เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I READ YOU A LOTilysm
Review | What If It's Us




  • What If It's Us
    by Becky Albertalli & Adam Silvera








              แทบไม่รู้จักเรื่องนี้มาก่อนเลย รู้จักแต่ชื่อนักเขียน Becky เขียนเรื่อง Simon vs. the Homo Sapiens Agenda ส่วน Adam เขียนเรื่อง More Happy Than Not, They Both Die at the End แต่ปกนิยายน่ารักมาก ๕๕๕๕๕๕๕ โดนพล็อตหนังรอมคอมกุ๊กกิ๊กตกเต็มๆ เลยด้วย ตอนซื้อมาอ่านนี่แหละที่เพิ่งรู้ว่าเป็นเรื่องที่ดังอยู่ มีคนที่สนใจเยอะมาก และพออ่านก็เข้าใจแล้วว่าทำไม เพราะเล่มนี้เป็นนิยาย LGBT ที่เราอ่านแล้วรู้สึกแตกต่างไปจากเล่มอื่นๆ ตรงที่โฟกัสความรักและมิตรภาพอย่างเดียวเลย ไม่ได้มีมุมหดหู่ดราม่าเพราะเป็น LGBT จึงถือเป็นรสชาติใหม่ๆ ให้เสพเลยทีเดียว




    รีวิวเวอร์ชั่นสั้นสุดสำหรับผู้ที่สนใจซื้อ


    1.เรื่องย่อ: Arthur มาฝึกงานที่นิวยอร์กในช่วงซัมเมอร์ เขาบังเอิญเจอหนุ่มน่ารักถือกล่องไปส่งไปรษณีย์ เลยรวบรวมความกล้าเข้าไปคุยด้วย อีกฝ่ายเองก็ดูจะสนใจเขาอยู่เหมือนกัน แต่แล้วพวกเขาก็คลาดสายตากันไปโดยไม่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อ Arthur และ Ben เลยพยายามทำทุกหนทางเพื่อกลับมาอยู่ในชีวิตของกันและกันอีกครั้ง

    2. ตัวละคร: เรื่องนี้ดำเนินเรื่องสลับกับระหว่างพาร์ทของ Arthur และ Ben ตัวละครในเป็นเด็กไฮสคูลในยุคปัจจุบันที่มีความชอบใกล้เคียงกับเรา มีการอ้างถึงหนัง หนังสือ หรือสื่อที่ทุกคนรู้จักเช่น Marvel, IG, Emojis, Harry Potter เลยเข้าใจและอินไปด้วยไม่ยาก ดีลกับปัญหาทั่วๆ ไปเหมือน Young Adult/ Coming of age เรื่องอื่นๆ 

    3. เนื้อเรื่อง: เป็นเรื่องของคนสองคนที่พยายามสู้เพื่อจะได้อยู่ด้วยกันและประคองความสัมพันธ์ให้เวิร์ค มู้ดแอน์โทนออกไปทางโรแมนติกคอมเมดี แต่รู้สึกว่าเรื่องเอื่อยๆ ไม่ได้น่าติดตามขนาดนั้น ขาดความเข้มข้นเป็นอย่างมาก ไม่ค่อยรู้สึกร่วมไปด้วยเท่าไหร่ ปมก็ง่ายๆ ถึงขั้นพูดได้ว่า so little plot ๕๕๕๕๕

    4. ภาษา: ง่ายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อ่านสบายๆ เลย แทบไม่เจอศัพท์ยาก ถือว่า beginner-friendly อย่างแน่นอน

    5. ระดับความน่าซื้อ: 3/5 มีความรู้สึกว่าถ้าคนชอบก็จะชอบไปเลย ถ้าคนที่เบื่อก็จะเบื่อไปเลยเช่นกัน ชอบประเด็นในเรื่องที่ต้องเห็นคุณค่าและรักษาคนรอบข้างไว้ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคลิเช่ บางช่วงสนุก บางช่วงเบื่อ ไม่ใช่นิยาย LGBT ที่ตรึงใจเรา





    เรื่องย่อ 

                Arthur มาฝึกงานที่นิวยอร์กในช่วงซัมเมอร์ เขาบังเอิญเจอหนุ่มน่ารักกำลังถือกล่องไปส่งไปรษณีย์ เลยรวบรวมความกล้าเข้าไปคุยด้วย และโชคดีที่อีกฝ่ายเองก็ดูจะสนใจเขาอยู่เหมือนกัน แต่แล้วก็ราวกับโชคชะตาเล่นตลกเมื่อพวกเขาคลาดสายตากันไปโดยไม่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อ Arthur และ Ben เลยพยายามทำทุกหนทางเพื่อกลับมาอยู่ในชีวิตของกันและกันอีกครั้ง



