เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ฟินแลนด์, นักเรียนแลกเปลี่ยน และ Museum Card ของเธอ7,929 km
Sinebrychoff Art Museum: Italian Art บ้านตระกูลSinebrychoff และงานRembrandtที่เดียวในฟินแลนด์
  • ใดๆก่อนเริ่มรีิวิว ขอกรี๊ดดดดดดดดดดดดดก่อนนนนนนน ติดเทรนหน้าtravel เป็นไปได้ไงงงงงงง แงงงงงงงงง ดีใจมากกกกกกกกก ขอบคุณนะคะ ไม่รู้ระบบคืออะไรแต่ว่าขอบคุณมากๆๆค่ะ จะตั้งใจมากกว่านี้เยอะๆๆเลย > <

    จริงๆตั้งใจอยากมาต่อให้เร็วกว่านี้ แต่เพราะติดไปสวีเดน เพิ่งกลับมาเลยช้าไปนิดดดดด (อาจจะมารีวิวมิวเซียมที่ไปมาด้วยค่ะ โชคดีมากที่เพื่อนที่ไปด้วยกันคือชาวบ้ามิวเซียมทั้งสิ้น55555555)

    จบอารัมภบทละ มาเริ่มกัน


    ที่ไหน?

    Sinebrychoffin Taidemuseo หรือ Sinebrychoff Art Museum เป็นหนึ่งในสามพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดเป็น Finnish National Gallery เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงคอลเลคชั่นงานอาร์ทจากศิลปินยุโรปยุคศตวรรษที่ 14 - 19 มากที่สุดในฟินแลนด์

    นอกจากนั้นก็มีนิทรรศการพิเศษหมุนเวียนไปเรื่อยๆ และชั้นบนของมิวเซียมก็จัดเป็นบ้านของ Paul และ Fanny Sinebrychoff เจ้าของคอลเลคชั่นศิลปะเหล่านี้ ซึ่งแน่นอน จะสะสมงานระดับนี้ได้ก็ต้องรวยมากกกกกก ในส่วนของhouse museumก็เลยจะได้เห็นค่ะว่าบ้านคนรวยยุคต้นศตวรรษที่ 20 ของฟินแลนด์ (ซึ่งตอนนั้นยังเป็นของรัสเซีย) นี่มันระดับไหน

    ขอเสริมเรื่องตระกูล Sinebrychoff เล็กน้อย

    เริ่มเดิมที ต้นตระกูล Peter Sinebrychoff ย้ายมาตั้งรกรากที่ฟินแลนด์จากรัสเซีย ทำอาชีพพ่อค้า จนเสียชีวิต ลูกชาย Nikolai ก็สืบทอดกิจการต่อ และเป็นคุณคนนี้แหละค่ะที่เริ่มต้นความรวยยยยยยยยย

    ฮีทำกิจการหลายอย่าง แต่ที่สำคัญ ฮีได้สัมปทานbreweryมาค่ะ เป็นสัมปทานแต่เพียงผู้เดียวด้วย โอ้โหหห รวย รวย รวยยยยยย

    และด้วยความรวยนี้ ฮีเลยสามารถสร้างบ้าน ซึ่งตอนนี้เป็นมิวเซียมที่นี่แหละค่ะ แล้วก็สร้างสวนไว้ติดกันด้วย ซึ่งก็กลายเป็น Sinebrychoff Park ในปัจจุบัน

    แต่คุณNikolaiคนนี้เป็นโสดตลอดชีวิต กิจการเลยตกไปที่ Paul น้องชายแทน

    คุณ Paul ผู้นี้ก็จัดการสืบทอดความรวยต่อไป ด้วยการขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้น ยังคงทำbreweryต่อ (แต่ไม่ได้สัมปทานแล้ว) และไปซื้อหุ้นในกิจการใหญ่ๆต่างๆในฟินแลนด์ 

    จนมาถึงรุ่นลูก ซึ่งก็ชื่อ Paul เหมือนพ่อ คุณ Paul the Younger แต่งงานกับนักแสดง Fanny Grahn 

    Paul and Fanny Sinebrychoff in 1883, Stockholm
    สองคนนี้แหละค่ะคือผู้เริ่มต้นสะสมงานศิลปะทั้งหลายในมิวเซียมแห่งนี้ โดยที่เน้นไปที่งานของ Old Masters (ศิลปินในยุโรปยุคก่อนปี 1800) และเมื่อทั้งสองคนเสียชีวิตอย่างไม่มีทายาทก็ยกงานศิลปะกว่า 900 ชิ้นนี้ให้รัฐบาล โดยมีคำขอร้องให้แสดงงานเหล่านี้ในบ้านหลังเดิม ก็เลยกลายเป็นมิวเซียมแห่งนี้ในที่สุด

