เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#ตกหลุมรักอ่าน-คิด-เขียน
ความหลงความลักษณ์
  • ว่ากันว่า สิ่งที่ใกล้ชิดกัน ละม้ายคล้ายคลึงกัน มักจะมีเพียงเส้นบางๆ กั้น



    ณ คาเฟ่แห่งหนึ่งใจกลางเมือง


    ‘อย่าลืมนัดล่ะ’

    ผมอ่านข้อความของใครอีกคนที่ส่งมาพร้อมกับวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ แค่เพียงได้รู้ว่า ‘ใครอีกคน’ ยังนึกถึงกันและไม่ลืมนัดกันแค่นี้ก็ทำให้รอยยิ้มของผมยิ้มกว่าออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ สังเกตได้

            “เป็นอะไรของมึงวะ ไอหลง”

            ผมเกือบหุบยิ้มแทบไม่ทัน ทันทีที่เพื่อนเอ่ยถามขึ้นมา จริง ๆ แล้วเรื่องกับเรื่องแบบนี้ ผมไม่สามารถบอกความในใจกับเพื่อนคนอื่นได้หรอกครับว่าผม…ไอ ‘หลง’ คนนี้ ชอบเพื่อนสนิทของตัวเอง ที่ชื่อว่า ‘ลักษณ์’ คนเดียวกับเจ้าของข้อความนั่นที่ส่งมา นั่นก็เพราะผมกลัวครับ กลัวที่จะเสียเพื่อนไป

            “ไอลักษณ์อ่ะ มันทักมากวนตีน”

            ผมตอบเพื่อนไปส่งๆ และมันก็พยักหน้ารับเป็นอันรับทราบ ผมเป็นเพื่อนกับไอ้ลักษณ์มานานแล้วครับ ตั้งแต่สมัย ม.ปลาย จนตอนนี้พวกเราเข้าช่วงวัยมหาลัยแล้ว เราก็ยังสนิทกันอยู่ ด้วยความที่ชีวิตผมมีแต่มันมาตลอด จนมันเกิดเป็นนิสัย เกิดเป็นความเคยชิน และที่สำคัญ…เกิดเป็นความรัก…ข้างเดียว

            “กูว่าละ พวกมึงสองคนแม่งตัวติดกันชิบหาย อย่างกับผัวเมียกัน”

            ผมส่งยิ้มอ่อน ๆ ให้มัน พลางคิดในใจว่าถ้าได้เป็นอย่างที่มันว่าจริง ๆ ก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องมาคอยอึดอัดแบบนี้ ใช่ครับผมแอบชอบไอลักษณ์มาโดยตลอด มารู้ตัวจริง ๆ ก็ช่วงที่กำลังจะสอบเข้ามหาลัย เราไปที่นั่นที่นี่ด้วยกันบ่อยมาก เรียนพิเศษที่เดียวกัน มันบ่อยมากจนผมเกิดความคิดที่ว่าอยากจะอยู่ที่เดียวกันกับมันตอนเรียนมหาลัย ด้วยความคิดนี้มันทำให้ผมขยันอ่านหนังสือจนสอบติดมหาลัยเข้ามาได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่คนที่เก่งอะไรเลย

            ‘อยู่ไหน..ออกมาได้แล้ว กูขี้เกียจรอ’

            ผมมองข้อความที่เด้งขึ้นมาแล้วเผลอยิ้มอีกครั้ง ไอลักษณ์ก็ยังเป็นไอลักษณ์อยู่วันยังค่ำ ชอบทำเป็นดุทำเป็นรำคาญ แต่จริง ๆ แม่งไม่มีอะไรเลย

            “กูไปแล้วนะ มีนัดต่อว่ะ”

            “เออ ๆ บาย”

