เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Himmechumh
Canine and Cloud
  • "ผมควรเรียกคุณว่าอะไร?" ผมถามตอนที่เขากำลังสำรวจกองหนังสือข้างเตียงรกๆ ของผม เขาหยิบหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง พลิกดูหน้าปกแล้วเปิดดูด้านใน

    "อันนี้เจ๋งดี" เขาโชว์ปกหนังสือให้ดู ยังไม่ได้ตอบคำถาม ผมถอนหายใจ ดึงหนังสือออกจากมือเขา

    "ตอบคำถามด้วย" เขาย่นจมูก ทำหน้ายุ่งยาก ยกมือเกาเคราส้มครึ้มแกรกกราก

    "เอ่อ..." คิ้วขมวดพันกันยุ่งราวกับกำลังแก้โจทย์คณิตศาสตร์โอลิมปิก

    "อ่า..." หรือเขาอาจไปคำนวณวงโคจรดาวเสาร์แล้ว

    "งั้นเรียกคุณว่าก้อนเมฆแล้วกัน" ผมหมดความอดทน เขาเลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมา

    "อะไรทำให้คุณจะเรียกเราอย่างนั้น" เขาเสยผมที่รุงรังหน้าตาขึ้นไป รอยยิ้มยังระบายอยู่บนใบหน้า

    "คุณแค่ดูเหมือนก้อนเมฆ" สร้างเหตุผลขึ้นมา จริงๆ ผมแค่เหลือบไปเห็นชื่อหนังสือที่มีคำว่าเมฆเข้าเท่านั้นละ เขาเบ้ปากยิ้มไม่อยากจะเชื่อคำพูดผม

    "เฮอะ สงสัยท้องฟ้าของคุณจะมีปัญหาซะแล้วล่ะ" พูดแล้วหัวเราะใหญ่โต ก่อนทิ้งตัวลงกับกองหมอนอีกครั้ง ดวงตาวาววับมองผม และถ้าแสงแดดยามเช้าไม่หลอกตา ผมเห็นแก้มเขาขึ้นสีแดง

    มั่นใจได้ว่าเขาชอบชื่อที่ผมตั้งให้มากกว่าที่เขารู้ตัวเสียอีก


    เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเขาเรียกผมว่าเจ้าตูบ ให้เหตุผลว่ารอยไฝที่กระจายทั่วตัวผมทำให้เขานึกถึงสัตว์เลี้ยงของครอบครัว ผมถามว่าเขาเลี้ยงสุนัขพันธุ์อะไร พอให้ได้นึกภาพว่าผมเหมือนเจ้าตูบของเขายังไง เขานิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะยักไหล่ตอบ

    "เราเลี้ยงแมว"

    เอ้อ... เอาเถอะ

    แล้วเช้าวันนั้นเขาก็นั่งเปิดรูปแมวของเขาให้ผมดู ทำผมสงสัยหนักกว่าเดิมว่าผมไปคล้ายเจ้าแมวส้มอ้วนนี่ยังไง แล้วจะมีใครที่ไหนในโลกนี้เรียกแมวว่าเจ้าตูบอย่างผู้ชายคนนี้อีกหรือ

     ...ซึ่งก็คงไม่มี

     

    *

     

    เขาเข้ามาในชีวิตผมแบบไม่ทันตั้งตัว คืนวันอาทิตย์ที่ผมเผลอนั่งฟังเพลงจากตู้เพลงเก่าๆ ในบาร์นานกว่าปกติเท่านั้น เดินเข้ามาพร้อมเบียร์แก้วใหญ่ในมือ ถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะโดยไม่ถามความสมัครใจ

    "เราชอบเพลงนี้" จู่ๆ เขาก็พูดถึงเพลงที่กำลังเล่นอยู่ขึ้นมาโยกหัวน้อยๆ ตามจังหวะเพลง ผมแค่พยักหน้าเออออไม่ใส่ใจนัก รอฟังเพลงถัดไป ถ้าไม่ใช่ที่อยากฟัง ผมจะกลับ แต่ราวกับใครสักคนที่เลือกเพลงใส่ตู้เพลงคืนนั้นเข้ามานั่งในหัวผม สุดท้ายผมเลยนั่งอยู่ที่นั่นฟังเขาพูดจนเกือบล่วงเข้าวันใหม่