    อ้อ นอกจากชิ้นงานที่ทั้งสองคนสะสมแล้ว ก็ยังมีชิ้นงานที่ได้รับบริจาคให้มาแสดงในพิพิภัณฑ์อีกด้วยค่ะ

    ส่วนกิจการ Sinebrychoff Brewery ตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Carlsberg แต่ก็ยังคงเป็นbreweryที่ใหญ่ที่สุดในฟินแลนด์จนวันนี้ เป็น brewery ที่ดำเนินกิจการมายาวนานที่สุดในกลุ่มประเทศNordicอีกด้วย เสียดายเราไม่กินเบียร์เลยไม่อาจบอกได้มั้ยว่าอร่อยมั้ย555555555555555555 

    อีกอย่างคือ เป็นบริษัทที่ได้สิทธิ์ผลิตCoca Cola, Fanta และ Sprite ในฟินแลนด์ด้วย 

    โอเค รู้แล้วว่าที่ต้องกินโค้กขวดละร้อยอยู่ทุกวันนี่เป็นเพราะใคร555555555555555555555 

    สารภาพว่าเพิ่งมาหาข้อมูลตรงนี้หลังจากกลับมา ตอนไปคือไปแบบหัวโล่งๆมาก ไม่รู้อะไรเท่าไหร่นอกจากรู้ว่ารวยมาก พอมารู้ตรงนี้ก็ทึ่งเหมือนกันนะ เชี่ย เราไปบ้านของคนที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มเบียร์สิงห์ของฟินแลนด์มาอ่ะ โอ้โห คือถ้ารู้ตรงนี้มาก่อนคงเดินดูแบบมีมุมมองใหม่กว่านี้ ก็เลยเอามาเขียนตรงนี้เผื่อใครอ่านแล้วไปมิวเซียมนี้ตามเราเนอะ

    (นอกเรื่อง: รู้สึกแฟนต้าของที่นี่จะมีรสเดียวคือส้ม และเป็นส้มแบบน้ำส้มทิปโก้อัดแก็ส ฟีลลิ่งนั้น จะไม่ใช่ส้มจากน้ำหวานแบบของเรา ส่วนตัวชอบแบบที่ไทยมากกว่านะ แต่มันเลือกไม่ได้55555555555 แล้วก็ พวกน้ำอัดลมต่างๆ ซื้อจากตู้กดจะถูกกว่าซื้อจากตามร้านนะ คำแนะนำจากเด็กติดน้ำหวาน55555555555)


    ไปยังไง?

    ส่วนตัวเราไปจาก Ateneum เพราะแวะไปเอาโบรชัวร์จากนิทรรศการ Duckberg ก่อน แต่ถ้าใครอยากเดินทั้งสองมิวเซียมในวันเดียวก็ทำแบบเราได้ค่ะ

    จากAteneum เดินไปขึ้น tram ตรงป้ายหน้ามิวเซียมเลย ขึ้นสาย 7 หรือ 6T ก็ได้ นั่งไป 4 ป้ายก็ถึงค่ะ



    รู้จักที่นี่ได้ไง?


    โอเค ระหว่างเรากับมิวเซียมนี้ จะเรียกว่าเป็นพรหมลิขิตก็น่าจะได้ค่ะ

    มันเริ่มจากเราขึ้น metro กลับอพาร์ทเมนท์ กำลังลงบันไดเลื่อน แล้วเห็นป้ายโฆษณาแวบๆรูปเหมือนท่าเรือ แล้วก็คำว่า Italian กับ Museo ไรสักอย่าง แล้วป้ายมันก็เลื่อนเป็นอย่างอื่นก่อนจะได้เห็นชื่อ
    ป้ายที่เราเห็นเป็นคล้ายๆแบบนี้ค่ะ
    ณ ตอนนั้น ต่อมบ้ามิวเซียมทำงานหนักมากกกกกกกก ต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไร อิตาลีอะไร รูปสวยๆนั่นคือที่ไหน จะไปดูๆๆๆๆ

    กลับมาเลยเสิร์ชเลย italian art museum finland และลิงก์แรกก็บอกเราว่า มันคือ Sinebrychoff Art Museum ซึ่งตอนนี้กำลังมีนิทรรศการ The Lure of Italy and the Orient – Ippolito Caffi