            ผมเดินออกมาจากคาเฟ่เพื่อตรงไปยังร้านเบียร์ที่ ๆ ใครบางคนนัดผมไว้ วันนี้ผมตั้งใจว่าจะถามมันตรง ๆ ว่ามันคิดยังไงกับผมกันแน่ เพราะผมคงไม่สามารถไปจากมันได้ ถ้าหากไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน ผมทำใจมาแล้วครับว่ายังไงวันนี้ก็จะต้องพูดออกไปให้ได้ แม่ว่าอาจจะต้อง ‘เสียเพื่อน’ ก็ตาม

           

    ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง

            “รอนานมั้ยวะมึง”

            ผมวิ่งตรงไปหาไอคนหน้าหล่อที่นั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ สาเหตุก็เพราะข้างนอกฝนตกพอดีในระหว่างที่ผมกำลังหารถมา ทำให้มาช้ากว่าเวลานัดเกือบ 20 นาที ถ้ามันไม่หน้าบึ้งนี่สิแปลก

            “อย่าชักช้า รีบนั่ง กูหิวแล้ว”

            “คร้าบ ๆ”

            ผมตอบพร้อมกับนั่งลงตรงข้ามกับมัน ก่อนจะหยิบเมนูขึ้นมาดูว่าจะสั่งอะไรบ้าง ระหว่างทางที่มาที่นี่ นอกจากกาแฟแก้วเดียวที่ดื่มมาจากคาเฟ่ ก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ผมก็เลยสั่งเหมือนกับคนไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน สั่งเหมือนปอบลง จนคนตรงหน้าต้องปรามเสียงดุ

            “ให้มันน้อย ๆ หน่อย จะกินหมดมั้ย สั่งมาขนาดนี้”

            “หมดไม่หมดมึงก็จ่ายอยู่ดี ไม่ใช่เงินกู กูไม่สนใจว่ะ”

            ผมพูดกวนมันพร้อมกับหัวเราะออกมาจนคนตรงหน้าเริ่มคิ้วขมวด แค่ได้กวนตีนมันผมก็มีความสุขแล้วครับ ถึงจะเป็นแค่เศษเสี้ยวของความสุขก็ตาม มันเองก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ผมสั่งไปเยอะขนาดนั้น แค่กลัวจะกินไม่หมดแล้วเสียดายของมากกว่า

            “มึงสั่งโซจูมาด้วยหรอวะ”

            “เออดิ ทำไมอ่ะ ไม่ได้หรอ”

            “ได้ แต่กูแค่คิดถึงสภาพตอนมึงเมาเหมือนหมาไม่ออก”

            “มึงก็พูดเกินไป”

            ผมยิ้มขำให้กับความคิดของมัน ไม่นานนักพนักงานก็เอาโซจูมาเสิร์ฟพร้อมกับอาหาร ผมจึงเริ่มการกอบโกยสิ่งที่อยู่บนโต๊ะทันที

    มันเคยบอกผมว่าตอนผมกินเหล้าแล้วเมา ผมจะชอบพูดจาไม่รู้เรื่อง แล้วอ้อนคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย สุดท้ายก็ลำบากคนอื่นที่มาด้วย เพราะฉะนั้นทุก ๆ ครั้งเวลาที่ผมไปกินเหล้ากับมันหรือเพื่อนคนอื่น ๆ มันก็จะห้ามไม่ให้ผมดื่มเยอะ หรือไม่ก็โทรมาสั่งเพื่อนของผมให้ดูผมด้วย

            เพื่อนผมเคยแอบมาบอกผมด้วยว่ากลัวมันชิบหาย ผมก็ไม่เข้าใจว่าพวกมันจะกลัวอะไรกัน กับไอลักษณ์มันก็แค่ทำตัวดุ แต่จริง ๆ แล้วข้างในมันเป็นคนดีนะครับ มันดีกับผมมากจริง ๆ ในหลาย ๆ เรื่อง ดี…จนผมห้ามใจตัวเองไม่ได้

            “กูพูดจริงนะไอหลง”

            มันพูดเสียงดุขึ้นมา ทำเอาแก้วเหล้าในมือผมสั่นไปหมด บางครั้งเวลามันขึ้นเสียงดังใส่ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าเป็นห่วงผมหรือเปล่า ที่มันทำไปเพราะอะไรกันแน่ แต่สุดท้ายแล้วคนที่รู้สึกผิดก็กลับกลายเป็นผมซะอย่างงั้น

            และเพราะมัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง เลยไม่ได้สังเกตแก้วเหล้าด้านหน้าว่ามันเต็มแล้ว ทำให้มันหกเลอะเต็มโต๊ะไปหมด แต่คนตรงหน้ากลับรีบพุ่งมากระชากเอาขวดเหล้าในมือผมออกพร้อมกับทำท่าจะดุอีกครั้ง

            “แค่นี้ก็เมาแล้วหรอวะ! ระวังหน่อยสิ แล้วจะไม่ให้กูเป็นห่วงมึงได้ไง”

            “ขอโทษ…ไม่ได้ตั้งใจว่ะ เผลอคิดอะไรนิดหน่อย”

            “เรื่องอะไร มึงคิดเรื่องอะไรอยู่”

            จากตอนแรกที่กะว่าจะสารภาพรักออกไป มาจนถึงตอนนี้แล้วใจมันก็กลับไม่กล้าที่จะพูดออกไปเสียอย่างงั้น พอได้เห็นหน้ามัน พอได้เห็นอาการที่แสดงออกว่าเป็นห่วงเป็นใยกัน มันก็ทำให้ผมไม่กล้าที่จะพูดสิ่งที่มันค้างคาอยู่ในใจออกไป

            ทำได้แค่โกหก…อีกแล้ว

            “คิดเรื่องภาพประกอบนิยายว่ะ”

            “กูบอกแล้วไงว่าเดี๋ยวกูไปช่วยถ่าย”

            จริง ๆ คือผมไม่ได้กังวลเรื่องการประกวดนิยายที่ผมกำลังเข้าร่วมนี้เลย แต่ก็จำเป็นต้องโกหกเรื่องนี้ออกไป เพราะเป็นเรื่องที่ฟังขึ้นสุดแล้ว ผมเคยขอให้มันมาช่วยถ่ายภาพประกอบนิยายให้เพราะไอลักษณ์เป็นคนที่ถ่ายภาพออกมาสวยมาก อย่างกับเป็นมืออาชีพที่รับถ่ายภาพราคาหลายพันเลย

            “เออ ช่างเหอะ”

            ผมพูดตัดประโยค เราสองคนไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก ทั้งผมและมันนั่งดื่มโซจูแล้วก็ไก่ทอดไปเรื่อย ๆ ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ ในช่วงเวลาที่มีแค่มันกับผมแบบนี้…มีความสุขจัง

            ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้หายไปเลย ไม่กล้าเสี่ยงเลยจริง ๆ

            กับคน ๆ นี้


    ***


    “ไอหลง”

    ...

    “ไอหลง”

    ...

    “ไอหลง ตื่น!”


    “หืม!”


    “หืมพ่อมึงซิ! ไหนบอกจะสอบตัวหนักวันพุธนี้ ตอนนี้ยังมัวแต่นอนอีก!”


    สอบ! ผมกระชากตัวเองออกจากความง่วงงุนอย่างสะลึมสะลือ อยากจะตาสว่างกว่านี้ แต่อาการนอนน้อยก็เป็นอะไรที่ช่วยไม่ได้จริงๆ สายตาดุๆ ของลักษณ์ส่งตรงมายังผม ขอบคุณมากที่รัก อุตส่าห์เป็นห่วงเกรดเฉลี่ยเน่าๆ แทนเจ้าตัว


    “ช่วงนี้มึงทำอะไรอยู่วะ เห็นออนเฟซตีสามตีสี่ทุกคืน คนอย่างมึงคงไม่ได้อ่านหนังสือเรียนหนักใช่ไหม” ลักษณ์ว่า เขารู้จักผมดีทีเดียว เพราะถึงผมจะชอบอ่านหนังสือมากจนกระทั่งเลือกเรียนคณะศิลปศาสตร์ เอกวรรณกรรม แต่ใช่ว่าผมจะชอบอ่าน ‘หนังสือเรียนวิชาบังคับ’ ผมน่ะ มีความสุขกับการอ่านนิยายที่ผมอยากอ่านมากกว่าและส่วนมากก็จะเพลินทั้งคืนจนเผลอถึงเช้า