    จากคืนนั้นผมสรุปเกี่ยวกับเขาได้ 4 อย่าง

    1. เขาชอบสบถคำประหลาด

    2. เขามีเสียงหัวเราะเป็นเอกลักษณ์ แค่ได้ยินก็หัวเราะตามแล้ว

    3. เขาเป็นนักเต้นที่...จะว่ายังไงดีล่ะ ประหลาดอีก เหมือนหุ่นกระบอกเชือกพันที่เจ้าของพยายามกระตุกให้เชือกคลายประมาณนั้น ผมอธิบายไม่เก่ง แต่คิดว่านี่ใกล้เคียง

    4. เวลาเขายิ้มมันทำผมตาพร่าไปเลยจริงๆ

     

    *

     

    ผมเดินตามเสียงฮึมฮัมทำนองไม่คุ้นหูที่ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลไปเรื่อยๆ เสียงสายน้ำกระทบพื้นเปาะแปะ เสียงบิดวาล์วน้ำดังเอี๊ยด สายน้ำเงียบเสียงลง พิงกรอบประตูมองเขาฮัมเพลงต่อไปยังไม่รู้ตัว ทันทีที่หันมาเห็นผมก็ขนคำประหลาดมาสบถรับความตกอกตกใจจนแทบหมดพจนานุกรม

    ให้ตายเถอะ สร้างสรรค์จริงๆ เรียกว่าพรสวรรค์ก็คงได้

    "ร้องต่อสิ" ผมยักคิ้วให้ เขาส่งนิ้วกลางให้ผมหนึ่งหน่วย ทำผมหัวเราะออกมา

    "เพราะดี" เขาผลักผมที่ขวางทางเดินของเขาออกนอกห้องน้ำ ตรงไปหยิบเสื้อผ้าที่กองบนพื้นมาใส่ ใส่ไปก็ชำเลืองมองผมไป อะไรกันเล่า

    "แล้วทำไมต้องมายืนดูเราใส่เสื้อผ้า!"

    "ใครมอง ไม่ได้มอง" แม้จริงๆ ผมจะมองอยู่ก็เถอะ เขากลอกตาใส่ แล้วกลับไปวุ่นวายกับตะขอกางเกง

    "นี่..คราวหน้าก็ได้ ร้องเพลงให้ฟังหน่อย" ชะงักขณะกำลังติดกระดุมเสื้อ

    "ถ้ามีคราวหน้านะ" เขายักไหล่ ติดกระดุมเรียบร้อย เสยผมครั้งสองครั้งลูบเคราพอเป็นพิธี ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ หันซ้ายขวาให้ผมดู

    "หล่อยัง?" แล้วยิ้มโชว์ฟันเรียงเป็นระเบียบ

    เมื่อกี้ผมเผลอกลั้นหายใจรึเปล่า?

    "ไม่ตอบ สงสัยจะหล่อมาก" สรุปกับตัวเองเสร็จสรรพแล้วหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง เดินไปหยิบบุหรี่ของผมที่หัวเตียงใส่ปาก แล้วเอาแจ็คเก็ตสีเข้มพาดบ่า

    "ไปละ เฝ้าบ้านดีๆ นะเจ้าตูบ" พูดจบก็ออกจากห้องไปเลย ปล่อยให้ผมโบกมือลาเก้ออยู่ตรงนั้น และกลายเป็นเจ้าตูบของเขาไปจริงๆ

     

    *

     

    ทุกคืนที่มาอยู่ด้วย เขาจะเล่าเรื่องสัพเพเหระให้ฟังราวกับตัวเขาเป็นเซเฮราซาด และผมเป็นสุลต่านผู้ระแวงในรักคนนั้น ต่างกันแค่ผมไม่เคยคิดจะฆ่าเขาทิ้งเสียหากเขาหยุดเล่าเรื่องพวกนี้เท่านั้นเอง

