เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แมว.jpgMr.PT
คุณแมวหน้ารามฯ
  • ถนนรามคำแหงเป็นที่เลื่องชื่อในเรื่องของการจราจรที่สุดแสนจะบัดซบ รามคำแหงเป็นถนนที่ผมไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวที่สุดพอๆกับลาดพร้าว แต่ชีวิตก็บัดซบที่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับทั้งสองถนนมรณะนี้อยู่บ่อยครั้ง เพราะบ้านผมอยู่บึงกุ่ม เขตชานเมืองของกรุงเทพ รถไฟฟ้าไม่ผ่าน รถเมล์เข้าเมืองมีน้อยนิด บางจุดรถเมล์ไปไม่ถึงด้วยซ้ำ อย่างหน้าบ้านผมนี่รถเมล์ก็แทบไม่จอดนะครับ มีจอดแค่ไม่กี่สาย บางทีก็น่าน้อยใจว่านี่กูอยู่กรุงเทพจริงๆใช่มั้ยเนี่ย...

    สำหรับคนที่ไม่รู้จักบึงกุ่มนะครับ บึงกุ่มจะอยู่เลยบางกะปิมาหน่อยๆครับ... 

    ห๊ะ ไม่รู้จักบางกะปิด้วยหรอ... 

    เออช่างมันเถอะ รู้แค่ว่ามันอยู่ในกรุงเทพก็พอ...



    อย่างที่เล่าไปเมื่อบทความก่อนว่าวิถีชีวิตของผมเป็นวิถีชีวิตแบบกรุงเทพฯชานเมืองมาตลอด 18 ปี พารากงพารากอนไม่ค่อยได้ไปกับเขาหรอกครับ จะสิงสถิตแถวๆแฟชั่นไอส์แลนด์หรือโลตัสนวมินทร์พวกนี้ซะมากกว่า เหตุผลหลักๆมันก็เกิดจากที่ผมเป็นบึงกุ่มเมี่ยนมาตลอด 18 ปีนั่นแล

    และก็อย่างที่เล่าไปเมื่อบทความก่อนว่าสุดท้ายแล้วผมต้องย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี เนื่องด้วยคะแนนแอดมิดชั่นไม่มากพอให้ติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ 

    เศร้าเนอะ...

    มาถึงตรงนี้คุณผู้อ่านหลายๆท่านอาจจะงงว่าเริ่มต้นด้วยรามมาต่อที่บึงกุ่มแล้วมาต่อที่ม.บูรพา มันเกี่ยวข้องกันยังไงวะ ? แล้วเกี่ยวอะไรกับแมว ?

    ใช่ครับ ผมก็คิดแบบนั้นแหละ 555555

    ล้อเล่นน่า มาอ่านต่อกันเถอะ

    แรกพบสบตา
  • การเดินทางจากบ้านผมไปยังมหาวิทยาลัยบูรพาด้วยขนส่งสาธารณะที่ง่ายที่สุดคือการมาขึ้นรถตู้ที่คิวรถแถวๆธนาคาร TMB ตรงข้ามหอสมุดมหาวิทยาลัยรามคำแหง ค่าเดินทางเที่ยวละ 110 บาท ไปส่งถึงหน้ามหาวิทยาลัยเลย 

    จริงๆแล้วผมมีอีกทางเลือกนึงในการขึ้นรถตู้คือการไปขึ้นที่ท่ารถมีนบุรี ซึ่งระยะทางจากบ้านผมไปมีนบุรีก็พอๆกับจากบ้านไปรามคำแหง แต่เหตุผลที่ผมติดใจเลือกที่จะขึ้นรถตู้รามคำแหงนั้น เหตุผลหลักๆคือรามมันดีกว่าเยอะครับ ทั้งรถทั้งคนขับทั้งราคา ซึ่งถ้าเปรียบเทียบจากที่ผมเคยนั่งนั้น จะตีออกมาได้ประมาณนี้ครับ

    • รามคำแหง - รถโอเค แอร์เย็นบ้างไม่เย็นบ้าง คนขับขับดี ถึงที่หมายเร็ว 
    • มีนบุรี - รถบัดซบมาก อัดคนแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น มีเสริมที่นั่งด้วยเก้าอี้พับเป็นเรื่องธรรมดา คนขับน่าจะลองไปแคสต์ภาพยนตร์เรซซิ่งดูนะ พวก Fast and Furious เพราะพี่แกขับเร็วเชี่ยๆ ท้านรกสุดๆ 
    • เอกมัย (ขึ้นจากท่ารถ) - รถโอเค คนขับขับดี พูดจาสุภาพ ไม่อัดคน ดูมีมาตรฐานที่สุดในบรรดารถตู้ไปบางแสน แต่ไกลบ้านผมไปหน่อย
    • เอกมัย (ขึ้นจากทางลง BTS) - รถโอเค แต่คนขับบัดซบมาก แถมอีตาลุงคนเก็บตังแกปีนรถไปด้วย แกยืนตรงที่ว่างๆข้างๆประตูไปตลอดทาง สงสารคนนั่งแถวหน้าเอามากๆ แถมปล่อยลงแค่หนองมนด้วยไม่ส่งถึงที่ บัดซบมาก
    • รังสิต - รถโอเค คนขับโอเคแต่ซิ่งไปนิดนึง การแย่งชิงค่อนข้างสูงเพราะคนขึ้นเยอะมาก

    ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลผมเลยเลือกที่จะใช้บริการรถตู้รามคำแหงเป็นหลักในการเดินทางไปบางแสนครับ

    คิวรถตู้ที่รามฯ เป็นห้องกระจกล็อคหนึ่ง ข้างในมีแค่โต๊ะของคนเก็บเงินที่จะคอยเช็คว่าเราจะไปลงที่ไหน และเก้าอี้สำหรับนั่งรอรถ ส่วนล็อคข้างๆแทบไม่มีร้านอะไรอยู่เลย เป็นเหมือนล็อคเก่าๆ ร้างๆ ไม่มีใครมาเช่าทำกิจการอะไร

    แต่ล็อคข้างๆนั่นแหละครับที่ทำให้ผมได้เจอกับเจ้าแมวตัวนี้ครั้งแรก

    เจ้าแมวตัวนี้ผมเจอโดยบังเอิญตอนที่ผมไปขึ้นรถตู้หน้ารามฯ วันนั้นเป็นเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ผมแอบเจอเขานอนอยู่บนโต๊ะแถวๆนั้น ท่าทางเขาดูไม่ได้กลัวคนมากมายนัก ขนาดที่ว่าผมเดินเข้าไปใกล้เขายังไม่ขยับไม่กระดิกหนีเลยสักนิด 

    เนื้อตัวและขนของเขาก็จัดว่าสวยเลยทีเดียว สีส้มอ่อนๆบวกกับลายที่สวยงามบนตัวของเขามันทำให้อดคิดไม่ได้ว่าแมวจรจัดสมัยนี้ทำไมมันดูดีจังวะ ถ้าพาไปอาบน้ำขัดสีสักหน่อยนี่น่าจะเป็นแมวเลี้ยงได้สบายๆ เลย

    โดยรวมแล้วเขาก็เป็นแมวที่น่ารักตัวหนึ่งนะครับ แต่สิ่งที่ทำให้ผมหลงรักเขาตั้งแต่แรกมองไม่ใช่ความสวยงามหรือความน่ารักความไม่กลัวคนของเขา 

    มันคือแววตาของเขาครับ



  • แววตาของเขาดูต่างจากแมวตัวอื่นที่ผมเคยเจอ เขาดูเป็นแมวที่มีหลายๆสิ่งอยู่ในแววตาของเขา เขาดูเป็นแมวที่มีแววตาที่เศร้ากว่าแมวตัวอื่น

    แม้ร่างกายจะดูว่าเล่นด้วยกับเรา แต่แววตาเขาไม่ใช่เลย...

    ครั้งแรกที่ผมเจอเขาผมยังไม่ได้มีโอกาสเข้าไปจับหรือเข้าไปเล่นกับเขา เพราะเขาอยู่หลังกองขยะใหญ่ๆ ถ้าผมเดินฝ่ากองขยะไปเล่นกับเขา ผมคงต้องโดนคนทั้งรถรุมกระทืบให้หายเหม็นขยะ บวกกับการที่ผมต้องรีบขึ้นรถเพราะมันได้เวลารถออกแล้ว ทำให้ผมแอบเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปหรือเล่นกับเขาเลย

    แต่โชคดีที่เราได้เจอกันอีกครั้ง คราวนี้ผมเจอเขานอนแอ้งแม้งอยู่หน้าธนาคาร TMB ผมไม่รอช้าแวะถ่ายรูปเขาอยู่สองสามรูปก่อนจะเดินเข้าไปจ่ายเงินแล้วรอขึ้นรถ ไม่ได้มีโอกาสเล่นอะไรกับเธอมากนัก

    เป็นโชคดีอีกครั้งที่พี่คนเก็บเงินบอกว่ารถตู้จะมาถึงประมาณ 6 โมง 20 นาที แต่เวลาที่ผมไปซื้อตั๋วเพิ่งจะเป็นเวลาเกือบๆ 6 โมง ผมจึงฝากกระเป๋ากับพี่เขาไว้แล้วออกไปเล่นเจ้าแมวให้สมใจ ฮี่ๆ


    ผมนั่งกินขนมปังปิ้งกับนมกล่องที่ซื้อจากเซเว่นไปพร้อมๆ กับเล่นเจ้าแมวตัวนี้ ด้วยความที่เขาดูหิวโซ ร่างกายผอมบาง ผมจึงแบะขนมปังปิ้งออกเล็กน้อยแล้วโยนให้เขาทาน มันอาจจะทำให้ผมอิ่มน้อยลงแต่อย่างน้อยผมก็มีความสุขที่ได้แบ่งปันอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้กับสัตว์โลกที่น่ารัก มันทำให้รู้สึกดีก่อนที่จะได้เดินทางไกลนะ :)

    ไอ้บรรทัดที่แล้วไม่มีจริงหรอกครับ ความเป็นจริงคือเขาไม่กินขนมปังที่ผมให้ แถมยังปัดกระเด็นหายไปไหนไม่รู้ เสียดายสัสๆ...