    “มึงรู้ใช่มั้ยว่านิยายอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ มึงต้องอ่านไอ้ที่จะสอบก่อน”


    “เออ กูรู้ แต่ที่กูทำอยู่มันรอไม่ได้เว้ย และมันสำคัญกับกูมาก” ผมเถียง แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกสายตาเต็มไปด้วยความสงสัยจ้องตอบ ผมไม่อยากจะอธิบายเลยเฉไฉด้วยการชวนไปกินข้าวแทน


    “ไปหาอะไรดีๆ มาเลี้ยงร่างกายและหัวใจกันเหอะ”



    หนึ่งในร้านอาหารโปรดของผมและลักษณ์คือร้านข้าวไข่ข้นใต้หอพัก ไข่ข้นเยิ้มๆ โปะบนข้าวตามด้วยท็อปปิ้งหน้าต่างๆ ไม่ว่าจะผัดเขียวหวานไก่ ซี่โครงหมูอบสอด หรือต้มยำกุ้งของโปรดของลักษณ์ วันนี้มันก็สั่งเมนูประจำเหมือนเดิม


    “วันนี้เอากล้องมาเปล่า ถ่ายข้าวไว้ให้หน่อยดิ”


    ผมบุ้ยใบ้เป็นทางกระเป๋ากล้องสีดำข้างตัวเพื่อน ลักษณ์อยู่ชมรมถ่ายรูปของมหาลัยและเรียกได้ว่าเป็นตากล้องมือหนึ่งของคณะก็ว่าได้ หมอนี่รับเหมางานถ่ายรูปทั้งคณะ ไม่ว่าจะงานรับน้อง งานประกวดดาวเดือน หรือแม้แต่ชมรมวารสารก็ชอบวาน ผมเอง ในฐานะคนใกล้ตัวก็ชอบใช้บริการมัน (ฟรี) บ่อยๆ


    “จะเอาไปทำไร”

    “ประกอบบทความส่งวิชาภาษาไทย”

    “เออ”

    “ขอบคุณคร้าบบบบ”


    ผมกินข้าวไข่ข้นอย่างมีความสุข จนกระทั่งกระดิ่งที่ประตูก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง พร้อมกับการปรากฎตัวของคนๆ หนึ่ง


    “อ้าว ลักษณ์! ...หลงด้วย มากินข้าวหรอ”


    ก็เห็นว่าอยู่ร้านข้าว แล้วคิดว่าจะทำอะไรล่ะครับคุณ เล่นโยคะหรอ ผมคิดค่อนแคะอยู่ในใจ ฟ้ายิ้มหวานพร้อมกับเดินตรงมายังโต๊ะพวกเรา เธอเป็นคนสวยติดท็อปคณะ และมักจะเป็นนางแบบให้ลักษณ์ซ้อมฝีมือกล้องอยู่บ่อยๆ พวกเขาเลยสนิทกัน ส่วนผมรู้จักเธอแค่ชื่อและ ‘ข่าวลือ’


    ‘ข่าวลือ’  ว่าฟ้า...กับไอ้เพื่อนนั่งหัวโด่คนนี้จะมีอะไรลึกซึ้งมากกว่านางแบบ-ตากล้อง


    “ฟ้ามาคนเดียวหรอ นั่งด้วยกันมั้ย พวกเราเพิ่งเริ่มกิน”


    “เย้ ขอบคุณน้า นึกว่าต้องนั่งเหงากินข้าวคนเดียวซะแล้ว”