    ตอนแรกไม่ได้รู้อะไรเลยว่าคุณ Caffi คนนี้เป็นใครมาจากไหน ในหัวมีแต่ความคิดที่ว่า เห้ย มาอยู่ฟินแลนด์แต่จะได้ดูงานอาร์ทอิตาเลียน บ้าไปแล้ว คุ้มในคุ้ม ต้องไปให้ได้ ทดไว้ในหัวเลยว่ายังไงก็จะต้องไปแน่นอน

    จนกลับจาก Ateneum อารมณ์มันยังค้าง แล้ววันต่อมาก็ว่าง เลยจะไปมิวเซียมอีก ตอนนั้นมีสองทางเลือกคือ ที่นี่ กับ Natural History Museum of Helsinki ซึ่งเป็นมิวเซียมที่คุณ Magnus von Wright เคยทำงานเป็น Taxidermist และมีคอลเลคชั่นนกฝีมือของเขาอยู่ด้วย

    ก็ยืนชั่งใจอยู่ใน Ateneum อยูสักพัก จนเหลือบไปเห็นโบรชัวร์ของ Sinebrychoff Museum ที่บอกว่าที่นี่มีงานRembrandt ที่เดียวในฟินแลนด์ด้วย!!

    เห้ย งานของ Master of Light and Shadow เลยนะเว้ยยยยยยยยยย เคยแต่อ่านเจอในต่วย'ตูนพิเศษ นี่จะได้เห็นของจริงนะเว้ยยยยยยยย

    นาทีนั้นคือตัดสินใจได้ เดินตรงไปขึ้นtramเลยค่ะ ไปกัน!


  • ก่อนถึงมิวเซียม

    เห้ย เกริ่นมาตั้งยาว มึงยังไม่ถึงมิวเซียมอีกอ่อวะ! //เสียงคนอ่าน

    ยังค่ะ ยัง ยังไม่ถึง ข้ามไม่ได้ด้วย อันนี้ต้องเล่า ไม่เล่าไม่ได้

    คือตอนลงจากแทรมอ่ะค่ะ มันต้องเดินต่ออีกประมาณ 200 เมตร แล้วพอดีเราไปคนเดียว ก็เลยเอื่อยๆเฉื่อยๆตามใจตัวเอง เดินถ่ายรูปไปเรื่อย

    จังหวะนั้นก็เหลือบไปเห็นหอคอยอะไรสักอย่างผ่านหมู่ต้นไม้

    มันคืออะไรวะ หอคอยราพันเซลเหรอ? 

    อ่ะ ไหนๆก็มาคนเดียว รั้วทางเข้าก็เปิด สงสัยก็เดินเข้าไปดูเลย!

    พอเข้าไปนี่กรี๊ดดดดดดดดดดเลย สวยยยยยยยยยยยยยยโคตรรรรรรรรรรร


    ที่นี่คือ Sinebrychoff Park สวนสาธารณะติดกับมิวเซียมนี่เอง

    วันนั้นแดดดีมาก เลยมีพ่อแม่พาน้องๆมาเล่นไถลตัวลงจากเนิน (ไม่รู้คำเรียก แหะ) มีคนพาหมามาเดินเล่น family time สุดๆ ยิ่งหิมะขาวๆตัดกับฟ้าสีโคตรรรรรฟ้า ยิ่งเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ หันหลังไปเห็นหอคอย หันหน้าไปเห็นวิวมุมสูงของพาร์ค มองไปเห็นมิวเซียมที่อีกด้านของสวน

    ต่อจากนี้จะขออนุญาตหยาบคาย

    แม่งสวยจนอยากกรี๊ดอ่ะคุณ จะร้องไห้เลย ไม่ได้เว่อร์ เป็นโมเม้นที่แบบ เชี่ย กุแม่งโชคดีสัสๆที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ มาเห็นอะไรแบบนี้ เป็นแค่parkนะเว้ยทำไมสวยได้ขนาดนี้วะ

    สวยจนยกกล้องตรงไหนก็สวย ขนาดเป็นกล้องมือถือ Samsung Galaxy S6 เฉยๆนะ ไม่มีความDSLRใดๆ (เพราะเสด็จพ่อไม่อนุมัติกล้อง กลัวมาทำหาย) แล้วก็ ไม่ได้แต่งรูปอะไรทั้งสิ้น โยนจากมือถือเข้าคอม resize แล้วเอามาลงบล็อกเลย

    ให้ดูรูปหลักฐานความสวย


    ย้ำอีกรอบ ว่านี่คือกล้องมือถือ และไม่มีฟิลเตอร์ใดๆ บ้า บ้ามากกกกก

    By the way รูปสุดท้ายคือรูปcoverเรา ความพิเศษของรูปนี้นอกจากความสวย กรุณาดูรูปคุณผู้ชายผู้จูงหมาอยู่ทางขวาของรูป