    ผมนั่งเล่นอยู่สักพัก ก็มีป้าคนกวาดขยะเดินผ่านมา ป้ากวาดไปพลางจ้องมองผมด้วยสายตาที่น่ากลัวและจับผิดราวกับว่าผมกำลังจ้องจะข่มขืนเจ้าแมวตัวนี้อยู่ ผมทำอะไรไม่ถูกเลยยิ้มๆให้ป้าแกแห้งๆแล้วกระเถิบออกห่างเจ้าแมวน้อย เพราะขืนเราทำอะไรให้ป้าแกไม่พอใจ ป้าแกอาจจะสวมวิญญาณนีแกน จากเดอะวอล์คกิ้งเดด มาทุบหัวเราด้วยไม้กวาดขึ้นมาก็เป็นได้

    แต่ปรากฎว่าหลังจากที่ผมยิ้มให้ป้าแก กลายเป็นว่าป้าแกยิ้มตอบกลับครับ ป้าที่หน้าโหดเมื่อสักครู่กลายเป็นป้าแกยิ้มแฉ่งให้ผมเฉย... 

    หลังจากนั้นป้าแกก็เปิดประเด็นบทสนทนากับผมเรื่องเจ้าแมวน้อยครับ

    ป้าเล่าว่าป้าเจอแมวตัวนี้ได้สักพักแล้ว น่าจะมีคนเอามาปล่อยหรือไม่ก็หลงมาเพราะดูไม่กลัวคนไม่กลัวหมาไม่กลัวอะไรทั้งนั้น มันชอบจะอ้อนคนด้วยซ้ำ เห็นคนไปเล่นกับมันบ่อย ป้าเห็นมันประจำทุกเช้าเวลาป้ากวาดขยะบางทีป้าหมั่นเขี้ยวก็เอาไม้กวาดไปแหย่ๆมัน (อ้าวป้า เมื่อกี๊กูอุ้มซะเต็มมือ...)

    ป้านินทาแมวเสร็จป้าก็เดินหายไป 

    (เอ่อ ป้าไม่ใช่ผีนะครับ แค่เดินไปกวาดขยะต่อ)


    เกาๆซักหน่อย

  • หลังจากผมขึ้นปี 2 ผมก็ไม่เจอเขาอีกเลย เพราะผมไม่ค่อยไปขึ้นรถเที่ยวเช้าสักเท่าไรเนื่องจากตารางเรียนของผมจะเป็นภาคบ่ายซะส่วนใหญ่ 

    สิ่งที่ยังหลงเหลือสำหรับผมกับเขาคือแววตาอันเศร้าโศกและความรู้สึกของผมในตอนนั้น

    ช่วงนั้นเป็นจุดหักเหของชีวิตเหมือนกันว่าผมมีความสุขกับคณะนี้จริงๆหรอ ? การได้เกรดเยอะมันแปลว่าเรามีความสุขแล้วจริงๆใช่มั้ย ? แล้วคณะเป้าหมายที่อยากเข้าตอนแรกล่ะ ? จะทิ้งมันไปจริงๆหรอ ?

    สามครั้งที่ผมได้เจอกับเขา ผมมองตาเขาแล้วนั่งคิดแต่เรื่องพวกนี้เสมอ สิ่งที่สะท้อนออกมาจากดวงตาของเขามีแต่ความรู้สึกสับสน และความเศร้าหมองของผม

    ทุกวันนี้ผมก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านั้นได้แล้ว

    ผมกลายเป็นอีกคนกับตอนปี 1 ความรู้สึกสับสนมันหายไปเกือบหมดแล้ว 

    เราได้รับรู้ว่าทุกสิ่งแม่งไม่แน่นอนจริงๆ คนแข็งแกร่งที่ปรับตัวกับความไม่แน่นอนได้เท่านั้นที่จะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุข 

    เพราะฉะนั้นไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น อย่าไปเสียดายกับเส้นทางที่เราไม่ได้เลือก เราแก้ไขอดีตอะไรไม่ได้แต่เราเลือกทางเดินไปหาอนาคตได้ อนาคตจะเป็นยังไงอยู่ที่เราเลือกเอง 

    น่าน จบคมซะด้วยเว้ย 55555

    สักวันถ้าได้เจอนายอีกครั้งแล้วมองหน้ากันด้วยความรู้สึกใหม่ๆก็คงจะดีนะ :)




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in