    เอาจริงๆ ถึงผมจะเป็นคนเข้ากับคนง่าย แต่บางทีก็ผมก็อยากมีโมเม้นท์อยู่กับแค่เพื่อนที่สนิทใจมากๆ (อย่างลักษณ์) และไม่ต้องพะวงว่าจะต้องหาเรื่องอะไรมาคุยดีเหมือนกันนะ ถึงอย่างนั้น ผมก็ยิ้มบางๆ ให้ฟ้า ยังไงผมก็อยากให้เพื่อนสนิทผมมีความสุขอยู่แล้ว


    “ลักษณ์กับหลงนี้อยู่ม.ปลายที่เดียวกันใช่ไหมคะ”


    “อื้อ อยู่ห้องเดียวกันสามปีเลย ...เราเป็นเด็กหลังห้องเขียนการ์ตูนล้ออาจารย์ ส่วนไอลักษณ์คนนี้ก็นายหน้าเอาการ์ตูนเราไปโม้ขายต่อ”


    “ว้าว หลงเขียนการ์ตูนด้วยหรอ เก่งจังเลย”


    “เขียนดีด้วยนะ” นายหน้าของผมแทรกขึ้นมานิ่ง ความรู้สึกบางอย่างแผ่ซ่านในอกผม คลับคล้ายคลับคลากับความดีใจ


    “กวนตีนดี”


    “เดี๋ยวเหอะ!”


    “ฮ่าๆๆ”


    พวกเรากินไปคุยไปเรื่อยเปื่อย ผมกำลังเริ่มรู้สึกว่าฟ้าเองก็ไม่เลวนัก จนกระทั่งรู้สึกถึงสัมผัสขยุกขยิกอะไรบางอย่างที่เท้า แอบเหล่ดู ก็เห็นเป็นเพื่อนหนุ่มคนนี้ส่งซิกมาจากอีกฟากของโต๊ะ คู่หูอย่างผมคนนี้ไม่ต้องพูด แค่มองตาก็รู้ใจ


    “เราขอตัวไปอ่านหนังสือก่อนนะ ช่วงนี้เดือดมาก ...ถ้าสองคนไปกินขนมต่อ กินให้อร่อยน้า”


    ผมคว้ากระเป๋าโน๊ตบุ๊กคู่ใจมากอดไว้กับอกแล้วโบกมือบ๊ายบายหนุ่มสาวทั้งสอง


    หึ ไอลักษณ์ขี้หม้อ!


    ***


    “เดินดี ๆ สิวะ”

            “ปล่อยกูวว กูยางม่ายมาววว”

            “เดินดี ๆ ไอหลง อย่าให้กูต้องพูดหลายรอบ” ผมพูดเสียงเข้มใส่คนตรงหน้าจนเจ้าตัวสลดไปพักหนึ่ง เตือนแล้วแท้ๆ ว่าอย่าดื่มเยอะ แต่มันก็ไม่ฟังผม สุดท้ายก็เมาเหมือนหมา ลำบากผมอีกเหมือนเดิม

            “มึงอ่า ด่ากูตลอดเลย” มันเริ่มพูดเสียงยานคางพร้อมกับทำหน้าเหมือนน้อยใจอะไรสักอย่าง เมาแล้วเป็นแบบนี้ทุกทีเลย

            “ก็กูเตือนมึงแล้ว แล้วมึงกินเยอะทำไม”

            “ก็กูเครียดอ่า กูเครียดเมิงด้ายยินม้ายย” มันพูดเสียงยานคางก่อนจะทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ไม้สำน้ำตาลอ่อนกลางสวนสาธารณะแห่งนี้ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวลงข้าง ๆ มัน

            “อ่ะ มึงเครียดไรไหนมึงเล่า ถ้าเล่าไม่ได้กูจะทิ้งมึงไว้นี่แหละ” ผมแกล้งทำเป็นขู่มัน แต่เหมือนคนตรงหน้าโมโหจริงแฮะ

            “เออ!! มึงทิ้งกูเลย ทิ้งกูไว้นี่แหละ เอาเลย!!” ไอหลงเริ่มงอแง ตาทั้งคู่เริ่มจะมีน้ำรื้นออกมา ผมเห็นแล้วก็แอบขำไม่ได้ เวลามันเมานี่โคตรน่ารักเลย…ใช่