    เรื่องไหนจริง เรื่องไหนหลอกแยกจากกันแทบไม่ออก ในบางครั้งเรื่องราวมหัศจรรย์มากเสียจนเหลือเชื่อ แต่เขาก็เล่ามันด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนประสบเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง บางครั้งมันก็เป็นเรื่องราวธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวันอย่างอาหารกลางวันไม่อร่อย คนประหลาดที่เจอในรถไฟใต้ดิน บุรุษไปรษณีย์ที่พยายามจีบสาวข้างบ้านเขาแต่ก็พ่ายแพ้ให้กับหนุ่มในจดหมายของเธออยู่ดี

    ผมอยากถามว่าเคยมีใครแนะนำให้เขาไปอ่านหนังสือเสียงไหม ผมชอบฟังเสียงกับสำเนียงที่แค่ฟังก็รู้ถึงภูมิลำเนาซึ่งเขาไม่คิดจะปิดบัง ผมว่ามันเข้ากันและสบายหูมากกว่าเสียงหนังสือเสียงเล่มไหนที่ผมเคยฟัง แต่คิดอีกทีการที่ต้องแบ่งเสียงเขาให้ชาวบ้านฟังก็คงไม่สบายใจผมเท่าไร

    บางทีผมคงกลายเป็นเจ้าตูบหวงกระดูกไปแล้ว


    "เราไม่เคยบอกใคร แต่จริงๆ แล้วเราเกลียดแมว" เขาพูดขึ้น ตอนที่ผมใกล้เคลิ้มหลับ

    "เราเรียกมันว่าเจ้าตูบเพราะอยากให้มันเป็นหมา" ในมือเขาเลื่อนดูรูปเจ้าตูบที่เขาอยากให้เป็นหมาในมือถือแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

    ผมคิดว่าผมรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอก

     

    *

     

    ปกติผมไม่ใช่มนุษย์ตื่นเช้า สักบ่ายสองนั่นล่ะเวลาปกติ แต่ในบางเช้าที่เขาอยู่ด้วยก็ดูจะมีความพยายามในการตื่นขึ้นมาเสียเฉยๆ

    การได้มองเขาหลับเป็นเหมือนรางวัลเล็กๆ ที่ผมได้รับตอบแทนจากการตื่นเช้า แสงแดดยามเช้า ผ้าห่มอุ่นสบาย และเขาที่นอนอยู่ตรงหน้า ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว ใบหน้าเขาตอนหลับดูไร้พิษภัยเสียจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าคนประหลาดพูดมากที่ผมเจอตอนเขาตื่นมันเป็นใคร

    หลังจากแอบมองเขาตอนนอนมาได้หลายครั้งหลายครา สุดท้ายเขาดันรู้ทันแล้วชิงตื่นก่อนผมจนได้

    "อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง" เขาพูดหลังจากที่ผมลืมตาตื่น เขากำลังพินิจพิเคราะห์ใบหน้าของผมอยู่ เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะลุกจากเตียง เก็บข้าวของ แล้วจากผมไปกะทันหัน

    หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยได้มองเขาหลับอีกเลย

     

    *

     

    หากความสัมพันธ์ของผมกับเขาจะเหมือนชาวบ้านเสียหน่อยผมคงไม่หนักใจ แต่ว่ากันตามตรง นอกจากแมวของเขาแล้วผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ชื่อจริง อายุ ช่องทางติดต่อ เรื่องสามัญธรรมดาของการรู้จักใครสักคนในชีวิต เขาไม่เคยบอกผม มีแต่เรื่องราวมากมายฟังคล้ายนิทานที่มาคิดดูอีกทีก็ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลของเขาเลยแม้แต่น้อย

    เหมือนการเสี่ยงดวง การจะได้เจอเขาแต่ละครั้งคาดเดาไม่ได้ สิ่งที่ผมทำได้คือการเข้าไปนั่งฟังเพลงจากตู้เพลงเครื่องเดิมในร้านเดิม มองประตูไม้เก่าหน้าร้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอให้เขาปรากฎตัวขึ้นมาสักวันหนึ่ง

