo (@fb1783094351771)
อ่านแล้วเห็นภาพและยิ้มตามเลยคะ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น น่ารักออกมาจากตัวหนังสือ แล้วก็ชอบมากด้วยตรงประโยค 'เคยมีใครบอกคุณไหมว่าการเผลอสบตากับใครสักคนในร้านหนังสือเป็นเรื่องใหญ่' ?
mechumh (@mechumh)
@fb1783094351771 ยินดีที่ได้มีส่วนทำให้คุณยิ้มได้ค่ะ ขอบคุณที่แวะมาอ่านและขอบคุณสำหรับคอมเมนต์มากๆ เลยนะคะ :)
Panwit Aromphian (@fb2082480478488)
ภาษาอินดี้จัง ชอบ
mechumh (@mechumh)
@fb2082480478488 ขอบคุณนะคะ ดีใจที่ชอบค่ะ :)