    ตัวละคร


    "You always think you're too much, and I feel like I'm not enough"


                เรื่องนี้ดำเนินผ่านมุมมองบุรุษที่ 1 สลับกันไปมาระหว่างให้ Arthur เล่าเรื่องและ Ben เล่าเรื่อง อ่านแล้วจะสัมผัสนิสัยที่แตกต่างแต่ลงตัวของทั้งสองได้เลย Arthur จะเป็นคนที่กระตือรือร้น พูดเก่ง ตื่นเต้นกับทุกสิ่ง ส่วน Ben จะใจเย็น อ่อนโยน และเก็บงำมากกว่า เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกมนุษย์ทั่วไปแบบเราๆ ทั้งคู่ บางครั้งเราก็กังวลง่ายแบบ Arthur และบางครั้งเราก็แสดงออกน้อยไปแบบ Ben


                รู้สึกชื่นชมที่ตัวละครทั้งสองนั้นจับต้องได้ และแตกต่างกันอย่างชัดเจน มีพัฒนาการตัวละครให้เห็น จริงๆ ก็เรียกได้ว่าเป็นนิยาย Coming-of-age เพราะทั้ง Arthur และ Ben อายุประมาณ 16-17 และต้องดีลกับอะไรหลายอย่าง ทั้งความรัก ครอบครัว ความสัมพันธ์แบบเพื่อน เพื่อค้นหาพื้นที่ของตนเองและวิธีที่จะมีความสุขบนโลกใบนี้ ถ้ามองในแง่นิยาย Young Adult เรื่องนี้ก็หยิบเอาธีมเดิมๆ ที่เห็นบ่อยมาเล่นนั่นแหละ ผู้อ่านได้เฝ้ามอง journey ของตัวละครตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ก็ค่อนข้างเดาได้และเป็นอะไรที่จำเจแล้ว


                สิ่งที่น่าสนใจน่าจะเป็นความเฟรช ความสดช่ื่นมีชีวิตชีวาของเรื่องนี้ เพราะตัวละครทั้งสองตลก ตลกมากกกกกกกกกกกก อ่านไปก็ขำไป ๕๕๕๕๕๕ อ่านง่าย อ่านเพลิน และมุกก็เข้าใจได้ง่ายเพราะมีแต่ reference แมสๆ ที่ทุกคนรู้จักอยู่แล้ว เช่น Arthur ชอบดูละครบรอดเวย์ดังๆ อย่าง Hamilton, Dear Evan Hansen, Wicked หรือ Ben ที่ชอบเล่น The Sims และเป็น Potterhead ขั้นหนัก มีชื่อดาราที่คนรู้จักหรือเหตุการณ์ที่เราเข้าใจได้ ทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้ก็ใกล้ตัวดี


                ในแง่ความรักก็ถือว่าทำได้โอเคเลย มีแอบอมยิ้มตามไปกับซีนบางซีนหรือประโยคบางประโยค แต่กลิ่นอายรอมคอมแรงมากกกกกก ออกแนวเพลินๆ สบายๆ จนบางครั้งก็รู้สึกแบบ เอางี้เหรอ ง่ายจัง เป็นต้น แต่ถ้าอยากเสพความโรแมนติกฟีลกู้ด หรือชอบลุ้นให้คู่รักประคับประคองความสัมพันธ์ต่อไปได้ เรื่องนี้ก็อาจจะโดนใจ


                เอกลักษณ์ของความรักในเรื่องนี้คือเป็นความไม่ยอมแพ้ของตัวละคร เรารู้สึกได้ว่าพวกเขารักกันและพร้อมจะ give it a try เสมอ ซึ่งจุดนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ส่วนมากเริ่มจากใช้เวลาด้วยกันก่อนค่อยขยับความสัมพันธ์ แต่เรื่องนี้เริ่มต้นมาด้วยคนสองคนที่อยากจะคบกัน แต่จะทำยังไงให้สำเร็จ ตรงกับคอนเซ็ปต์ "What if it's us" เพราะทุกคนในเรื่องมีความเชื่อว่าแล้วถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นล่ะ ถ้า it's meant to work ล่ะ เราจะไม่พยายามเพื่อมันหน่อยเหรอ


                ที่สำคัญ เรื่องนี้ไม่เหมือนนิยาย LGBT เล่มอื่นๆ ตรงที่ไม่ได้โฟกัสเรื่องตัวเอกเป็น Gay ในแง่ที่พยายามจะ explore ปัญหาที่ LGBTs จะเจอ แต่เป็นนิยายรักโรแมนติกคอมเมดีจริงๆ แค่ตัวเอกเป็นผู้ชายสองคน เท่ากับว่าจะไม่มีดราม่าเรื่องการยอมรับ LGBT หรือความหดหู่ที่ LGBT ต้องเจอ เหมาะกับคนที่อยากอ่านนิยาย LGBT ที่แฮปปี้ฟีลกู้ดสักที!