            น่ารักชิบหายเลย

            “สรุปมึงเครียดอะไร เรื่องนิยายหรอ” ผมถามถึงนิยายที่มันชอบพูดถึงบ่อย ๆ บางทีอาจจะเป็นเรื่องนั้นก็ได้ที่มันเครียดอยู่

            “ช่างเหอะ มึงปล่อยก็ไว้ตรงนี้แหละ กูเมาเองเดี๋ยวกูกลับเอง” มันนพูดพร้อมกับยันตัวเตรียมทำท่าจะลุกขึ้น แต่มือไวกว่าความคิด ผมความแขนมันแล้วดึงให้นั่งลงอยู่กับที่

            “ไม่เอาดิวะ ทำแบบนี้กูเสียใจนะ” ผมพูดพร้อมกับจับไหล่ทั้งสองข้างของมัน มันเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม ริมฝีปากสองข้างกำลังเม้มเข้าหากันเหมือนมันกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูดออกมา

            “มึงเสียใจคนเดียวหรือไง กูก็เสียใจ” มันพูดสายตาเหลือบมองต่ำลงที่พื้น ยิ่งทำให้ผมสงสัยว่ามันเครียดเรื่องอะไรกันแน่

            “สรุปมึงเสีย…”

            “มึงก็รู้!! กูรู้ว่ามึงรู้!!” มันตะโกนขัดผมขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ผมยังพูดไม่จบ น้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาจากตาทั้งสองข้างจนเลอะเปรอะแก้มไปหมด ใบหน้าของคนตรงหน้าแดงก่ำแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดร้องไห้เลย

            “รู้อะไร” ผมถามมันเสียงนิ่ง

            “รู้ว่า…กู”

            “…”

            “ชอบมึง..” มันหลบสายตาหันหน้าไปทางอื่น ผมได้ยินแต่เสียงสะอื้นของคนตรงหน้า นี่แหละนะคนเมามันก็จะมีความกล้าเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัว

            “มึงรู้ทุกอย่าง”

            “…”

            “แต่มีอย่างนึงที่มึงไม่รู้เลย”

            “…”

            “กูเอง...กูชอบมึงเหมือนกันไอหลง”


    ***


    ถนนหน้าหอสั่นโคลงเคลงเหมือนกับคนถือกล้องด้วยมือไม่มั่นคง ต้นไม้ฝั่่งขวา ร้านชานมฝั่งซ้าย หลุดจากกรอบสายตาไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงร้านข้าวไข่ข้นตรงนั้นด้วย ผมวิ่งเร็วที่สุดที่ผมจะทำ จนกระทั่งมาถึงประตูกระจกใส ทางเข้าหอของผม

    ทันทีท่ี่ถึงห้อง ผมเตะรองเท้าออก แล้วตะลีนตะลานเปิดโน้ตบุ๊ก หน้าจอสว่างวาบขึ้นพร้อมกับตัวเลขดิจิตอลบอกเวลา 17.05 ผ่านห้าโมงไปแล้วเพียงห้านาที ห้าโมงที่เวลาตัดสินทุกอย่างจะมาถึง

    ผมพิมพ์ด้วยมืออันสั่นเทาทั้งด้วยความเหนื่อย ความตื่นเต้น และความกลัว เหงื่อร้อนเริ่มเย็นจับหน้าผาก มือถือผมแบตหมด แถมคลาสเรียนนอกสถานที่ยังเลิกเลท พออาจารย์ปล่อยปุ๊ป ผมก็รีบแจ้นกลับมาห้องทันที

    กดเข้าไปในเว็บไซต์ คลิ๊กคำว่า “นิยาย” แล้วหน้าเว็บก็ลิ้งค์ต่อไปสู่อีกหน้าหนึ่ง กราฟฟิคสีส้มพาดด้วยอักษรสีดำตัวโตบอกชัดเจน

    ‘ประกาศผล’