    นอกจากหมาฮีจะน่ารักมากแล้ว ตัวฮีเองก็น่ารักมากกกกกกกกก เนี่ย บอกเลย ฟินแลนด์เป็นชาติที่ผู้ชายหล่อมาก (ที่สองรองจากเยอรมันอีกที อันนั้นคือที่สุดของโลก) สไตล์หนุ่มNordic สูงๆ จมูกโด่งๆ ผมสีอ่อนๆ ตาฟ้าๆ โหยยยยยย ตอนแรกมีแผนชั่วคือจะทำไปขอถ่ายรูปหมาของฮี แล้วจะให้ติดฮีด้วยเนียนๆ แต่เดินกันเร็วมากกกกก ตามไม่ทัน ได้มาแค่นี้

    (นอกเรื่อง #2: คนที่นี่พาหมามาเดินกันจริงจังมาก แต่น้องหมาส่วนใหญ่จะเรียบร้อยนะ ไม่เห่า ไม่กัด ไม่ขู่ ไม่วิ่งพล่าน แล้วก็เจอขี้หมาไม่ค่อยเยอะ จริงๆไม่เจอเลยในhelsinki แต่เจอที่rovaniemi แต่เรื่องฉี่ นังก็ฉี่กันตามหิมะอ่ะค่ะ ก็จะเห็นหิมะเหลืองๆได้ประปราย เพราะงั้น ถ้าอยากจะลองกินหิมะอะไรแบบนี้ ก็อย่าลองกินซี้ซั้ว เพราะมันอาจจะไม่ใช่แค่หิมะ5555555555)

    จริงๆในสวนมีคาเฟ่ด้วย ชื่อ South Park ตอนแรกก็คิดว่าจะเข้าไปจิบโกโก้สวยๆมองวิวพาร์ค แต่ความจริงคือ แกไม่มีเงิน!

    เพราะงั้น ไปเข้ามิวเซียมซักทีโว้ยยยยยยย

  • ไปมาแล้วเป็นไง?

    หน้ามิวเซียม

    บอกเลยว่าชอบบบบบบบบบบมากกกกกกก ชอบบบบบบบบบบโคตรรรรรรรรร ชอบจนอยากกรี๊ดๆๆๆๆ ชอบจนเดินวนสองรอบ ดีงามมากกกกกกกกกกกกกก

    เดี๋ยวจะบอกว่าทำไม ขอบอกรายละเอียดคร่าวๆก่อน

    ที่นี่จะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนนิทรรศการหมุนเวียน กับส่วนของ House Museum ที่โชว์ความเป็นอยู่ของครอบครัว แล้วก็Art Collection

    ส่วนแรกต้องเสียค่าเข้า 12 ยูโร ส่วนที่สองฟรีค่ะ

    แต่เพราะเรามีMuseum Card ตั๋วทองคำเข้าสู่มิวเซียม เราเลยไม่ต้องเสียสักยูโร เอาบัตรไปโชว์ที่เคาน์เตอร์ ก็จะได้สติกเกอร์มาติด อ้อ ที่นี่ต้องฝากเป้ใบใหญ่เหมือนกันค่ะ

    เริ่มที่งานนิทรรศการที่เราตั้งใจมาดูกันเลย

    The Lure of Italy and the Orient – Ippolito Caffi

    นิทรรศการมีถึงวันที่ 27 พ.ค. งานทั้งหมด ทางพิพิธภัณฑ์ขอยืมมาจาก Fondazione Musei Civici di Venezia ในอิตาลีค่ะ

    ขอเล่าเรื่องศิลปินเล็กน้อย 

    Ippolito Caffi เป็นศิลปินชาวอิตาเลียน เกิดเมื่อปี 1806 ที่เมือง Belluno ชิ้นงานของเขาส่วนใหญ่จะเป็นแนว landscape หรือพวกตึก อาคารต่างๆ สไตล์เด่นๆก็คือการวาดให้มีหมอกฟุ้งๆ แสงนัวๆ อ่านในเว็บของมิวเซียมมา เขาอธิบายว่า In Caffi’s hands, a nocturnal cityscape could be transformed into a theatrical stage where the main role was played not by the buildings but by a mysterious and dream-like glow of light.

