เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I READ YOU A LOTilysm
Review | A Monster Calls



  • A Monster Calls by Patrick Ness

     

    “Stories are wild creatures”

     

     

                    มีโอกาสได้อ่าน A monster calls เพราะอาจารย์ที่คณะเลือกเล่มนี้มาเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา แวบแรกที่เห็นหน้าปก เห็นชื่อเรื่อง และเห็นเทรเลอร์ภาพยนตร์ (แบบผ่านๆ) ก็คิดว่าคงเป็นวรรณกรรมแฟนตาซีสำหรับเด็กที่แสนตื่นตาตื่นใจ การผจญภัยอันสนุกสนาน ฯลฯ แต่ไม่กี่หน้าแรกที่ได้ลงมืออ่านนั่นแหละ—เอาแล้ว คณะตูไม่เคยให้อ่านอะไรปกติจริงๆด้วย T v T ทั้งหมดนี้ก็แค่จะบอกว่ามันไม่ใช่หนังสือแบบที่คาดเดาไว้เลย ส่วนตัวว่าไม่ใช่หนังสือที่เหมาะกับเด็กเท่าไหร่เพราะ มัน-โคตร-ดาร์ก แต่ท่ามกลางความมืดมนหดหู่ของโทนเรื่อง ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า A monster calls เป็นหนึ่งในหนังสือที่ดีที่สุดที่ได้อ่านในปีนี้!

     



    เรื่องย่อ

                    Conor เด็กผู้ชายวัย 13 ปี นอนฝันร้ายติดต่อกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ชีวิตของเขาไม่ใคร่ดีนัก แม่ป่วยร้ายแรง พ่อมีครอบครัวใหม่ คุณยายที่เขาไม่ชอบหน้า และชีวิตอันไร้ตัวตนที่โรงเรียน จนกระทั่งวันหนึ่ง เวลา 12.07 น. ปีศาจต้น Yew tree มาหา Conor เพื่อเล่านิทานสามเรื่องให้ฟัง โดยมีเงื่อนไขคือ Conor จะต้องเล่า ‘ความจริง’ เป็นเรื่องที่สี่ให้ปีศาจเป็นการตอบแทน

     



    ตัวละคร

    “มีชีวิต จิตใจหลากมิติ และการกระทำสีเทา”


    หนึ่งในจุดที่ชอบของเรื่อง A monster calls ก็คือตัวละครนี่แหละ— ทั้งๆที่เป็นเด็ก Conor มีความคิดสลับซับซ้อนกว่าเด็กทั่วไปมาก สาเหตุก็เดาได้ไม่ยากว่ามาจากเรื่องราวที่เขาต้องเผชิญ แต่ Conor ก็ยังคงมีมุมเด็กๆ—มุมที่ไม่อยากให้ใครสงสารเห็นใจ มุมที่ต้องการจะมีตัวตนในสังคมถึงขั้นยอมโดน 'ทำโทษ' มุมที่ดื้อรั้น ไม่ยอมรับความจริง หลากหลายแง่มุมเหล่านั้นเป็นสาเหตุของการกระทำต่างๆของ Conor และเป็นสาเหตุที่ ‘ปีศาจ’ มาหาเขา

    สุดท้ายแล้ว ปีศาจมีจริงหรือเปล่า?

    เพราะดูเหมือนว่าปีศาจที่แท้จริงจะอยู่ในตัวของ Conor และมนุษย์ทุกคนต่างหาก

    ตัวละครอื่นๆสะท้อนคนในสังคมได้อย่างดีเยี่ยม และบางครั้งก็แฝงลีลาเสียดสี เช่นพ่อที่ย้ายไปอยู่ที่อเมริกากับครอบครัวใหม่ จะเห็นได้ว่า Conor เหน็บแนมสำเนียงอเมริกัน และ ‘ทัศนคติแบบอเมริกัน’ อย่างชัดเจน ส่วนกลุ่มคนที่กลั่นแกล้งรังแก Conor ที่โรงเรียน ไม่ใช่แค่แสดงบทบาทกลุ่มที่มีอำนาจกดขี่คนที่ด้อยกว่า แต่ยังหมายถึงการถูกครอบงำและประจบสอพลอ—ดังที่ลูกสมุน 2 คน ของ Harry หัวเราะมุกตลกของ Harry โดยที่ไม่ได้ฉุกคิดด้วยซ้ำว่ามันตลกยังไง แต่การเออออกับผู้มีอำนาจในสังคมกลายเป็นกลไกอัตโนมัติเพื่อ ‘ยกระดับ’ ตนเองไปเสียแล้ว

    ตัวละครในโลกแฟนตาซีที่ปีศาจหยิบยกมุ่งหมายที่จะอธิบายความ ‘ขาวปนดำ’ ของมนุษย์และประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม เพราะผู้แต่งจงใจใช้เรื่องราวเข้าใจง่าย และให้ Conor เป็นตัวแทนของพวกเราในการตั้งคำถาม คำตอบก็คือ ใช่ มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นสีเทา ไม่มีใครดีหรือชั่วไปเสียหมด และเราก็คงไม่สามารถกำจัดปีศาจในตัวได้อย่างเด็ดขาด ทำได้เพียงควบคุม ‘การกระทำ’ของตนเองเท่านั้น




    เนื้อเรื่อง

    “สนุกแบบวางไม่ลง สะเทือนอารมณ์ และกระตุ้นความคิดตลอดเวลา”