    และที่ตรงนั้น ผมก็เห็นความพยายามตลอดมาของผมประสบความสำเร็จ

    ผมยิ้มแก้มปริ น้ำตาคลอ  ผมนึกถึงเวลานี้มาตลอด ผมฝันว่าสักวันหนึ่งผมจะเขียนนิยายและนิยายของผมจะได้รับการยอมรับ ผมอดหลับอดเรียนเพื่ออยู่กับสิ่งนี้ กลั่นถ้อยคำออกมาจากความรู้สึก จินตนาการ...และความทรงจำ

    “ไอหลง! มึงอยู่ปะ กูมีเรื่องจะปรึกษา!”

    ผมสะดุ้ง! ชายหนุ่มคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา มันไม่ได้อยู่หอนี้ แต่มันมายืมพื้นห้องผมนอนบ่อยจนยามเฝ้าหอจำได้แล้วปล่อยให้เดินเข้าออกสบายๆ เขาพุ่งตรงเข้ามาจับไหล่ผม

    “มึงฟังกูนะ กูอยากปรึกษาปัญหาหัวใจ...อ้าว มึงทำงานอยู่หรอ”

    “เปล่าๆ ไม่มีอะไร” ผมตะลีนตะลานปิดฝาเครื่องโน้ตบุ๊ก แต่ใครจะไปมือไวเท่าเพื่อนสนิทตั้งแต่ม.ปลายของผม ลักษณ์ดันโน๊ตบุ๊กไปทางตัวเอง


    “นี้มันรูปที่กูถ่ายนี่หว่า”


    ชิบหาย!


    “รูปนี้ก็ใช่..ข้าวไข่ข้นต้มยำกุ้ง เออ นี่มันรูปประกอบนิยายที่มึงขอให้กูช่วยถ่ายหนิ จะว่าไปก็ไม่เคยอ่านเรื่องของมึงเลย ไหนดูสักบทซิ”


    ไม่


    “...ทั้งผมและมันนั่งดื่มโซจูแล้วก็ไก่ทอดไปเรื่อย ๆ ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ ในช่วงเวลาที่มีแค่มันกับผมแบบนี้…มีความสุขจัง ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้หายไปเลย ไม่กล้าเสี่ยงเลยจริง ๆ กับคน ๆ นี้...โห นิยายรัก”



    ได้โปรด อย่า


    “ผมสบตาเขา ตัดสินใจกลืนความกลัวทั้งหมดแล้วเอ่ยออกมา....”


    ผมอยากจะร้องไห้


    “กูชอบมึงว่ะ”


    คำพูดที่อยากกล้าพอที่จะพูดและปราถนาสุดหัวใจที่จะได้ยินกลับมา ทว่าตอนนี้มันกลับจุกเหลือเกิน ลักษณ์อ่านข้อความบนหน้าจอโน๊ตบุ๊กและหันมาสบตาผม สายตาเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมายจนผมเดาไม่ออก


    “พี่หลงนี้ก็หลงลักษณ์จริงๆ นะคะ ตอนจบคู่นี้ก็แฮปปี้เอ็นดิ้งค์สักที...กูไม่อยากจะเชื่อตาตัวเอง! มึงแต่งเรื่องเป็นตุเป็นตะขนาดนี้เลยหรอวะ ไอหลง!”



    ว่ากันว่า สิ่งที่ใกล้ชิดกัน ละม้ายคล้ายคลึงกัน มักจะมีเพียงเส้นบางๆ กั้น


    เรื่องจริง / เรื่องแต่ง
    เพื่อนสนิท / คนรัก

    เหมือนกับเหรียญ ที่ไม่อาจรู้ว่าหน้าตรงข้ามจะเป็นอย่างไรจนกว่าจะพลิกสำรวจดู ได้แต่เฝ้าสงสัยว่าอีกฝั่งหนึ่งจะเหมือนกับฝั่งนี้ไหมนะ? 

    เมื่อรวบรวมความกล้าพลิกดู 

    อาจจะพบว่าเหมือน ...หรือแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


    End.

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in