    เห็นด้วยทุกประการค่ะ งานเขาสวยเหมือนฝันจริงๆ

    โลเคชั่นของงานก็จะเป็นเมืองต่างๆในอิตาลี (Venice, Rome, Naples) Athens, Constantinople และเมืองทางตะวันออก (Syria, Egypt, Malta, Jerusalem) 

    ด้วยความที่คุณ Caffi เป็นคนรักชาติอย่างยิ่ง (Patriot) เขาเลยเข้าร่วมขบวนการต่อต้านออสเตรีย (ตอนนั้นเวนิสเป็นของจักรวรรดิออสเตรียค่ะ) งานบางงานก็จะเกี่ยวข้องกับธีมนี้ค่ะ

    และเพราะความรักชาตินี้เอง ที่ทำให้ในปี1866 เขาเข้าร่วมItalian War of Independenceครั้งที่สาม โดยไปกับเรือRe d’Italia เพื่อวาดภาพบันทึกสงคราม

    สุดท้ายเรือลำนั้นก็จม พร้อมกับผู้โดยสารทั้งหมดอีกกว่า400คน รวมถึงคุณCaffiด้วย

    แต่ถึงอย่างนั้น งานศิลปะของเขาก็อยู่ต่อมายาวนานให้เด็กแลกเปลี่ยนจากประเทศไทยคนนี้ได้ไปดูและชื่นชมในปี2018นี้

    นึกถึงคำพูดของอ. ศิลป์ พีระศรี

    'ชีวิตนั้นสั้น แต่ศิลปะยืนยาว'

    เราเห็นด้วยที่สุดเลยค่ะ

    ในส่วนของนิทรรศการ เขาจะแบ่งเป็นห้องๆตามโลเคชั่นของภาพวาด เมืองต่างๆในอิตาลี / Rome / Athens / The Orient 

    เราจะไม่แยกรูปเป็นห้องๆนะคะ จะลงให้ดูกันทีเดียวเลย จะได้ดูงานโดยไม่ต้องมีคำบรรยายของเรามาแทรกเนอะ

    มา เริ่มกันเลย








    เหมือนภาพฝันอย่างที่เขาบอกจริงๆเนอะ

    ไม่รู้จะบรรยายยังไง แต่ว่าของจริง สวยมาก สวยจนตอนเดินเข้าห้องแรกไปแล้วต้องหามุมนั่งทำใจ สวยจนไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบายจริงๆค่ะ

    อย่างที่บอก เราชอบภาพที่แสงนัวๆ แล้วตัวเราเองก็เป็นคนชอบถ่ายรูปlandscape เน้นท้องฟ้า เน้นตึก คนเป็นแค่ส่วนประกอบ เลยรู้สึกอิมแพคกับใจมากๆ

    ชอบรายละเอียดทั้งหลายในรูปด้วย อิฐเป็นก้อนๆ เมฆเป็นปุยๆ วาดละเอียดไปถึงชายกระโปรงของคนในรูป

    สวยจนเราเข้าใจเลยอ่ะว่าคนดูงานอาร์ทแล้วเขาจะร้องไห้มันเป็นแบบไหน

    เราเดินอยู่ในนิทรรศการส่วนนี้นานมากๆ ตั้งใจดูทีละรูป มองหารายละเอียด เดินเสร็จก็เดินวนอีกรอบ เดินไปดูส่วนอื่นแล้วก็ยังเดินกลับมาอีก เดินจนมิวเซียมปิด 

    ชอบและประทับใจมากจริงๆค่ะ ไม่รู้จะขอบคุณอะไรที่ดลบันดาลให้เราเห็นป้ายโฆษณาอันนั้น มัน beyond ความคาดหมายทั้งหมดมากๆจริงๆ

    ต้องกลับมาซ้ำก่อนกลับไทยแน่นอน!


    มาถึงส่วนที่สอง House Museum

    อย่างที่บอก ส่วนนี้เข้าฟรีค่ะ ถ้าใครจะมาแล้วไม่อยากดูนิทรรศการ (แต่ถ้ามาทันของคุณ Caffi เราขอร้องว่ามาดูเถอะ55555555555) ก็เดินขึ้นชั้นสองได้เลย

    ตรงส่วนนี้ก็จะจัดเป็นห้องต่างๆในบ้าน เฟอนิเจอร์ก็จะเป็นที่ใช้กันจริงๆในสมัยต้นศตวรรษที่20 ตอนที่คุณ Paul กับ Fanny Sinebrychoff ยังอาศัยอยู่ แล้วก็มีงานอาร์ทติดอยู่บนผนัง

    แต่ละห้องก็จะตกแต่งเป็นสไตล์ที่กำลังฮิตๆในยุโรปตอนนั้น มีแผ่นคำบรรยายที่มาที่ไปของเฟอนิเจอร์ชิ้นเด่นๆในห้อง ชื่อรูปภาพและศิลปิน ปีที่วาด ให้หยิบมาอ่านได้ถ้าสนใจ มีทั้งภาษาอังกฤษ ฟินนิช และรัสเซียนค่ะ