    ขณะที่ออกมาสูบบุหรี่ข้างนอก กำลังจะทิ้งความพยายาม เขาปรากฎตัวขึ้นมา เดินตรงมาหาผมใต้แสงไฟถนนที่กระพริบติดๆ ดับๆ บรรยากาศรอบตัวตอนตีสองไม่พลุกพล่านนัก เรียกได้ว่าเงียบเชียบ ทุกอย่างหยุดนิ่งแลดูคล้ายภาพถ่ายขาวดำ

    เว้นแต่เส้นผมโดดเด่นของเขาและดวงตาสีเขียวคู่นั้นที่ยังเตือนว่าผมไม่ได้ตาบอดสี

     

    *

     

    "เขาว่ากันว่าคนที่ไม่เคยมีความรักมักเขียนนิยายรักได้หวานหยด คุณว่าจริงไหม?" เขามักมีคำถามที่ผมไม่เคยนึกถึงมาถามทุกครั้ง เท้าคางนอนรอคำตอบพร้อมดวงตาสดใสคู่นั้น ทำผมรู้สึกกดดัน

    "ผมไม่ใช่คนอ่านนิยายรัก" ไม่ตรงคำถามเลยแม้แต่น้อย แต่เขาดูไม่ได้แปลกใจอะไร ราวกับคาดไว้อยู่แล้ว

    "แต่คงเพราะไม่เคยมีความรักถึงได้มองว่ามันสวยงามขนาดนั้น" ผมพูดเสริมพลางลากมือตามแนวกระดูกสันหลังของเขา ผมสัมผัสมันได้ชัดเจนจนน่ากลัว กลัวว่าผมจะทำเขาหักเข้าสักวัน

    "แล้วคุณเคยมีความรักไหม?" ผมไม่แน่ใจกับคำตอบของตัวเอง หากเป็นก่อนหน้านี้ผมคงตอบได้ชัดเจนว่าผมไม่เคยมีความรัก เพียงแต่ตอนนี้...

    "แล้วคุณเคยมีความรักไหม?" ถามกลับเพื่อซื้อเวลาให้ตัวเอง

    "ไม่เคย" เขาตอบรวดเร็วจนผมปวดใจ แม้จะตอบพร้อมรอยยิ้มสว่างที่ผมชื่นชมอยู่เสมอก็ดูจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น

    "ผมก็ไม่เคย"

     

    *

     

    "ร้องไห้ทำไม" ผมสะดุ้งตื่นจากสัมผัสของเขาที่เช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มผม ผมถอนหายใจ ปาดหยดน้ำตาออกไปแล้วมองเขานิ่ง รู้สึกขอบคุณที่เขาไม่ถามว่าผมไม่สบายรึเปล่า ผมเกลียดการโดนถามแบบนั้นเวลาร้องไห้

    ผมส่ายหน้าบอกเขาว่าไม่เป็นไร เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แค่สางผมที่ปรกออกจากใบหน้า แล้วเลื่อนไปลูบหัวผมช้าๆ ผมหลับตารับสัมผัสของเขา นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้มีใครมาลูบหัวอย่างนี้

    "เจ้าตูบ เจ้าตูบ.." เขากระซิบพลางลูบหัวผม เหมือนกำลังกล่อมให้หลับอีกครั้ง กกกอดราวกับผมเป็นเด็กทารก

    ผมคงบอกไม่ได้ว่าร้องไห้เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะอัตตางี่เง่าของผม เพียงแต่.. ผมไม่ใช่คนที่อธิบายความรู้สึกได้ดีนัก บางครั้งการที่ผมพูดออกมากลับกลายเป็นการทำลายความรู้สึกนั้นไปเสียเอง เสริมเติมแต่งด้วยประโยคไร้สาระที่เข้ามาในหัวตอนนั้น แล้วทำลายแก่นนั้นไป ผมจึงเลือกที่จะไม่อธิบายอะไรกับใครอีกเลย

    "เจ้าตูบของเรา"

    รวมถึงก้อนเมฆของผมเช่นกัน

     

    *

     