                    สมแล้วที่กล่าวขานกันว่าหนังสือดี เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง ‘อ่านสนุก’ และ ‘ข้อคิดลึกซึ้ง’ ตลอดเวลาที่อ่านจะเกิดคำถามว่าอะไรคือฝันร้ายของ Conor? ปีศาจมาทำไม? แม่ของ Conor เป็นอะไร? แล้วConor กำลังปิดบังอะไรอยู่? ซึ่งก็ทำให้อ่านเล่มนี้จบในสองวัน ไม่มีช่วงไหนในหนังสือน่าเบื่อเลย แม้แต่นิทานที่ปีศาจเล่าก็ยังแฝงอารมณ์ขันเพราะ Conor กับปีศาจมักจะเถียงกันตลอดเรื่อง

                    ฉากหลังๆทำให้เราน้ำตาคลอได้อย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนจะจบด้วยการร้องไห้—เมื่อเรื่องราวดำเนินไปถึงไคลแมกซ์ และ ‘ความจริง’ ของ Conor ระเบิดออกมา หนังสือไม่ทำให้เราผิดหวัง จังหวะการคลี่คลายปมทำได้ยอดเยี่ยม การปูพื้นที่ดีทำให้เราเข้าใจ และเมื่อเราเข้าใจ เราก็เข้าถึงอารมณ์ของตัวละครทุกตัวในเรื่อง

                    ฉากจบออกจะห้วนไปเล็กน้อยแต่ก็ทิ้งพื้นที่ให้เราครุ่นคิดในสิ่งที่หนังสือไม่ได้บอก


                    กรุณาอ่านข้ามเพราะต่อไปนี้จะขอสปอยล์



                    เราชอบความจริงของ Conor นะ—เมื่อเราทรมานมาถึงจุดหนึ่งแล้วเราก็อยากให้มันจบลงเสียที เหมือนที่ Conor ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่กับการตั้งคำถามว่าแม่จะจากเขาไปเมื่อไหร่ สู้ให้แม่จากไปวินาทีนี้เลยยังจะดีกว่า Conor ไร้เดียงสามากจนคิดว่ามันเป็นความคิดที่ผิด ทั้งที่จริงๆแล้วเราไม่มองว่ามันผิด—เพราะเราเชื่อว่าการปล่อยให้เขาไปเป็นทางที่ทรมานน้อยที่สุดสำหรับทุกคน

                    จริงอยู่ที่เราต้องอยู่กับการไม่มีเขาไปตลอดชีวิต

                    แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเขาไม่อยู่แล้ว

                    อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเจ็บปวดกับความหวังว่าเขาจะยังอยู่ตรงนี้

                    A monster calls ไม่ได้สอนเรื่องปีศาจในตัวคนเราอย่างเดียว แต่สอนเรื่องการยอมรับความจริงและอยู่กับมันให้ได้ด้วย เหมือนจะง่ายแต่แต่ไม่เลย Conor เป็นตัวแทนของคนที่คอยปฏิเสธความจริงมาตลอด เพราะความจริงไม่สวยงาม แต่หนังสือไม่ได้สอนให้เราอยู่กับความจริงเพราะมันสวยงาม

                    เราอยู่กับความจริงเพราะมันเจ็บปวดน้อยกว่าการหลอกตัวเองต่างหาก

                    และในวินาทีที่เราเอาใจช่วย Conor—ก็เป็นวินาทีที่เราเอาใจช่วยตัวเองเช่นกัน

                    ให้อยู่กับความจริงให้ได้เมื่อวันนั้นมาถึง


                    หมดสปอยล์

     




    ความรู้สึกส่วนตัว

    “หนังสือเล่มแรกในรอบปีที่ทำให้น้ำตาร่วง”

     

                    หนังสือเล่มนี้อ่านยาวถึงเที่ยงคืนอีกแล้ว สนุกจนมือสั่น(..คืออะไร)มือสั่นจริงๆตอนอ่านใกล้ๆจบเกร็งไปหมด ความอินจัดมันเป็นอย่างนี้เอง T w T ยังจำความรู้สึกได้หมดเลยว่าอ่านแล้วสะอื้นยังไง ทุกตัวอักษรมันจับใจ แล้วบีบขยี้ใจเราอย่างร้ายกาจมาก ถึงแม้เราจะไม่มีอะไรสักอย่างเหมือน Conor เลย แต่เราเข้าใจความพยายามที่จะต่อสู้กับความมืดดำในจิตใจตัวเอง น่าเศร้าตรงเขาเป็นแค่เด็กอายุสิบสาม แต่ต้องมาแบกรับความรู้สึกที่หนักหนาสาหัสเหลือเกิน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ด้วยเหตุผลสั้นๆว่า เพราะเราเป็น 'มนุษย์'

                    ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงขึ้นหิ้ง Highly recommended ไปโดยปริยาย ไม่ใช่หนังสือสอนเด็ก แต่เป็นหนังสือสำหรับคนทุกวัยอย่างที่ Patrick Ness ผู้แต่งบอกใน Essay ท้ายหนังสือ ต่อให้เราไม่ได้สอบควิซเรื่องนี้ตอนเปิดเทอม เราก็จะอ่านรอบสอง เพราะหนังสือมีคุณค่าและรายละเอียดเยอะเกินกว่าจะอ่านรอบเดียว อ้ออออ แถมภาษาก็สวยงามตามท้องเรื่อง มีจังหวะจะโคน อ่านแล้วปลื้มมากกกกกก

                    ปล.ส่วนหนังน่ะหรอ...เคยพลาดที่ไหน!


                    ปิดท้ายด้วย Quote ที่ชอบที่สุด



    “Ok, I’m a bit of a mess,

    But it doesn’t make me bad

    And it doesn’t make me wrong.

    It just makes me human.”



    - ilysm






Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in