    บอกก่อนว่าอาจจะจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้นะคะ ไปมาสองอาทิตย์แล้วก่อนจะมาเขียน ไม่ได้ถ่ายรูปเอกสารมาด้วย ถ้าผิดถูกตรงไหนทักท้วงได้เลยนะคะ

    เริ่มที่ห้องแรก


    รูปแรกเป็นห้องนั่งเล่น ตกแต่งในสไตล์รัสเซีย จริงๆทุกอย่างในห้องมีประวัติหมด แต่เราจำได้นิดเดียว55555555555 ชิ้นเด่นในห้องคือโซฟา ซึ่งเป็นแบบ Straight back และมีการตกแต่งที่ที่เท้าแขน 

    ผ้าม่านลูกไม้นั่นก็ทำจากสวิสเซอร์แลนด์ค่ะ 


    ห้องนี้เขาบอกว่าตกแต่งสไตล์พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แต่เรียกชื่อตามคิงสวีเดนในตอนนั้น (ตอนนั้นฟินแลนด์ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนค่ะ) เลยเรียกว่าสไตล์ Gustavian แทน

    ในห้องนี้ก็มีรูปบุคคลสำคัญๆหลายคนเลย แต่จำไม่ค่อยได้แล้วว่าใครเป็นใคร แต่จำได้ว่ามีรูปQueen Christina of Sweden ในมิวเซียมนี้หลายรูปเหมือนกันค่ะ

    อ้อ โต๊ะเขียนหนังสือตรงกลางห้อง เคยเป็นของควีนสวีเดนพระองค์หนึ่งมาก่อน เป็นโต๊ะที่เก็บความลับได้เยอะมากกกกกก มีลิ้นชักลับๆเต็มไปหมด มีคลิปให้ดูตอนเปิดโต๊ะด้วย แต่เป็นภาษาฟินนิชล้วน ไร้ซับอังกฤษ ;_;

    ถ้าเราได้มีโต๊ะแบบนี้ แน่นอนว่าจะต้องลืมว่าเก็บอะไรไว้ตรงไหนแน่นอน5555555555555555555

    ห้องต่อๆมาก็จะเป็นห้องทำงาน ห้องอาหาร แต่เราจำรายละเอียดอะไรแทบไม่ได้เลย เลยขอแค่ลงรูป (ที่ถ่ายออกมาไม่ค่อยจะสวย) พอนะคะ



    ทั้งหมดก็ประมาณนี้ ก็จะเห็นว่า เป็นบ้านคนรวยจริงๆ55555555555 ข้าวของงี้ ถ้าอ่านประวัติก็คือทำในฝรั่งเศสมั่ง สวีเดนมั่ง ยิ่งงานอาร์ทบนผนัง มีตั้งแต่ปี1800กว่าๆยันปี1500

     หมดจากส่วนบ้าน ก็จะเป็นส่วนArt Collectionแล้ว

    ถ้าพูดถึงแค่การตกแต่งห้องแสดงงาน เราชอบนะ พิ้นไม้ โคมไฟระย้า บางห้องก็มีheaterแบบโบราณ ฟีลลิ่งเหมือนไปเดินในบ้านคนรวยที่สะสมงานอาร์ทอ่ะค่ะ

    ก็ เออ มิวเซียมนี้มันก็เป็นแบบนั้นนี่นา555555555555

    ยังไงดี รู้สึกมันเหมือนบ้านมากกว่า Ateneum อ่ะ ประมาณนั้น 

    ในส่วนของรูป เราถ่ายมาไม่ค่อยเยอะ เพราะตอนนั้นชักเหนื่อยๆ แล้วก็ จากงานคุณCaffi เราก็อิ่มอกอิ่มใจพอจนไม่ค่อยอินกับงานอื่นแล้ว

    แต่มีเยอะมากกกกกจริงๆค่ะ อย่างที่บอก เก่าจนยุคศตวรรษที่16ก็ยังมี ถ้าใครที่เรียนประวัติศาสตร์ศิลป์อะไรแบบนี้คงชอบมากเลยแหละ

    ส่วนเรา เรียนสายวิทย์แล้วมาต่อบัญชี และมีความรู้ทางนี้เป็นศูนย์ ก็ขออนุญาตดูผ่านๆ แล้วไปตั้งใจตามหาสิ่งที่ทำให้เรามาถึงที่นี่

    งานของRembrandt!

    แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้น มาดูรูปกันก่อนดีกว่าค่ะ




    Antoine Watteau - The Swing

    อ่ะ มาถึงงานที่ทำให้เราตั้งใจมาที่นี่วันนี้ งานของคุณ Rembrandt

    เออ ขอเล่าแทรก ว่าเรามีประวัติกันมา นี่กะคุณRembrandt

    เราโตมากะต่วย'ตูนพิเศษค่ะ พ่ออ่าน เราก็อ่าน ก็เลยได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์อะไรต่างๆมาบ้าง และก็ได้รู้จักกันจากตรงนี้แหละ

    จนตอนมอสอง วิชาศิลปะ อาจารย์ให้โจทย์มาว่า ให้หารูปภาพอะไรก็ได้มาหนึ่งภาพ เอามาทำใบงานวิจารณ์งานศิลป์ในคาบ นี่ก็อยากโชว์เหนือไง เลือก The Night Watch ไปเลย เท่แน่ๆ

    Rembrandt van Rijn - The Night Watch, 1642

    ปรากฏ วันนั้น อาจารย์บอกว่า ห้ามใช้รูปซ้ำ ผ่าง!

    แล้วคือเกินครึ่งห้องแม่งเอาMona Lisaมาเว้ย55555555555555555555555555 แต่เรารอด พร้อมได้รับคำชมมาว่า เธอรู้จักRembrandtด้วยเหรอ 

    ก็เลยรู้สึกมีความผูกพันทางใจอะไรบางอย่างกับคุณเขาด้วยประการฉะนี้

    อ่ะ กลับมาๆ

    คือจริงๆก็อยากเขียนเท่ๆแหละ ว่า โห ในฐานะแฟนคลับ ผู้ชื่นชม เราrecognizeงานนี้ได้แต่แรกเลยว่าต้องเป็นของRembrandtแน่ๆ ดูจากการใช้แสงเงาต่างๆก็รู้ บลาๆ

    แต่ความจริงมันไม่ใช่ไง555555555555555555

    บอกแล้วว่าเรามันเซนส์หยาบ ความรู้ทางงานศิลป์เท่าหางอึ่ง

    คือในหัวคิดไว้ว่า มันน่าจะต้องอลังการงานสร้าง เป็นชิ้นใหญ่ๆ รายละเอียดเยอะๆ งานแสงอลังการ ไรงี้ แต่เดินวนรอบนึงแล้ว ยังไม่เจองานแบบนั้นเลย

    จะให้เดินหาอีกรอบก็กลัวไม่ทัน เพราะมิวเซียมใกล้ปิดแล้ว อยากลงไปดูงานคุณ Caffi อีกรอบด้วย ก็เลยเปิดกูเกิ้ล เสิร์ชมันตรงนั้นเลย Rembrandt Finland

    และพบว่า เห้ย เรายืนอยู่ตรงหน้างานนั้นเลยว่ะ!

    (ก็ว่าทำไมงานนี้เป็นงานเดียวที่มีเชือกกั้น)

    โง่ในโง่จริงๆ

    คือรูปนี้ค่ะ

    Rembrandt Harmensz. van Rijn - Monk Reading, 1661

    อืม จะว่าสวยก็สวยแหละ พอมองดีๆก็ อ๋อ การใช้โทนสีน้ำตาลทั้งรูป แล้วก็แสงที่ตกกระทบกระดาษในมือจนทำให้ดูเด่นขึ้นมาไง

    ก็เป็นบุญตาแหละที่ได้เห็นงานของศิลปินที่เรารู้จักกันแค่ชื่อมาเป็นสิบปี

    แต่ก็ นะ ได้เรียนรู้ว่า Keep your expectation low ไว้บ้างก็ดี555555555555555

    (ตอนนี้ก็ ทดเนเธอร์แลนด์ไว้ในใจเลย จะไปดูThe Night Watchให้ได้!)
  • มาที่ส่วนสุดท้ายแล้วววววววววว

    (เสียงจากผู้อ่าน: ยังไม่หมดอีกเหรอวะ!)

    ยังค่ะะะ ไหนๆเล่าแล้วก็ต้องเล่าให้หมด ไม่งั้นจะรู้สึกติดค้างแน่ๆๆ

    คือยังงี้ คุณ Paul Sinebrychoff มีงานอดิเรกอีกอย่างคือการสะสม Miniature Portraits ก็คือ ตามชื่อ รูปวาดสีน้ำขนาดจิ๋ว วาดบนงาช้างบ้าง ล็อกเกตบ้าง ซึ่งรูปพวกนี้ถ้าโดนแสงจ้าๆสีจะซีดจาง เลยต้องเอามาเก็บไว้ในตู้กระจกควบคุมอุณหภูมิกับแสงในห้องนี้ค่ะ


    ข้างหน้าตู้ก็จะมีทัชสกรีนให้เราเลือกจิ้มดูรายละเอียดของแต่ละรูปได้ มีแว่นขยายให้ส่องดูได้ด้วย

    ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีชื่อ เป็นแนว Portrait of a Girl ไรงี้ ไม่ก็จะเป็นบุคคลสำคัญๆของทางอังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรปทางใต้ๆกว่านี้หน่อย แทบไม่เจอของทางสวีเดนหรือเดนมาร์ก รัสเซียเลย อาจจะเพราะไม่ฮิตมั้ง?