    เขาเงียบลงทุกครั้ง

    ว่ากันจริงๆ คือเขายังพูดมากเหมือนเดิม หัวเราะสดใสไม่ทุกข์ร้อนอย่างปกติ แต่มีอะไรบางอย่างบอกผมว่ากำลังมีการเปลี่ยนแปลงภายใต้รอยยิ้มกว้างขวางนั่น

    เหมือนกำลังดูละครฉากใหญ่ที่นักแสดงเชื่อสุดใจว่าตัวเองเป็นตัวละครนั้นจนแทบจะกลืนกินตัวตนไป เหมือนเขากำลังแสดงเป็นใครสักคนที่ผมไม่รู้จัก

    แม้แต่ตอนนี้ที่เขายิ้มให้ ผมเองไม่แน่ใจเสียแล้วว่านั่นใช่เขาตัวจริงที่กำลังยิ้มให้ผมหรือเปล่า

     

    *


    ผมเจอเขากำลังเดินง่วนหาของกินอยู่ในครัว เขาร้องเพลงอีกครั้ง หลังจากที่ผมแอบฟังเขาร้องเพลงคราวนั้นก็แทบจะไม่เคยได้ยินเขาร้องเพลงอีก จนกระทั่งวันนี้

    "ไง" เขาทักเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้

    "ผมรักคุณ"

    เขาที่กำลังก้มมองของในตู้เย็นชะงักไป ท่ามกลางความเงียบชั่วขณะนั้น เสียงตู้เย็นครางหึ่งเพราะอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น เขาเปิดประตูค้างไว้อย่างนั้นพักใหญ่ สายตาจ้องมองห้องสี่เหลี่ยมเล็กด้วยสายตาว่างเปล่าเหมือนหลุดลอยไปที่ไหนสักแห่ง ก่อนจะกระแทกปิดเสียงดังจนคนข้างห้องตะโกนด่าไปถึงบรรพบุรุษ

    "คุณไม่ควรพูดแบบนั้นเลยรู้ไหม?" ใบหน้าเขาเฉยเมย ทว่าแดงก่ำ

    จะด้วยความโกรธ ผิดหวัง หรือเสียใจ

    ผมไม่แน่ใจ

     

    *

     

    เขาหายไป

    ไม่มีเค้าลางล่วงหน้าอะไรทั้งนั้น แค่หายไปเฉยๆ เหมือนไม่เคยเข้ามาในชีวิตผม

    หายไปนานจนภาพใบหน้าของเขาในความทรงจำเลือนรางจนหากผมได้เจอเขาอีกครั้งบนถนนสักเส้น หรือบาร์สักที่ ผมอาจจะจำเขาไม่ได้แล้วก็ได้

    หรือหากจำได้ ผมควรทำอย่างไร ทักทายเหมือนอย่างทุกครั้ง หรือแค่ทำเป็นลืมว่าเคยรู้จักกันมาก่อน หรือเรื่องราวอาจง่ายกว่านั้น เขาอาจลืมผมไปแล้ว หรืออาจจะทำเป็นลืม ไม่ว่าทางไหนก็ดีสำหรับผมและเขาทั้งนั้น

    เริ่มกลับมาคิดว่าวันนั้นผมไม่ควรพูดออกไป

    ถ้าย้อนเวลาได้ผมจะเก็บมันไว้กับตัว

    แล้วในเช้าวันหยุดอย่างนี้เขาจะยังอยู่กับผม อวดรูปแมวอ้วนที่อยากให้เป็นหมา เรียกผมด้วยชื่อเดียวกันกับแมวตัวนั้น เล่าเรื่องสัพเพเหระด้วยรอยยิ้มกว้างและดวงตาสดใสคู่นั้นที่ผมหลงรัก

    หมดกัน

     

     

     

    end.

     

     

    จริงๆ มันควรจะฟลัฟ... ใช่... มันควรจะฟลัฟสิ

    @mechumh

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
nichised (@ksdholler)
ทำไมเป็นคนแบบนี้!
mechumh (@mechumh)
@ksdholler อดใจไม่ไหวจริงๆ 5555 *ขอขมาด้วยพานพุ่ม*