    เนื้อเรื่อง


               พล็อตแบ่งออกเป็น 3 ส่วน การพยายามตามหากันและกันให้เจอเป็นแค่ส่วนแรกเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องดี เพราะส่วนนั้นเป็นตัวที่ถ่วงความสนุกเรื่องนี้ไว้ T v T หนังสือเริ่มมามีสีสันน่าติดตามขึ้นก็ตอนกลางๆ เรื่อง ทำเอาลืมช่วงแรกที่เอื่อยๆ เนิบๆ ไปเลย แต่เมื่อผ่านช่วงพีคแล้วก็กลับมาเอื่อยเหมือนเดิม เราคิดว่าเพราะว่าเนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรว้าว ชีวิตปิดเทอมเด็กไฮสคูลที่ดำเนินไปเรียบๆ งี้ เป็นแค่คนสองคนที่พยายามจะค้นหาสมดุลในความสัมพันธ์  ทำให้สำหรับเราแล้ว เรื่องนี้ขาดองค์ประกอบความเข้มข้นไป การผูกปมก็เฉยพอกัน ซึ่งจุดนี้ก็คงแล้วแต่คนอ่านว่าชอบแบบไหน ถ้าชอบนิยาย emotional จมดิ่งไปพร้อมตัวละคร เรื่องนี้ไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ แต่ถ้าชีวิตกำลังเครียดๆ ถึงทางตัน อ่านเรื่องนี้ก็จะได้หัวเราะผ่อนคลายให้ใจอุ่น

             

               สิ่งที่ชอบที่สุดในเรื่องคือแนวคิด เป็นนิยายที่ให้พลังบวกเยอะมากกกกกกกกกกจนล้นเลยทีเดียว  ไม่ใช่แค่ตัวละครตลกเฮฮา แต่ยังเป็นนิยายที่ทำให้เราฉุกคิดว่าบางทีอาจจะมีสิ่งดีๆ รออยู่ในวันที่เราคิดแต่เรื่องร้ายๆ การจากลาไม่ได้เป็นเรื่องแย่เสมอ และการได้ลองก็ดีกว่าเสียดายทีหลัง หนึ่งในประโยคที่เราชอบมากและสรุปความเป็นเรื่องนี้ได้ดีคือ "The group hug feels a little bit forced. But maybe that’s not a bad thing. We’re fighting to be close again." ซึ่งหมายความว่าให้เปิดใจให้การฝืนดูบ้าง เริ่มแรกอาจจะยาก แต่บางทีการฝืนอาจหมายความว่าเราสู้ที่จะอยู่ตรงนี้และอยู่ด้วยกัน


               สุดท้ายนี้ เป็นเรื่องที่ภาษาอ่านง่ายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกถึงมากที่สุด อ่านชิลๆ วันนึงรวดเดียวเยอะๆ ก็ไม่ปวดหัว เหมาะสำหรับคนที่ไม่ถนัดประโยคที่แกรมม่าร์ซับซ้อนหรืออาจจะแค่ขี้เกียจหาศัพท์แบบเรา ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕       



    ความรู้สึกส่วนตัว


                  ฟีลเหมือนดูหนังรอมคอมอารมณ์ดีเรื่องนึงเลย ทุกองค์ประกอบน่ารักกุ๊กกิ๊กและเอ็นดูตัวละครมากๆ ภาษาอ่านง่ายก็สบายใจไปแล้วเปลาะนึง ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ แต่ถ้าจะหาความสนุกน่าติดตาม เราว่าค่อนข้างยาก เพราะใช้เวลานานอยู่ในการอ่านจบ รู้สึกว่านิยายมันคลายเครียดเกินไปจนไม่ค่อยลึกซึ้งตรึงใจอะไร อ่านเล่นๆ แก้เบื่อได้ แนะนำสำหรับคนที่อยากอ่านนิยายชายชายที่ไม่ปวดตับ แต่ส่วนตัวถ้าถามว่าชอบไหม คิดว่ายังชอบน้อยกว่านิยาย LGBT หลายๆ เรื่องที่เคยอ่านมาอย่าง Call me by your name, Aristole and Dante, Autoboyography หรือแม้แต่ More happy than not ของนักเขียนคนเดียวกัน ให้การตัดสินใจเป็นของทุกคนเองเลยเพราะ What if you love this book so much that you wanna hug the authors?


    ilysm.








Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in