    แต่ละอันก็งานละเอียดมากค่ะ ละเอียดจนอยากเห็นโต๊ะทำงานของศิลปินเลย ขั้นตอนการวาดนี่ต้องขนาดไหนนะ

    เราถ่ายอันที่ชอบแยกมาสองสามอัน มีอันนึงมีผมของเจ้าของด้วย แต่เราว่าน่ากลัวไปหน่อย เลยไม่ได้ถ่ายมา ;-;

    รูปนี้เป็นภายใน Trianon ของ Queen Marie Antoinette ค่ะ ของจริงคือเล็กมากกกก เล็กเท่าฝ่ามือเห็นจะได้เลยแหละ

    จริงๆมีนิทรรศการอีกส่วนด้วย คือ Piranesi – Speaking Ruins

    งานgraphic artจากศิลปิน/สถาปนิกชาวอิตาเลียน แต่เราไม่ได้ประทับใจเป็นพิเศษเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ
  • ตัวมิวเซียมก็หมดเพียงเท่านี้

    แน่นอนว่าที่shop เราต้องไม่พลาดโปสการ์ด ใบละ 1.5 ยูโร ซื้อกลับมาสามใบ เป็นของคุณ Caffi ทั้งหมด 

    ตอนแรกจะซื้อให้หมดทั้งคอลเลคชั่น แต่สำนึกตนได้ค่ะว่าไม่มีเงิน55555555555555 

    สรุป

    อย่างที่บอกไปตอนต้น ชอบมากกกกกก ชอบตั้งแต่Parkข้างมิวเซียม ชอบงานคุณCaffi ถึงจะเฉยๆกับ House Museum (เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ให้ความรู้สึกเป็นบ้านเท่าไหร่ เหมือนเป็นร้านขายของAntiqueมากกว่า) และ Art Collection แต่โดยรวมแล้วก็ประทับใจพอสมควรเลยค่ะ

    วันนี้ก็คนเยอะอีกแล้ว อาจจะเพราะไปวันเสาร์ แต่คราวนี้ไม่ค่อยมีเด็ก จะมีรุ่นกลางคนขึ้นไปเสียเป็นส่วนมาก (มีคุณยายนั่งรถเข็นมาดูด้วย) อ้อ แล้วก็ เกือบทุกคนที่เราสังเกต เข้ามาที่นี่ด้วยMuseum Card แทบไม่เจอคนจ่ายเงินเลยด้วยแหละ

    ให้คะแนนเท่าไหร่?

    ดูเราให้3.5/5 เป็นคะแนนความงดงามของParkและของงานคุณCaffiเกือบจะทั้งหมด5555555555555

    ส่วนคำถามว่าแนะนำมั้ย ก็ ส่วนตัวเราเฉยๆกับนิทรรศการส่วนอื่น แต่ถ้ามาฟินแลนด์ทันนิทรรศการ The Lure of Italy and The Orient แล้วชอบงานสไตล์แสงฟุ้งๆ เราก็แนะนำนะ แต่ 12 ยูโรสำหรับนิทรรศการเดียวก็ออกจะแพงไป ถ้าเราไม่มี Museum Card เราก็คงไม่มา555555555

    เอาเป็นว่า แล้วแต่คนชอบแหละ ส่วนตัว เราว่าไม่ใช่อะไรที่ต้อง go out of your way for ขนาดนั้น แต่ถ้ามาเฮลซิงกิหลายๆวันแล้วมีวันว่างๆ นั่งรถแทรมมาเดินถ่ายรูปที่park ที่ถนนแถวนี้ ก็สวยอยู่นะ


    โอเค ตอนจบจริงๆละ ยาวมากกกกกกกกกกกก ขอบคุณทุกคนมากๆๆค่ะที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ยังมีมิวเซียมอีกหลายที่เลยที่ไปแล้วยังไม่ได้มาเขียนเล่า เดี๋ยวมีเวลาแล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกค่ะ

    เหมือนเดิม มีอะไรติชมได้เสมอเลยนะคะ

    สำหรับตอนนี้

    See you Later!

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in